18
จากนั้นบรรยากาศโรงเรียนก็เปลี่ยนจากความสนุกสนานเป็นโกลาหล นักเรียนสิบกว่าคนมีอาการใกล้เคียงกัน คือ อาเจียน คลื่นไส้ ปวดท้อง บางคนก็ท้องเสีย บรรดาครูช่วยกันดูแลจนห้องพยาบาลไม่เพียงพอ ในจำนวนนี้มีนักเรียนที่อาการหนักคือทั้งอาเจียนและถ่ายเหลวจนต้องพากันส่งโรงพยาบาลทั้งหมดสี่คน ที่เหลือพอได้นั่งพักก็ดีขึ้น ผู้ปกครองก็สามารถกลับบ้านได้ งานวันเด็กล้มเลิกไปโดยปริยาย
พอสถานการณ์คลี่คลาย ส่งนักเรียนกลับบ้านจนหมด โรงเรียนเหลือแค่ครู
คเชนทร์เรียกประชุมทุกคน รวมทั้งแม่ครัวที่ทำการปรุงอาหาร เนื่องจากหมอได้แจ้งว่าอาการของนักเรียนคืออาหารเป็นพิษ แต่ยังไม่สามารถระบุว่าเป็นอาหารชนิดไหนหรือสารพิษอะไร สีหน้าผู้อำนวยการโรงเรียนชลพิทักษ์เคร่งเครียด ชายหนุ่มวัยหกสิบดูจะแก่ขึ้นอีกเล็กน้อย เขาใช้นิ้วกดขมับตอนฟังแม่ครัวตอบเสียงสั่น ๆ ว่าไม่รู้ไม่เห็น ได้แต่ปรุงอาหารไปตามปกติ
“ไม่รู้จริง ๆ ค่ะผอ. นะหนูก็ทำอาหารตามของที่ได้มาน่ะค่ะ”
จากนั้นก็เป็นครูผึ้ง ซึ่งรับหน้าที่จดบันทึกรายการของที่ได้รับแจกทั้งหมด ซึ่งคเชนทร์รับมาอ่าน ตรวจพิจารณาแล้วก็พบว่าล้วนแต่เป็นคนคุ้นเคยกัน เมื่อตัดผู้ปกครองออกไปด้วย
เหตุผลว่าคงมีความระมัดระวังมากกว่าเนื่องจากเพื่อนลูกก็เหมือนลูกหลานตนเอง จึงเหลือแต่บริษัทห้างร้าน
“เอาเป็นว่า...เดี๋ยวครูผึ้งช่วยติดต่อผู้ปกครองเด็กคนที่ป่วยทุกคน แจ้งว่าโรงเรียนจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลแล้วก็ขอโทษด้วย”
ทั้งหมดผ่อนลมหายใจ
“มันเกิดจากอะไรกันคะผอ.”
“ตอนนี้คงสรุปอะไรไม่ได้จนกว่าจะสอบถามจากนักเรียนให้ละเอียดก่อน”
“ฉันว่าน่าจะมีสารพิษในอาหารนะคะ” คุณสกุณีโผล่งขึ้น ทุกคนมองตากันเลิกลั่ก ท่าทางนิ่งเรียบชวนหวาดหวั่นยิ่งกว่าคำตอบ “หากผอ.เชื่อว่าไม่เกิดจากอาหารก็น่าจะเป็นสารพิษ...”
“คุณเอื้อหมายถึง ใครวางยา...”
“วางยา!”
“หยุดก่อน” คเชนทร์ปรามเสียงดัง “ผมยังไม่ได้สรุป แล้วก็ขอห้ามทุกคนสรุปเด็ดขาด เรายังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรถ้าพูดออกไปก่อนมีการสอบสวนจะทำให้ทุกคนแตกตื่น ผู้ปกครองจะเสียความมั่นใจ เข้าใจไหม”
ทุกคนเงียบกริบ
“คุณเอื้อครับ ขอบคุณสำหรับความเห็นนะครับ” คำนั้นดูตำหนิเสียมากกว่า
“เอาเป็นว่าวันนี้จบเรื่องกันไว้แค่นี้ก่อน เรื่องของขวัญก็เก็บกันไว้ แล้วค่อยหาโอกาสแจกนักเรียน ขอความร่วมมือทุกคนด้วยนะครับ”
ประธานกล่าวปิดการประชุม ทุกคนแยกย้ายกันไปโดยยังมีคำวิพากษ์เล็ก ๆ ปุริมารอจนเหลือแค่เธอกับคเชนทร์
“เดี๋ยวพ่อจะไปเยี่ยมนักเรียนที่โรงพยาบาล หนูไปด้วยกันไหม”
ปุริมาคิดเล็กน้อย ครั้นแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่ดีกว่าค่ะ หนูรอรับปิ่นโตจากเจ้าโขงที่บ้านแล้วกัน พ่อกลับมาเหนื่อย ๆ จะได้กินข้าวเลย”
อีกฝ่ายร้องอืม “เดี๋ยวพ่อไปส่งหนูก่อน ดูแลปิดบ้านให้ดีนะ พ่อกลับไม่ค่ำหรอก”
“ค่ะ”
ปุริมาอยากพูดมากกว่านี้ แต่คิดแล้ว คำปลอบใจใดในตอนนี้คงไม่เท่าการทำตัวไม่เป็นภาระของพ่อเพิ่มอีก การเป็นเจ้านายคน ไม่ง่ายเลย
วันต่อมาที่แพปลา เขมรัฐตรวจเอกสารและทำรายการรับจ่าย เขาเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงโห่ฮาราวกับต้อนรับใครบางคน พอชะโงกตัวออกไปดูก็จุดยิ้ม เจ้าโขง...
เด็กชายทำท่าเหมือนวีรบุรุษที่รอดจากสงคราม ก่อนจะเดินอาด ๆ เข้ามาในห้องทำงาน
“ไม่มีการจ่ายค่าแรงกลางวันจะครับคุณขัตติยะ คุณยังไม่ได้ทำงานเลย”
“พ่อ” โขงลากเสียงยาว ฟึดฟัดขัดใจ “อะไรกันเนี่ย หน้าผมติดป้ายฝ่ายติดตามหนี้เหรอ คิดว่าจะพูดเรื่องเงินตลอด”
“ลองไม่ดักคอสิ” คนรู้ทันปิดแฟ้มเล่มหนึ่ง หันไปวางรวมในตู้ด้านหลัง “งั้นมีเรื่องอะไรถึงได้มาหาแต่เช้า ทำการบ้านไม่ได้?”
โดนดอกสองในน้ำเสียงเยาะเย้ย อีกฝ่ายอยากจะหมุนตัวกลับ ท้ายสุดก็ไหวไหล่ยอมแพ้
“ก็ได้ ๆ ขอสองร้อยสิป๋า”
‘ป๋า’ เค่นยิ้ม “การบ้านเสร็จหรือยัง”
“เรียบร้อย”
“เอามาดู”
“อยู่ที่บ้าน เสร็จแล้วจริง ๆ” เด็กชายยืนยัน
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร พ่ออยากดู จะช่วยตรวจให้”
“ไม่ต้องหรอก ระดับนี้แล้ว”
“ยังไม่เสร็จก็บอกมาเถอะ คุณลูกชาย”
ลูกชายเม้มปาก ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยากหนักพยายามเก็บอาการที่ถูกรู้ทัน
“พ่อนั่นแหละ ขอเงินไม่ให้ ไม่มีใช่ไหมล่ะ เอาไปให้สาวหมดก็บอกมาเถอะ”
“อ้ะ ไอ้นี่ อย่ามาใช้มุกดูถูกนะเว้ย เงินมีเป็นฟ่อนจะเอาหนุนนอนแทนหมอนก็ได้” เขมรัฐหมุนปากกา “จะเอาไปทำอะไร”
“ซื้อบอลใหม่”
คนมีเงินเป็นฟ่อนขมวดคิ้ว “ตั้งแต่ที่ปูนิ่มยึดไปยังไม่ได้คืนอีกเหรอ”
โขงบอกว่าได้แล้ว แต่เตะไปเข้าบ้านคนแถวนั้นจึงถูกยึดไปอีกรอบแล้ว และทำท่าจะไม่ได้คืน เขมรัฐหัวเราะก๊าก
“ไปเอาการบ้านมาทำที่นี่ เดี๋ยวพ่อสอน”
“ไม่เอาแล้ว ขี้เกียจปั่นจักรยาน”
“จ่ายสดนะเว้ย” เขมรัฐแกล้งโบกปึกธนบัตร เด็กชายวิ่งปร๋อออกไปทันที เขาส่ายหน้า
ลุงโพเดินสวนเข้ามา เอารายการส่งของประจำวันมาส่งให้ เขามองเด็กชายที่วิ่งออกไปทักทายกับคนงาน
“เด็กสมัยนี้มันโตเร็วจริง เหมือนเมื่อวานนี้เองที่ผมเห็นนายเข้อุ้มโขงมาป้อนนม เผลอแป๊บเดียว เป็นหนุ่มจะเท่าพ่อแล้ว”
เขมรัฐยิ้มรับ ก่อนจะตัดสินใจลุกเดินไปร้องเรียกเด็กชายให้หยุดรอ
“เดี๋ยวผมไปหาอะไรกินก่อน จะได้ไปกำกับเจ้าโขง เดี๋ยวมันไปเถลไถลอีก ฝากลุงโพด้วย”
“จะเข้ามาอีกไหมครับ” ถามพลางตบกระเป๋ากางเกงหยิบซองบุหรี่
“บ่ายแก่ ๆ”
สองพ่อลูกเดินหาของกินในตลาด เขมรัฐก็ถือโอกาสซื้อลูกฟุตบอลให้โขงเพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายถือเงิน เพราะนอกจากอาจจะไม่ได้ของแล้ว บางที ‘ราคา’ ลูกบอลมันก็แพงขึ้นเท่าตัว
“ความจริงผมก็ไม่ได้อยากได้เท่าไรหรอก ไอ้หมูมันรบเร้า”
“พนันร้อยนึงไม่เอาสักบาท เพราะเอ็งเป็นคนเตะใช่ไหม”
โขงยิ้มเจื่อน “พอบอกว่าไม่ไปเตะก็งอน ไอ้หมูมันขี้งอนอย่างกับผู้หญิงแน่ะ ผมอยากเล่นกีตาร์อยู่กับพวกไอ้โจ้มากกว่า เฮ้อ เกิดเป็นคนดังนี่มันเหนื่อยจริง ๆ เลยนะพ่อ คนนั้นก็อยากได้ตัว คนนี้ก็อยากได้ตัว จัดคิวลำบาก”
“พอเลย อย่าทำให้กับข้าวไม่อร่อยสิ”
คนอุปโหลกตัวเองหัวเราะ “เออ พูดถึงกิน เมื่อวานไปส่งปิ่นโตเจอผอ.หรือเปล่า”
เด็กชายตอบว่าเจอ “แต่ไม่ได้คุยอะไรกันมากนะพ่อ ได้แต่ถามว่าผมไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เขาหมายถึงเรื่องอาหารเป็นพิษ ซึ่งเขมรัฐรู้ข่าวตอนเย็นหลังจากไปเจอลูกชายที่ร้านของแม่ เจ้าโขงปลอดภัยจากอาหารเป็นพิษด้วยเหตุผลที่ว่า
“ผมกินขนมอิ่ม เลยไม่ได้กินข้าวกลางวันครับ”
เขมรัฐตบไหล่ลูกชายหนัก ๆ ด้วยความโล่งใจ ซึ่งอีกฝ่ายก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องขอ ชายหนุ่มขมวดคิ้วสงสัยว่ามันเกิดจากอะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร
“พ่อ ผมว่าบางทีผอ.ออกจะเอ็นดูผมมากเลยแหละ หรือเขาจะอนุญาตให้ผมจีบเจ๊ปูนิ่มได้ก็ไม่รู้นะ ผมน่ะคิดมากจริง ๆ เลยนะเรื่องนี้”
เขมรัฐทำท่ากินไม่รู้ไม่ชี้ เจ้าตัวแสบจึงยิ้มค้างเพราะพ่อไม่หลงกล หรี่ตาทำหน้างอน “รับมุกหน่อยก็ไม่ได้”
“พูดมาก รีบ ๆ กินเลย เดี๋ยวไปทำการบ้านให้เสร็จ แล้วจะปล่อยตัว” เขาตักไข่พะโล้ส่งให้ลูกชาย จนอิ่มท้องก็เดินกลับมาที่รถ มีคนรู้จักกันทักทาย ในฐานะเป็นผู้ปกครองนักเรียนชายหนุ่มจึงหยุดคุย ไถ่ถามความคืบหน้า
“โขงไม่เป็นไรเหมือนกันใช่ไหม ดีแล้วล่ะ ลูกป้าก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน” อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวสองคนวัยสี่สิบ ลักษณะเป็นแม่บ้านกำลังมาซื้อกับข้าว
“ไม่อยากเชื่อเลย ทำอีท่าไหนให้อาหารเป็นพิษได้นะ ปกติเรื่องอาหารการกินกับเด็กนี่ต้องรอบคอบมากนะ”
“นี่ อย่าพูดไปนะ” อีกคนลดเสียง “เขาว่ากันว่ามีคนแอบใส่พวกสารพิษในอาหารนะ”
“คุณพระช่วย!”
“เดี๋ยวครับ เขานี่ใครเหรอ” เขมรัฐอดแทรกไม่ได้ทั้งที่ตั้งใจว่าจะฟังอย่างเดียว
“แหม นายเข้ เรื่องนี้ใครก็รู้กันทั้งนั้นแหละ ผู้ปกครองที่ไหนจะเอาของเสียไปให้ลูกหลานตัวเองล่ะจริงไหม ถ้าไม่ใช่เรา ๆ มันก็เป็นพวกไม่หวังดีสักคน”
“ใครกันไม่หวังดี ไม่มีหรอกมั้งครับ แค่โรงเรียน”
“ก็ไม่รู้ล่ะ” คนเล่าถอนใจ “เกิดเรื่องแบบนี้ก็เพราะโรงเรียนไม่รอบคอบ ผอ.ก็ต้องรับผิดชอบ เรื่องครูคนใหม่ก็เหมือนกัน คิดยังไง้ ไปเอานักร้องมาสอนหนังสือ”
เขมรัฐจะปลีกตัวอยู่แล้วแต่ประโยคสุดท้ายทำให้ชะงัก หมายถึงบัณฑิตาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่รู้ได้ยังไงว่าคนรู้จักของเขาเป็นนักร้อง
“นายเข้น่าจะเคยเจอนะ เห็นว่าสวยน่ารักด้วย”
เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มไม่ชอบคำแซวนี้ แต่ก็จุดยิ้ม “เคยครับ เขาเป็นนักร้องเหรอ”
“อื้ม พวกผู้ปกครองเขาจำได้ว่าเป็นนักร้องในผับในเมืองโน่น จะสอนหนังสือหรือสอนอย่างอื่นก็ไม่รู้ พี่ว่าประชุมผู้ปกครองคราวหน้าจะต้องถามให้ได้ล่ะ”
“งั้นเดี๋ยวบอกพ่อน้องหมี ประชุมผู้ปกครองคราวหน้าไม่ต้องไป ฉันไปเอง ยิ่งรู้ว่ามีครูสาวสวยไม่ได้เลย”
“อันนี้มีเหตุผลแอบแฝงนี่” อีกคนพูดกลั้วหัวเราะ
“ไม่รู้ล่ะ ปลอดภัยไว้ก่อน”
แล้วบทสนทนาก็เปลี่ยนไปจนดันเขมรัฐออกจากวง ยังดีที่สองสาวใหญ่หันมาบอกลาก่อนจะขอตัวไปจับจ่ายซื้อของต่อ ปล่อยชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จนโขงหยุดเดาะบอลแล้วออกความเห็นเรียกสติ
“ท่าทางป้าเขาจะมีเรื่องโรงเรียนเอาไว้คุยได้เยอะเลยนะพ่อ”
คราวนี้เขมรัฐไม่ค้านลูกชาย เพราะเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคนพูดถึงโรงเรียนชลพิทักษ์กับผอ.คเชนทร์ในมุมมองไม่ดีมาก่อนเช่นกัน
ต่อค่ะ
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ธ.ค. 54 16:14:02
|
|
|
|