นิมิต หอพัก และสัมผัสพิเศษ
|
|
กราบสวัสดีทุกคนที่เข้ามารับชมกระทู้นี้
วันนี้ขอพักเรื่องยาวไว้หนึ่งวันครับเพราะมีเรื่องสั้นมาโพสต์แทน อิอิ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนครับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องที่เจ็ดของผมที่ได้ตีพิมพ์กับบรรลือสาส์นในขายหัวเราะ ฉบับ 1165 แต่เป็นครั้งแรกที่ใช้นามปากกาว่าทะเลเดือด(ปกติใช้แต่เธียร อาชาปราชญ์)
และเป็นครั้งแรกในการนำมาโพสต์ที่นี่เพราะอยากจะบอกที่มาที่ไป รวมถึงคำอธิบายในเรื่อง ซึ่งการตีพิมพ์ไม่มีพื้นที่สำหรับให้นักเขียนอธิบาย บางครั้งเวลาเขียนเรื่องสั้นเสร็จและได้ตีพิมพ์สักเรื่องหนึ่ง ผมก็อยากจะเล่าให้คนอ่านฟังอ่ะนะว่าเรื่องๆ นี้ได้ที่มาจากไหน อะไรเป็นแรงบันดาลใจ รู้สึกอย่างไรขณะเขียน
ทีนี้เลยตั้งใจว่า หากเรื่องสั้นเรื่องไหนได้ตีพิมพ์อีก เมื่อหนังสือวางแผงแล้วผมก็จะอาศัยพื้นที่ตรงนี้นำมาโพสต์ลงที่นี่เพื่อเติมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและบอกเล่าที่มาที่ไปของแต่ละเรื่อง เผื่อมีคนอ่านแล้วเกิดข้อสงสัยครับ
เอาล่ะ พล่ามมากไปแล้ว ขอเชิญติดตามเกร็ดประวัติความเป็นไปของเรื่องสั้นเรื่องนี้ได้ในท้ายบทคร้าบบบ ^^
---------------------------------
นิมิต หอพัก และสัมผัสพิเศษ
โดย
ทะเลเดือด
ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มั้ยครับที่ว่า คนเราหากผูกพันกันมากๆ จะสามารถสื่อสารทางจิตใจได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด เหมือนเป็นพลังจิตชนิดหนึ่ง และหากจะบอกว่าผมมีพลังพิเศษแบบนั้นก็คงไม่ผิดนัก แต่ไม่มีใครรู้ว่าผมมีพลังพิเศษ ผมไม่เคยบอกใคร และคิดว่าจะไม่บอกไปตลอดชีวิต
ลางสังหรณ์ของผมมักจะมาแบบไม่ทันตั้งตัว เช่นสมมติว่าผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่ ผมสามารถรู้ได้ว่าโฆษณาตัวต่อไปที่กำลังจะฉายคือโฆษณาผลิตภัณฑ์ยี่ห้อใดหรือรู้ว่าข่าวต่อไปที่ผู้ประกาศกำลังจะอ่านคือข่าวอะไร แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมบ่อยนัก ในชีวิตนี้ ผมสามารถนับได้ด้วยนิ้วมือเพียงข้างเดียวว่ามันเกิดขึ้นทั้งหมดกี่ครั้ง
แต่นั่นยังไม่นับรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้ - คืนที่สำคัญที่สุดคืนหนึ่งในชีวิตของผม
********
“ป่านนี้แล้วทำไมไอ้ไหมมันยังไม่กลับอีกล่ะ “ ยายบ่นพลางชะเง้อคอมองนาฬิกาที่เข็มชี้เวลาสองทุ่มครึ่ง “มันโทร.มาบอกอะไรเอ็งบ้างหรือเปล่า ไอ้คราม?” “เปล่านะยาย สงสัยไหมมันจะติดงานที่คณะล่ะมั้ง เห็นบอกว่าได้รับคัดเลือกเป็นดรัมเมเยอร์ด้วยนี่” ผมตอบขณะจัดแจงปิดประตูร้านด้วยจิตใจที่กระวนกระวายไม่แพ้ยาย “เดี๋ยวพอมันมาถึงก็คงโทร.เข้ามาเรียกให้ผมขี่รถไปรับเองล่ะ ยายไม่ต้องห่วงหรอก” ยายไม่ตอบ นางถอนหายใจ แล้วเหลือบมองนาฬิการาวกับว่ากลไกของมันทำงานผิดปกติ เมื่อผมจัดการเลื่อนปิดประตูร้านขายของชำซึ่งเป็นทั้งร้านและเป็นทั้งบ้านของเราเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างยายที่โต๊ะเก็บเงินเพื่อทำบัญชีประจำวัน สายตาของยายแย่เกินไปที่จะคำนวณบวกลบและจดตัวเลข แต่จะให้พูดจริงๆแล้ว ตอนนี้ผมก็ไม่ค่อยมีอารมณ์มานั่งจดบัญชีเสียเท่าไหร่ ไหมควรจะกลับบ้านมาตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อน เธอควรจะต้องโทรศัพท์มาหาเพื่อให้ผมขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปรับที่หน้าปากซอยตอนหนึ่งทุ่มตรงเหมือนเช่นทุกวัน ผมไม่แปลกใจเลยว่ายายรู้สึกอย่างไร ผมเองก็ร้อนใจเมื่อโทรศัพท์ของไหมไม่มีคนรับสาย ผมเป็นเด็กที่ยายเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่อายุสองขวบ ผมอยู่กับยายมาได้สิบเก้าปีแล้ว พร้อมๆกับที่ไหมย้ายมาอยู่กับยายหลังพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก
ผมกับไหมมีอายุเท่ากัน เราเติบโตมาด้วยกันเพราะอย่างนั้นเราจึงรักกันมาก ผมเป็นคนที่เงียบขรึม ไม่ชอบพูดคุยกับใครโดยไม่จำเป็น นั่นเลยทำให้ผมแทบไม่มีเพื่อนเลยสักคนตอนเรียนหนังสือ และอันที่จริงแล้ว เพื่อนในชีวิตจริงของผมก็มีเพียงไหมคนเดียวเท่านั้น
ครั้งแรกที่ผมได้รู้จักพลังพิเศษของตัวเองก็เป็นเพราะไหม ตอนนั้นเราทั้งสองคนยังเด็กมาก ผมและเธอเรียนอยู่อนุบาลสองในโรงเรียนที่ไม่ห่างจากบ้านของยายนัก ช่วงพักกลางวันเป็นเวลาที่ผมชอบหลบมานั่งแกะข้าวกล่องกินคนเดียวข้างสนามเด็กเล่นในขณะที่คนอื่นๆ พากันจับกลุ่มทานข้าวในโรงอาหาร ในวันนั้น วันที่ทุกอย่างปกติ มันก็เริ่มต้นขึ้นอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
ผมยังไม่ทันเปิดข้าวกล่องที่ยายทำมาให้จากบ้านด้วยซ้ำ ร่างของผมก็สะท้านคล้ายโดนไฟช็อต ภาพรอบกายพร่ามัว ใบหน้าของไหมที่เปรอะน้ำตาผุดขึ้นในสิ่งที่ผมเรียกว่านิมิต สลับด้วยภาพของโต๊ะอาหารที่ข้าวกล่องของไหมถูกคว่ำกระจัดกระจาย หูของผมแว่วเสียงหัวเราะของเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังลอยมาจากที่อันไกลแสนไกลว่า
“ไอ้ลูกไม่มีพ่อ ไอ้ลูกไม่มีแม่ ไอ้ลูกไม่มีพ่อแม่ แบร่ๆๆๆ!!!” เสียงของเด็กชายคนนั้นเย้ยหยันปนมากับเสียงร้องไห้ของไหม ผมลุกขึ้นยืนในทันทีทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ผมกับไหมมักจะโดนพวกเด็กเกเรในห้องล้อเสมอว่าเป็นลูกไม่มีพ่อแม่ ก็อย่างที่บอกครับ ในตอนนั้นผมยังเด็ก ไม่รู้ว่าพลังพิเศษและความโกรธคืออะไร แต่มันก็เข้ามาทักทายผมเป็นครั้งแรกในคราวนั้น
เท้าทั้งสองพาผมวิ่งไปตามทางเดินจากสนามเด็กเล่นสู่โรงอาหารโดยอัตโนมัติ ผมไม่รู้ว่าไหมนั่งอยู่ที่โต๊ะไหน แต่เท้าของผมก็พุ่งตรงไปที่โต๊ะตัวหนึ่งเหมือนมันรู้ว่าควรจะไปตามหาไหมที่ไหน ทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณและความรู้สึก ที่โต๊ะตัวนั้น ผมพบไหมนั่งร้องไห้เอามือปิดหน้า ไม่ห่างกันนักไอ้เด็กเกเรคนนั้นยังยืนยิ้มอย่างสะใจ
อาจฟังดูเหมือนเรื่องในนิยาย แต่คงไม่ต้องบอกนะครับว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เอาเป็นว่าผมโดนครูตีจนก้นลายจนยายต้องทายาหม่องให้เกือบอาทิตย์ ส่วนไอ้เด็กเกเรคนนั้นก็ไม่กล้ามาโรงเรียนอีกหลายวัน แถมแม่ของหมอนั่นยังมาร้องเรียนครูใหญ่ด้วยว่า ผมพยายามฆ่าลูกของเธอทั้งที่ผมกับหมอนั่นมีอายุห้าขวบเท่ากัน แต่หลังจากนั้น ผมก็ไม่เคยปล่อยให้ไหมนั่งทานข้าวคนเดียวอีกเลย และเหตุการณ์ทำนองนั้นได้กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในคืนนี้ เพียงแต่มันหนักหนาสาหัสกว่าตอนเป็นเด็กมากหลายเท่าตัว
ผมกำลังเข้าครัวมาชงน้ำหวานให้ยายดื่มแก้ร้อนใจที่ไหมยังไม่กลับบ้าน เมื่อเห็นภาพนั้น ภาพแห่งนิมิตที่ผุดวาบขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ภาพที่ทำให้ผมรู้ว่าไหมกำลังตกอยู่ในอันตราย...ภาพที่ผมเห็นคือตึกสีขาวสี่ชั้นหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆที่ไหนสักแห่ง มันดูเหมือนหอพักสภาพดีทั่วไปที่มีรั้วไม้และประตูปิดกั้นเป็นสัดส่วน หัวใจผมกระตุกวูบ แก้วน้ำหลุดจากมือตกแตกดังเพล้ง เศษแก้วกระจายไปทั่ว น้ำหวานในแก้วเจิ่งนองเต็มพื้นห้องแดงฉานเหมือนหย่อมเลือด
ภาพหอพักสีขาวผุดวาบเข้ามาให้เห็นอีกครั้ง และสลับด้วยภาพของแจกันลายครามสูงระดับหัวเข่าใบหนึ่งที่บรรจุกล้วยไม้สีสดใสอยู่ภายในเพื่อตกแต่งให้สวยงาม ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือประตูสีขาวบานหนึ่ง บนประตูมีป้ายไม้สีน้ำตาลสลักลวดลายวิจิตรติดตรึงอยู่
ผมได้ยินเสียงของไหมแว่วผะแผ่วดังมาจากหลังประตูบานนั้น
“ช่วย...ด้วย...ช่วยไหมด้วย”
ผมหอบหายใจ ได้ยินเสียงผู้ชายหัวเราะดังแทรกเข้ามา และเหนือเสียงนั้น ผมแว่วเสียงแหลมสูงหวีดหวิวกรีดดังยาวนาน
แล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบลง
ผมนึกอยู่ครู่หนึ่งว่าเสียงที่ได้ยินมันเป็นเสียงของอะไร มันคุ้นหูมาก แต่กลับนึกไม่ออกในเวลากะทันหัน จนกระทั่งผ่านไปได้เกือบสิบนาที ผมก็นึกได้ว่าเสียงของมันคล้ายเสียงของเครื่องบินเวลาที่ร่อนขึ้นและร่อนลงสู่สนามบิน ซึ่งเคยมีเรื่องฟ้องร้องกันมาแล้วจากชาวบ้านที่ต้องอาศัยอยู่ใกล้ๆ สนามบิน เพราะเสียงเครื่องบินนั้นดังรบกวนทะลวงรูหูได้ไม่ต่างจากสว่านเหล็ก แต่ในกรุงเทพมีสนามบินอยู่สองแห่งคือดอนเมืองและสุวรรณภูมิ มันหมายความว่าไงล่ะ?
ไหมอยู่ที่สนามบินงั้นหรือ? รึว่าเธอถูกใครสักคนพาไปที่สนามบิน ไม่ใช่แน่ๆ ผมบอกตัวเอง สัมผัสพิเศษของผมบ่งบอกว่าไหมถูกใครคนหนึ่งจับตัวไป ประตูห้องที่ผมเห็นมันเหมือนประตูห้องตามบ้านพักหรืออพาร์ตเม้นต์ทั่วไป แสดงว่าไหมถูกจับตัวไปหอพักที่ไหนสักแห่งที่อยู่ใกล้สนามบิน อยู่ในรัศมีที่เครื่องบินต้องโฉบผ่านหลังคาเป็นระยะๆใช่มั้ย?
แต่คนที่จับไหมไปจะจับไปเพื่ออะไรกัน? ไหมไม่เคยมีเรื่องกับใครนอกจากไอ้พวกผู้ชายที่พยายามมาตามตื๊อเธอ ผมเหลือบมองนาฬิกา เพิ่งสามทุ่มกว่าและขณะที่ความงุนงงกำลังเล่นงานผมจนมืดแปดด้านนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงผู้ชายแทรกขึ้นอีกครั้ง เสียงนั้นเบาหวิวคล้ายล่องลอยมาจากดินแดนสุดขอบฟ้า
“ไหม...ไหมหนีเราไม่พ้นหรอก คืนนี้ไหมจะต้องเป็นเจ้าสาวของเรา”
มีเสียงเครื่องบินโฉบผ่านดังผสมเข้ามา ผมปวดตึบที่ขมับทั้งสองข้าง เสียงผู้ชายคนนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม มันไม่คุ้นหูผมเลย แต่เดาจากน้ำเสียงอายุคงไม่มากเท่าไหร่ อาจจะเป็นคนรุ่นเดียวกับพวกเราด้วยซ้ำ ผมท้าวมือกับตู้เย็นเพื่อพยุงตัวเองไว้ ยายเดินเข้ามาเห็นพอดี นางมองแก้วน้ำแดงที่กระจายอยู่บนพื้นแล้วดึงสายตาขึ้นมาจ้องผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่า ไอ้คราม เห็นบอกจะมาชงน้ำหวานให้ยายแล้วหายจ้อยไปเลย นึกว่าแอบขึ้นห้องไปแล้วเสียอีก แล้วไอ้ไหมโทร.มาหาบ้างหรือยัง?”
“โทร.มาแล้วล่ะครับ ไหมบอกว่าคืนนี้อาจจะกลับดึก มันแวะไปทำรายงานที่ห้องของเพื่อน” ผมโกหกเพื่อให้ยายสบายใจ แต่สมองของผมทวีความปวดมากขึ้นทวีคูณ ผมนึกได้ว่ายังปล่อยน้ำหวานและเศษแก้วเปรอะเปื้อนและระเกะระกะอยู่บนพื้นอย่างนั้น ผมไม่ควรให้ยายเป็นคนทำความสะอาด
“ไอ้ไหมมันโทร.มาแล้วจริงๆหรือ?” ยายถามด้วยความดีใจ เมื่อผมพยักหน้า ยายก็ได้ทีบ่นอย่างโล่งอก “เฮ้อ วัยรุ่นสมัยนี้ นึกจะทำอะไรก็ไม่บอกให้ผู้ใหญ่รู้ คอยดูเถอะ กลับมาข้าจะเฆี่ยนให้หลังลายเลยเชียว”
ผมรู้ว่ายายก็พูดไปอย่างนั้น เพราะตั้งแต่ยายเลี้ยงเรามา ผมและไหมไม่เคยถูกยายตีเลยสักครั้ง
“ยายไปนอนก่อนเถอะ คืนนี้ไอ้ไหมมันกลับดึกนา” ผมพยายามพูดด้วยเสียงปกติขณะหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดน้ำแดงก่อนก้มลงเก็บเศษแก้วที่แตกกระจาย แต่ขณะนั้นเอง เสียงของไหมก็แว่วเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ผมชะงักการกระทำทุกอย่างและตั้งใจฟัง
“ปล่อยไหมไปเถอะนะพิภพ ไหมไม่เคยทำอะไรให้พิภพโกรธเคืองเลยนะ ปล่อยเถอะ ไหมขอร้อง”
ผมตัวแข็งทื่อ เสียงของไหมอ้อนวอนเหมือนคนที่กำลังจะถูกฆาตกรสังหาร พิภพ - ชื่อนั้นเป็นชื่อที่ไหมเคยเล่าให้ผมฟังว่าเป็นเพื่อนต่างคณะที่มหาวิทยาลัยซึ่งชอบแอบเดินตามเธอเหมือนคนโรคจิตคลั่งดารา ทันใดนั้น สมองของผมก็เหมือนจะแจ่มใสขึ้นมาในบัดดล ให้ตายสิ ผมน่าจะฉุกคิดได้เร็วกว่านี้!
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ธ.ค. 54 11:44:12
|
|
|
|