Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กลร้ายในเงารัก - บทที่ 13 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11352525/W11352525.html

บทที่ 13

สองสัปดาห์ผ่านไปพร้อมกับความล้มเหลวเหมือนเช่นทุกวัน ดนัยดลก็ยังคงตรึงอิริยาบถเศร้าโศกซุกอยู่ในมุมโซฟา กอดหมอนอิงใบสวย ที่ปลอกไม่ได้เรื่องเป็นฝีถักของภรรยายาหยี

น้ำตาเขาไหลมาหยดตรงปลายคางแล้วร่วงเผาะให้ทนายรัศมีเห็นพอดีตอนเข้ามาเงียบๆ หล่อนส่ายหน้าด้วยความสงสารกึ่งช้ำทรวงไปด้วย

ไม่ผิดหรอก อคินเคยล้วงใจเมื่อหลายวันก่อน เพราะคงจะดูท่าทีจงรักภักดีของหล่อนออก แต่มันไม่ดีที่จะให้ยอมรับและสารภาพว่าแอบหลงรักเจ้านายหนุ่มใหญ่คนนี้มานานนักหนาแล้ว ก่อนเขาจะเจอพุธชมพูเสียด้วยซ้ำ

แล้วที่ไม่ฟูมฟายเคืองแค้น ก็เป็นเพราะว่าเข้าใจในวิถีของบุพเพสันนิวาส ในเมื่อหล่อนไม่ใช่เนื้อคู่ ก็ควรที่จะรักษามิตรภาพระหว่างเจ้านายลูกน้องให้ยืนยาวต่อไปจนถึงวาระสุดท้าย

"อรุณสวัสดิ์ค่ะ" หล่อนทักทายเบาๆ

"ทนายรัศมี ทำไมมาเสียเช้าอย่างนี้ละครับ"

"คุณดนัยเองก็ตื่นเช้าเกินไปนี่คะ นี่มันเพิ่งจะหกโมงครึ่ง ตื่นมาทำไมคะ ทำไมไม่พักผ่อนเยอะๆ ถ้าเป็นห่วงเรื่องงาน.. "

"ไม่หรอกครับ คุณอคินเขาดูแลเรื่องนั้นแทนผมอยู่แล้ว อีกอย่างผมก็มีทนายรัศมีอีกคนที่ไว้ใจได้ไม่ใช่หรือ"

ดนัยดลทิ้งอิริยาบถคุดคู้ สูดจมูกยาวๆ แล้วขยับหันตัวไปยังทิศของเสียง ทนายรัศมีสงสารว่าเขาเงี่ยหูเอียงหน้าคล้ายคาดเดา จึงตัดบทด้วยการตรงไปนั่งข้างๆ แล้วดึงมืออุ่นมากุมไว้อย่างปลุกปลอบ

"ฉันโทรคุยกับผู้กองตั้นเมื่อคืนนี้ค่ะ"

พ่อหม้ายอกร้าวส่ายหน้า สูดจมูกไล่สะอื้นอีกหน กิริยานั้น ทำให้ทนายสาวคล้ายจะเดาความรู้สึกของเจ้านายในดวงใจได้ บางที เขาคงจะเบื่อฟังประโยคซ้ำซากที่ว่า 'เรากำลังพยายามอยู่' แล้วกระมัง และอาจจะเดาว่า หล่อนกำลังจะถ่ายทอดประโยคนี้ซ้ำอีก

แต่ก็ไม่หรอก หล่อนคิดว่าข่าวที่ทราบล่าสุดเมื่อคืนนี้ น่าจะเรียกว่า 'ข่าวดี'

"ข่าวดีหรือ" ดนัยดลทวนด้วยเสียงเยาะหยัน ผุดยิ้มเบื่อๆ

"มีคนลึกลับคนหนึ่งโทรเข้ามือถือของผู้กองตั้นค่ะ เขาบอกว่าเจอร่องรอยของศพแถมริมแม่น้ำ"

"อะไรนะ แถมริมแม่น้ำหรือ แม่น้ำอะไรครับ"

"แม่น้ำเจ้าพระยานี่ละค่ะ แต่ดูเหมือนว่าสัญญาณไม่ค่อยดี คนลึกลับคนนั้น พยายามติดต่อกับผู้กองตั้นสองสามครั้งค่ะ แต่ว่าสัญญาณมันก็ติดๆ ดับๆ "

"ตรวจสอบ.. "

"ค่ะ" ทนายสาวยิ้มอย่างชื่นชม "ผู้กองตั้นก็ทำอย่างที่คุณดนัยว่านั่นแหละ" หล่อนหมายถึงตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์และกำหนดตำแหน่งที่มาที่ไปของคลื่นสัญญาณ "เขาพบว่ามันเป็นเบอร์ตู้สาธารณะใกล้ๆ กับบริเวณที่คนลึกลับเจอร่องรอยของศพ"

ดนัยดลเขยิบเข้าหาคนเล่า เขาชะงักเมื่อรู้สึกเข่ากระทบกัน และตั้งใจจะถอยกลับ แต่ทนายรัศมีไม่ถือสาหรอก หล่อนบีบมือใหญ่แน่นคล้ายปราม แล้วเล่าต่อไปว่า

"ผู้กองตั้นไปที่นั่นแล้วค่ะ แต่ข่าวคืบหน้ายังไม่ส่งมา ใจเย็นๆ นะคะ อย่างน้อยก็ถือว่านี่เป็นนิมิตดี บางทีตอนสายๆ เขาอาจจะแวะมาบอกคุณก็ได้นะคะ"

ดนัยดลพยักหน้า ได้กลิ่นกาแฟโชยแตะจมูก จึงผินหน้าไปยังต้นกลิ่น ระบายยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงแม่พิศร้องทักทายทนายรัศมีอย่างคุ้นเคย นางวางถาดลงได้ยินเสียงดังกริ๊ก จากนั้นก็พูดว่า

"ไม่ได้ยินเสียงรถเลยค่ะ จึงไม่ทราบว่าคุณทนายมา รับกาแฟไหมคะ อ้อ อนงค์ เอามานี่ รีบไปชงกาแฟมาต้อนรับคุณทนายเร็วเข้า"

แม่พิศรับถาดข้าวต้มทรงเครื่องต่อจากสาวใช้ อนงค์ก็รีบหมุนตัวกลับ ไม่ฟังเสียงห้ามว่า 'ไม่ต้องยุ่งยาก' ของคุณทนายแม้แต่น้อย

"ข้าวต้มหอมจังค่ะ" หล่อนสูดกลิ่นด้วยท่าทางชื่นใจ "หน้าตาก็น่ากินมากเลย เจ้านายคะ หิวหรือยัง" ตอนท้ายก็หันไปถามทะเล้น ให้เจ้านายกระแอมเหมือนติ "แหม ฉันก็อยากให้คุณกิน ฉันจะได้พลอยอีกถ้วย ไม่ได้หรือยังไง"

"ก็กินถ้วยผมสิ ผมไม่หิวหรอก ดื่มกาแฟถ้วยเดียวก็พอ"

"อุ๊ย ไม่ได้หรอกค่ะ" แม่พิศรีบค้านเสียงเข้มตาข้นเชียว "เมื่อวานก็แมวดมข้าวเย็นไปทีหนึ่งแล้ว ตอนขึ้นนอน ยกนมสดอุ่นๆ ขึ้นไปให้ก็ไม่เอาอีก ไม่ได้นะคะ รู้ตัวไหมคะว่าคุณผู้ชายผอมลงไปมากเลย นี่ถ้าคุณผู้หญิง.. "

"กินก็กิน อย่าพูดมาก"

แม่พิศหน้าแห้งลง สำนึกว่าตนปากพล่อย ไม่น่าพาดพิงถึงภรรยายาหยีของคุณผู้ชายเลย ดูสิ เขาตัดบทด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ มือก็คลำๆ มาเกือบจะชนถ้วยข้าวต้ม ดีแต่ทนายรัศมีช่วยเลื่อนมันออกเสียก่อน แล้วอาสายิ้มๆ ว่า

"ถ้าไม่รังเกียจ ให้ฉันป้อนนะคะ ปกติเป็นหน้าที่ของคุณอคินใช่ไหม"

"ครับ" ดนัยดลหัวเราะในลำคอ "แต่ตอนนี้คงยังไม่ตื่นหรอก ไม่ใช่ความผิดของเขา เป็นเพราะผมเองที่ตื่นเช้ากว่าทุกวัน"

"กินเสร็จแล้ว เราไปคุยธุระกันในห้องทำงานหน่อยนะคะ ฉันสัญญาว่าจะรบกวนไม่นาน"

"ก็ให้คุณอคิน.. "

"เรื่องนี้ให้คุณอคินจัดการแทนไม่ได้หรอกค่ะ"

ทนายคนงามตัดบท แล้วเลื่อนถ้วยข้าวต้มมาใกล้มือ จากนั้น ก็เริ่มป้อนคำแรก น้ำตาซึมขึ้นมาเอง เมื่อนึกว่าทำไมตนต้องมาป้อนข้าวตอนเขาตาบอดและสูญสิ้นภรรยายอดรัก

ทำไมช่วงเวลาอันแสนสุขนี้ ไม่เกิดขึ้นในระหว่างที่หล่อนกับเขาสมมาดในความรัก คุณผู้หญิงของบ้านพิณพิไลก็น่าจะชื่อรัศมี ถ้าเป็นอย่างที่แอบฝันได้จริง หล่อนก็คงมีความสุขจนบรรยายไม่ถูก




ประมาณเจ็ดโมงครึ่งกระมัง ข้าวต้มทรงเครื่องของแม่พิศก็เกลี้ยงถ้วย นางยิ้มอย่างปลาบปลื้ม เพราะมันเป็นมื้อแรกที่คุณผู้ชายยอมกล้ำกลืนจนหมด ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณทนายรัศมีที่ใจเย็นและขยันคะยั้นคะยอน่ารัก ทำให้คุณผู้ชายเกรงใจ อ้าปากให้ป้อนคำแล้วคำเล่า

นางรีบเดินนำหน้าไปห้องทำงาน ช่วยเปิดและปิดประตูให้เสร็จสรรพ จากนั้นก็ถอนใจเฮือก เริ่มคิดเพ้อเจ้อแต่ก็เป็นความปรารถนาดีต่อคุณผู้ชายทำนองว่า 'นี่ถ้าได้คุณทนายมาเป็นคุณผู้หญิงคนใหม่ก็น่าจะดีนะ'

"ไม่ดีหรอก" อนงค์แย้งทันควัน เมื่อนางเข้ามาในครัวแล้วเปรยความคิดให้ฟัง

"ทำไมไม่ดี" นางเถียง "รู้จักรู้ใจกันมาตั้งหลายปีแล้ว ทำงานก็เข้าขากันดี บุกเบิกเคียงบ่าเคียงไหล่กันตั้งเท่าไหร่"

"งานก็งานสิป้า ดึงมาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวได้ยังไง หนูว่าไม่มีทางหรอก คุณผู้ชายน่ะรักคุณผู้หญิงมาก ไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาแทนที่ตำแหน่งนี้อีกแล้วล่ะ"

"โอ๊ย ใครจะไปรู้เรื่องอนาคตยะ" แม่พิศเถียงอีก "ดูแต่คุณอคินขี้เมาสิ เราเคยรู้ล่วงหน้าหรือว่าเขาจะเข้ามาแทรกเป็นเสี้ยนความรักของคุณผู้หญิงคุณผู้ชายน่ะ"

"เสี้ยนความรักอะไรป้า นี่ป้าพูดเรื่องอะไร"

"ก็เรื่อง.. " แม่บ้านปากเปราะหยุดกึก ใจหายวาบ อยากหยิกปากตัวเองให้ขาด เกือบเผลอพลั้งความลับออกไปแล้วสิ

"เรื่องอะไร แล้วหยุดทำไม แน่ะ อ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้เขาเรียกมีพิรุธนะป้า" อนงค์หยุดจัดผักในถาด แล้วปรี่มานั่งคาดคั้น

"เออๆ เรื่องอะไรก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่า คุณผู้ชายของเราน่ะ ไม่ควรพาคุณอคินเข้าบ้านก็แล้วกัน บอกได้แค่นี้เว้ย อย่าซักไซ้มาก ไปๆ ทำงานเถอะ"

แล้วความตั้งใจที่จะเข้ามารินน้ำให้เจ้านายพ่อหม้ายดื่มกลั้วกับยาแก้ปวด ก็เป็นอันล้มพับไปตรงหน้าประตูครัวนั่นเอง

คุณทนายคนงามค่อยๆ ยกฝีเท้าถอยห่าง แล้วย้อนกลับห้องโถง ก็ยังดีที่แม่พิศยังไม่ได้ออกมาเก็บสำรับบนโต๊ะ น้ำดื่มของดนัยดลยังเหลืออีกครึ่งแก้ว ก็คงพอสำหรับให้ดื่มกลั้วยาได้

ระหว่างเดินกลับห้องทำงาน ในสมองก็หวิวๆ กับความคิดเห็นของอนงค์ ใจก็ปวดหนึบขึ้นมาเอง เมื่อตระหนักว่าสาวใช้กล่าวได้ไม่ผิดหรอก ตลอดชาตินี้ เจ้านายพ่อหม้ายคงปิดประตูลั่นดาลหัวใจตลอดกาล จะไม่มีผู้หญิงคนไหนได้ล่วงล้ำเข้าไปประกาศว่า 'ฉันคือเจ้าของคนใหม่'

แต่ก็ใช่ว่าจะมองข้ามความคิดเห็นของแม่พิศไปเลย น้ำเสียงที่ได้ยิน นอกจากเผยความไม่ชอบอคินอย่างโจ่งแจ้งแล้ว หล่อนก็ยังรู้สึกได้ว่า นางอาจล่วงรู้เรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหุ้นส่วนคนเก่งของเจ้านาย และเรื่องนั้นก็เป็นที่มาของความคิดเห็นที่ว่า 'ดนัยดลไม่ควรพาชายคนนี้เข้าบ้าน'




'อะไรนะ เป็นของเขาทั้งหมดหรือ สวนผืนเบ้อเร่อตรงหน้านี่น่ะหรือ' อคินอุทานถามตัวเองในใจด้วยความตระหนกระคนประหลาดใจมาก ฝีเท้าที่ก้าวมาเรื่อยๆ เคียงกับร่างสูงใหญ่ของหนุ่มใหญ่พ่อหม้าย ทำท่าอ่อนแรงเอาดื้อๆ ก้าวต่อไปจึงหยุดกึกไปเอง

เขากุมต้นแขนของดนัยดล ไม่แน่ใจว่าจะรั้งให้หยุดเดินด้วย หรือจะปลุกสติให้เจ้าตัวตื่น เพราะเมื่อครู่นี้ เจ้าตัวเปรยวาจามหัศจรรย์ออกมา

"อย่าพูดเล่นเรื่อยเปื่อยนะครับ" เขาติงก่อน "เสียใจว่าภรรยายาหยีทอดทิ้งไปอยู่คนละโลก ผมก็เข้าใจ แต่เสียใจก็เรื่องหนึ่ง ยกสมบัติให้ชาวบ้านนี่มัน.. "

"ในความรู้สึกของผม คุณไม่ใช่ชาวบ้านหรอกอคิน"

"คุณดนัย"

"ทำไมหรือ คุณไม่เคยรู้สึกว่าเราสองคนผูกพันกันมากกว่าเพื่อนบ้างเลยหรือ แปลกจัง แล้วทำไมผมรู้สึก"

"คุณดนัย" อคินถอนใจระอา "ผมรู้ว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ถึงกับยกสมบัติให้ผมเกลี้ยงตัวแบบนี้ มันจะดีเกินไป คนอื่นจะมองว่าผม.. "

"เราห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้หรอกคุณอคิน แล้วความคิดคนอื่นก็ไม่มีผลต่อสิ่งที่ผมตัดสินใจไปแล้ว"

'สิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว' ก็คือการยกทรัพย์สมบัติรวมทั้งสวนผืนใหญ่อันเป็นมรดกตกทอดมาจากฝ่ายมารดาให้ตกเป็นของอคินตามพินัยกรรม ทนายรัศมีเร่งดำเนินการเรื่องนี้ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อย และรวดเร็วสมดั่งใจที่สุด

"ไม่มีใครล่วงรู้ว่าอีกหนึ่งนาทีข้างหน้า เราจะต้องเจอกับอะไร วันนี้และตอนนี้ เราเดินคุยกันมาเรื่อยๆ แต่พรุ่งนี้ ผมอาจจะตายตามพุธไปแล้ว ผมรู้ตัวว่า.. "

"เงียบเสียที ผมไม่ชอบให้คุณพูดจาท้อแท้และสิ้นหวังแบบนี้เข้าใจไหมคุณดนัย"

อคินตะคอกหงุดหงิด เขาไม่ยินดี ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของหนุ่มใหญ่ใจดีคนนี้ เงินทองเขาก็มี จะซื้อสวนผืนใหญ่กว่านี้สักสิบผืนก็ไม่มีปัญหา บ้านพิณพิไลหลังเท่าฝ่ามือแค่นั้น เขาสามารถสร้างเพิ่มอีกสักกี่สิบหลังก็ไม่เดือดร้อน

ดนัยดลเสียใจจนเพี้ยนไปแล้วต่างหาก แล้วเขาก็จะไม่ยอมให้เพื่อนใจดีคนนี้ ถลำดำดิ่งลงไปขังตัวเองไว้กับหลุมพลัดพรากอันมืดมิด จมจ่อมอยู่กับความเสียใจจนกู่ยังไงก็ไม่ยอมกลับ

"โลกนี้มันมีสองด้านคุณดนัย"

เขากระชากเสียงอึดอัดออกมา ร่างสูงที่หันหลังไปสูดหายใจลึกยาวและพานเงียบไปสองสามนาที ค่อยหมุนกลับมา

"ตื่นเสียทีก็ดีเหมือนกันนะ" เขากุมบ่าใหญ่ด้วยหัวใจมิตรภาพ "ผมยอมรับว่าการมองโลกในแง่ดี และตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเยือกเย็นสุขุมที่ผ่านมาของคุณ มันเป็นความเก่งของคุณที่ผมเลียนแบบไม่ได้"

"เรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่หรืออคิน"

"คุยเรื่องพินัยกรรมบ้าๆ นี่แหละ" อคินกระแทกเสียงอีก "ผมไม่รับหรอกนะ ผมมีเงินของผมเอง คุณไม่ต้องมาห่วงผม หยุดเลย" อคินสกัดปากเผยอที่ตั้งท่าจะเถียงด้วยเสียงที่เข้มกว่า "ผมอ่านใจคุณออก คุณคงคิดว่าตัวเองคงอดทนอยู่กับความทุกข์ได้ไม่นาน หลังจากที่คุณตายตามพุธไปแล้ว ผมก็จะกลับมาเป็นอคินผู้โดดเดี่ยวเหมือนเดิมละสิ"

"อคิน ผม.. "

"ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีและความจริงใจที่คุณให้ผมตลอดมา ผมซาบซึ้งใจมาก แต่คราวนี้ มันถึงเวลาที่ผมต้องตอบแทนน้ำใจคุณบ้าง ด้วยการทำทุกวิถีทางผลักคุณออกไปให้ห่างจากความเศร้าโศก ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี"

"คุณทำไม่ได้หรอก"

"ไม่มีอะไรในโลกที่เราอยากทำแล้วทำไม่ได้หรอกคุณดนัย นี่คือความแตกต่างของคุณกับผม"

ดนัยดลถอนใจยาว สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มืออุ่นวางพักบนไม้เท้า โสตก็ฟังหุ้นส่วนเสียงกระด้างร่ายวาจาแข็งกร้าวไปเรื่อยว่า

"คุณเป็นลูกคนรวย เกิดมาไม่เคยเจอความลำบาก ไม่เคยผิดหวังรุนแรงอย่างจริงๆ จังๆ วาสนาคุณมันสูง จนทำให้คุณไม่คุ้นเคยกับการเผชิญหน้ากับความทุกข์ที่ต้องอาศัยความเข้มแข็งเข้าช่วย"

"ผมมีความเข้มแข็งอคิน แต่ความเข้มแข็งก็ไม่จำเป็นต้องแข็งกร้าวและหลอกตัวเองไม่ใช่หรือ"

"ใช่ ผมไม่หลอกตัวเองว่าผมจน เกิดมาต่ำต้อยกว่าคนอื่น ไม่มีใครรักผม พ่อแม่ก็ไม่เคยส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผมก้าวหน้าในชีวิต เพื่อนฝูงก็รังเกียจจนไม่อยากคบ รักผู้หญิงคนหนึ่งอย่างหมดจิตหมดใจ เธอก็ปันใจไปรักคนที่รวยกว่า ย่ำยีหัวใจรักของผมจนแตกยับ"

"คุณอคิน"

"ถ้าเราจะผ่านชีวิตลำเค็ญบัดซบที่ว่านั้นไปให้ได้ละก็ เข้มแข็งอย่างเดียวไม่พอหรอกคุณดนัย คุณต้องแข็งกร้าว และพร้อมจะลุกขึ้นยืนทันที แม้ว่าตอนล้ม คุณจะบาดเจ็บสาหัสแค่ไหนก็ตาม บ่อยไปที่ผมต้องลุกมายืนพร้อมกับบาดแผลโชกเลือด แต่สิ่งบัดซบพวกนั้น มันหยุดยั้งผมไม่ได้"

"ผมถึงต้องหยุดยั้งด้วยตัวเอง"

อคินย่นคิ้ว อาจต้องบอกว่าสะอึกเล็กน้อยกับวาจากำกวมที่พ่อหม้ายหนุ่มใหญ่เปรยแทรก แล้วหมุนร่างกลับมาอวดกรอบหน้าเนือยที่ประดับหม่นด้วยแว่นตาดำ

"คุณพูดถูก ผมมีเฉพาะความเข้มแข็ง และไม่ว่ายังไงก็ไม่ขอเป็นคนแข็งกร้าวแบบคุณ นอกจากมันช่วยให้คุณมีความสุขจริงๆ ไม่ได้แล้ว มันอาจจะบ่มให้คุณกลายเป็นคนไร้จิตใจ ต่อไปก็คงจะเลือดเย็นอย่างน่ากลัว ทำทุกอย่างโดยไม่แยแสสิ่งรอบข้างหรือแม้แต่กับคนที่อยู่รอบๆ ตัวคุณ"

"คนดี" อคินประชด บดกรามอย่างเจ็บใจ รู้สึกไปเองว่าตนกำลังโดนหนุ่มใหญ่ตาบอดสาระแนกับชีวิตจนเกือบจะล้ำเส้น

"ครับ คุณไม่คิดว่าตัวเองโชคดีหรือ ที่มาเจอผม เจอพุธ เจอทนายรัศมี ทุกคนในบ้านพิณพิไล พนักงานในบริษัทที่ให้ความนับถือและยกย่องคุณไม่ได้น้อยไปกว่าผม"

"ผมรู้"

"รู้แต่ไม่เคยมองมันเลยใช่ไหม" ดนัยดลย้อนยิ้มๆ จากนั้นก็เตือนสติว่า "หันมองความโชคดีที่ตัวเองได้รับเสียบ้าง เป็นครั้งคราวก็ยังดีนะ มันอาจช่วยให้คุณเองต่างหากที่เข้าใจแจ่มแจ้งว่า โลกของเรามันมีสองด้านจริงๆ "

อคินกัดปาก อยากต่อยหน้าขรึมให้แว่นแตกเลยจริงๆ เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเตือนสติ

อย่างดนัยดลจะไปรู้อะไร ชีวิตเทวดาลงมาเกิด เดินบนทางที่โรยดอกกุหลาบ จากจุดเริ่มต้นไปจนสุดทาง มันฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของความสุข โลกแบบนั้น มันไม่ต้อนรับความทุกข์ ความพ่ายแพ้ ความผิดหวัง และการสูญเสียใหญ่หลวง

เขานี่สิ เขาอยู่บนโลกอีกใบที่บัดซบไปด้วยความจริงโหดร้าย ทางเดินขรุขระและทารุณไปด้วยเสี้ยนหนาม ฝ่าเท้าพรุนแล้วพรุนอีก แต่ก็หยุดเดินไม่ได้ เพราะหยุดเมื่อไหร่ก็จะไม่มีโอกาสได้รู้ว่า สุดทางที่ไกลแสนไกลมันเป็นยังไง และมีอะไรรออยู่

'ไอ้บอดเอ๊ย แค่ยาหยีตายไม่กี่วัน ก็เหยาะแหยะยกสมบัติให้ชาวบ้าน จะไม่ยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอละสิ แล้วทำมาใจดีกลบเกลื่อน แถมยังมีหน้ามาทำเป็นรู้จักโลกดีมีสองด้านสามด้าน สะเออะจะสอนฉันหรือ ปีนตัวเองขึ้นมาจากหลุมสวาทรั่วๆ ให้ได้ก่อนดีไหม'

ดนัยดลไม่มีวันได้ยินวาจาปรามาสแสบสันต์ที่มันผุดก้องอยู่ในทรวงร้อนฉ่าของหุ้นส่วนคนเก่งอย่างแน่นอน เขาแค่รับรู้ว่า อคินเงียบไปเอง แต่เสียงหายใจของเพื่อนต่างรุ่น ค่อนข้างแรงหนักคล้ายเสียงหอบชอบกล

"คุณอคิน"

"เรากลับกันเสียทีดีไหม"

"โกรธผมหรือเปล่า เสียงคุณกระด้างไปนะ"

อคินถอนใจยาว หลับตาลงครู่หนึ่ง ไฟปมด้อยเปลวใหญ่ลดหรี่ลงแล้ว เขาค่อยรู้สึกผิดเล็กน้อยที่เมื่อครู่ ร้องด่าหนุ่มใหญ่ใจดีปาวๆ เพราะเมื่อไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล ก็จะพบว่าดนัยดลเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด

ในยามที่เจ้าตัวอ่อนแอถึงขีดสุด แทนการติเตียนให้ความรู้สึกมันยิ่งแย่ เขาก็น่าจะเข้มแข็งกว่า ตรึงจุดยืนของมิตรภาพให้มั่นคง แล้วคอยโอบอุ้มพ่อหม้ายคนนี้อย่าให้ล้มกลางคัน

"ผมขอโทษนะ" เขากุมมืออุ่นของอีกฝ่าย ทอดเสียงอ่อนอย่างสำนึกผิด "ผมน่าจะเข้าใจว่าสิ่งที่คุณทำ มันหมายถึงความปรารถนาดีที่คุณมีต่อผม ไม่ใช่เรื่องของการยอมรับความจริงความเข้มแข็ง หรือการหนีหน้ามันอย่างอ่อนแอ"

"ดีครับ เป็นอันว่าธุระของเราจบลงด้วยดี เฮ้อ ทนายรัศมีแพ้พนันผมแล้วล่ะ" ตอนท้ายของการตัดบท ดนัยดลก็พาดพิงถึงทนายสาวคู่ใจ แล้วหัวเราะแผ่วๆ

"หมายถึงอะไร"

"เราพนันกันว่า คุณอคินต้องไม่ยอมรับน้ำใจของผมแน่ๆ แต่ผมก็ดื้อล่ะ เพราะผมเชื่อว่าความตั้งใจของผมต้องไม่พ่ายแพ้ความแข็งกร้าวของคุณแน่ๆ "

"หมั่นไส้ อยากเลี้ยงฉลองหรือเปล่าล่ะ"

"ไม่ล่ะ โลกที่ไม่มีพุธของผม มันไม่คู่ควรกับงานเลี้ยงฉลองที่สะท้อนความสุขของคนจัด จะให้ผมมีความสุขได้ยังไง ในเมื่อเวลานี้ ผมเดาไม่ได้เลยว่า พุธของผมจะล่องลอยไปเหน็บหนาวอยู่ในโลกใบไหน มีแสงสว่างหรือเปล่า พุธน่ะกลัวความมืดจะตาย"

"อืม คุณพูดถูก"

อคินพยักหน้าหงอยๆ พุธชมพูที่รักกลัวความมืดจริงๆ เขายังจำได้ว่า เธอกรีดร้องวิ่งวุ่นจนชนกับโต๊ะกินข้าว เอวช้ำไปตั้งหลายวัน เพราะตกใจที่จู่ๆ ไฟดับ แล้วคืนนั้น นายกำพลขี้โรคก็ไปนอนกินน้ำเกลือในโรงพยาบาลเสียด้วย

เขาเป็นคนประคองเธอให้ลุกขึ้น แล้วฉวยโอกาสกอดไว้หลวมๆ แม้เธอจะขัดขืนขลุกขลัก แต่เขาก็วาบหวามซาบซ่านไปแล้ว เกือบจะได้จุมพิตปากสวยให้ชื่นใจแล้วด้วยซ้ำ

แต่ก็น่าเจ็บใจล่ะ ที่เพื่อนบ้านสะเออะใจดี จุดเทียนไขมาให้ แสงสว่างแม้จะน้อยนิด แต่มันก็พรากร่างละมุนหลุดพ้นอ้อมแขนปรารถนาไปเสียอย่างนั้น

ชาวสวนละแวกใกล้เคียง ดูท่าว่าจะคุ้นเคยกับดนัยดลเป็นอย่างดี โผล่ออกมาจากพงป่าละเมาะ เจ้าตัวฉีกยิ้มกว้าง ร้องทักทายอย่างดีใจ ทำให้ภวังค์หวานกึ่งขมของอคินต้องสะดุดกึก

"ไม่ได้เจอกับคุณดนัยนานแล้วนะครับ เอ้อ ผมเสียใจด้วยกับเรื่องของคุณพุธ เข้มแข็งไว้นะครับ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปเอง ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เกิดแล้วตั้งอยู่ตลอดไปหรอกครับ"

'ท่าทางจะเป็นคนมีศีลมีธรรมเสียด้วย' อคินนึกเยาะๆ ผุดยิ้มดูแคลนเล็กน้อย เขาทำท่าจะสาวเท้าตาม แต่ดนัยดลก็หันมาสะกดด้วยเสียงที่ดูใสขึ้นว่า

"อ้อ ไม่ต้องหรอกอคิน ผมเจอลุงขนบแล้ว เราไม่ได้เจอกันนานอย่างที่ลุงเขาว่านั่นแหละ คุณกลับบ้านไปก่อน เผื่อว่าผู้กองตั้นจะแวะมาส่งข่าวดี ผมจะเดินเล่นกับลุงขนบสักพัก แล้วเดี๋ยวจะรบกวนให้แกพาไปส่งบ้านเอง"

"แต่เราออกมานานแล้วนะ" อคินไม่ค่อยสบายใจ "คุณเดินมาไกลมากกว่าทุกวันแล้วด้วย ผมว่า.. "

"เอาน่า แค่เดินมาไกลนิดหน่อยเองไม่ใช่หรือ ลุงขนบดูแลผมได้ จริงไหมลุง"

'ลุงขนบ' หัวเราะร่วนพลางพยักหน้ายืนยันกับอคิน รู้สึกอิจฉาว่าพ่อหนุ่มคนนี้ตาหวานบาดใจดีเหลือเกิน เสียแต่ว่าหน้าหงิกไปหน่อย แถมยังมองแกเหมือนจะดูแคลนรังเกียจชอบกล

"ยังหวังว่าจะได้ฟังข่าวดีจากผู้กองตั้นอยู่อีกหรือ"

เขาแดกดันพาดพิงไปยังผู้กองคู่อริ พลางช่วยประคองร่างสูงเลี่ยงแอ่งตื้นแต่มีน้ำขัง ด้วยการยอมย่ำลงไปเสียเอง นึกฉุนเหมือนกันที่รองเท้าผ้าใบคู่เก่งเปียกและเปรอะดินแฉะ สุดท้ายก็แอบด่าตัวต้นเหตุ ทำนองว่า 'ตาบอดแล้วยังอยากเดินไปทั่ว ไม่เจียมตัวเลยเว้ย'

"ผมจะไม่ทิ้งความหวังเรื่องนี้หรอกอคิน จะข่าวดีหรือข่าวร้าย ถ้ามันเกี่ยวกับพุธ ผมก็พร้อมจะฟังเสมอ กลับบ้านไปได้แล้วล่ะ ไม่ต้องมาทำเป็นเจ้าเล่ห์ ดึงเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพูดเพื่อให้ผมกลับบ้านหรอกน่า ต้องให้ย้ำไหมว่า ผมแค่ตาบอด แต่ยังฉลาดอยู่"

"เออ เก่งนักหนาแหละ หมั่นไส้จริงๆ ป่วยไข้ขึ้นมา ผมจะสมน้ำหน้าให้"

อคินกระแทกเสียงฉุนๆ ตวัดตาหวานบาดใจไปขึงใส่ลุงขนบ แกเลิกคิ้วแล้วยิ้มเก้อๆ คงจะงงว่าทำไมจู่ๆ เขาก็เลี้ยวไปถลึงดุร้าย ทำราวกับว่าเพราะแกทีเดียวเป็นต้นเหตุให้ดนัยดลซุกซนไม่เลิก

"ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับคุณ" ลุงขนบบอก "บ้านผมก็อยู่ใกล้ๆ แถวนี้เอง เดินพ้นตรงนี้ไปอีกหน่อยก็เจอศาลาริมคลองด้วย ถ้าเหนื่อยจริงๆ ผมพาแวะนั่งแถวนั้นก่อนได้ รับรองว่าจะพาส่งบ้านไม่เกินตอนเย็นครับ"

อคินส่ายหน้าพร้อมกับย่นคิ้ว คล้ายว่ารำคาญคนตาบอด แต่ก็ยอมหมุนตัวกลับ เพราะแน่ใจว่าเหนี่ยวรั้งไม่ได้แน่ เขาเบื่อขึ้นมาวูบหนึ่ง เมื่อนึกว่าอาจต้องเผชิญหน้ากับผู้กองตั้นขวัญใจประชาชนไปตามลำพัง

เพราะไม่ว่าคุณตำรวจจะปรากฏตัวพร้อมกับข่าวร้ายหรือข่าวดี แต่ที่เขาจะหนีไม่พ้นก็คือ สายตาคมกริบที่มักจะทอวูบวาบให้เขาเห็นแล้วอ่านเป็นคำๆ ได้ว่า 'อคิน คุณอาจจะเป็นฆาตกรก็ได้นะ'

ครั้นทอดฝีเท้าห่างมาได้สักหน่อย ก็อดที่จะเหลียวกลับไปมองเพื่อนหนุ่มใหญ่อีกครั้งไม่ได้ ตอนนี้ก็มองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว นอกจากฟากสวน เขาหัวเราะออกมา รู้สึกว่าตนใกล้จะบ้าเต็มที

เพราะความรู้สึกที่มีต่อดนัยดล มันดูสับสนปะปนกันจนแยกยาก บางทีก็รำคาญระคนชิงชัง บางครั้งก็เวทนากึ่งสมเพช แต่บางขณะ ก็ตื้นตันในมิตรภาพจนเผลอไผลห่วงใยด้วยใจจริง

"คุณแน่มาก" เขาพึมพำ "ทั้งที่คุณไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ผมกลับว้าวุ่นจวนจะเป็นบ้า เพราะต้องตื่นขึ้นมาทุกเช้า แล้วถามตัวเองว่า ตกลงแล้วนี่ ผมเกลียดคุณ อยากเห็นคุณตายๆ ไปเสียที หรือว่าผมผูกพันด้วย และห่วงใยจัง จนระแวงไปหมดว่า ใครก็ตามที่เข้าใกล้คุณ อาจไม่หวังดีต่อคุณ"

คงเพราะไอ้เจ้าเงาเฮงซวยที่โผล่มาคืนก่อนนั่นล่ะ มันเป็นตัวแปรสำคัญที่กระตุกหัวใจเขาให้ค่อยฉุกเห็นความรู้สึกพวกนี้ แล้วจากคืนนั้น เขาก็ยอมรับว่า ทุกช่วงขณะที่เกลียดดนัยดล ความห่วงใยลึกๆ ก็ก่อเกิดเคียงกันไปไม่ห่างแบบประชิดประชัน

มิหนำซ้ำ ยังไม่รู้เลยว่า จะต้องตกอยู่ในสภาพอิหลักอิเหลื่อเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน หรือจนกว่าจะมีการพิสูจน์ได้อย่างหมดจดแจ่มแจ้งว่า อคินคนนี้ 'ไม่ใช่ฆาตกร'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 09:56:51




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com