16 กุมภาพันธ์ 50 เมื่อรักจืด
เราเลิกกันเถอะ ดังอยู่ในหัวทุกครั้งที่เธอทำหมางเมิน แต่จิตใจก็ไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกออกไป หวังเวลาจะเยียวยาให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่เราทั้งสองต่างรอเวลาว่าใครจะระเบิดคำนั้นออกมาก่อน คำว่า เนื้อคู่ ที่ทำให้ผมเพ้อฝันว่าเธอคือตัวจริง กลับกลายเป็นคำโกหก นานวันรอยเจ็บก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าเรื่องพวกนี้มันสาหัญแค่ไหนจนกว่าจะมาพบด้วยตัวเอง มีรัก ก็มีเลิกรัก ฟังดูเหมือนง่าย เป็นคำพูดให้เตรียมใจพบความผิดหวัง แต่เอาเข้าจริงๆ ความผิดหวังก็มารวดเร็วเกิดกว่าจะตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเธอบอกให้ผมออกไปจากชีวิต
ตอนนี้กินอะไรก็ไม่อร่อย น้ำหนักผมลดไปห้ากิโล เพื่อนๆ เริ่มเป็นห่วงกับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป (ในทางที่แย่ลง) เห็นผมไม่กินข้าวปลา พอมีใครถามว่าทุกอย่างโอเคไหม ปากก็ว่าโอเค แต่ความอ่อนแอที่ส่งผ่านออกไปกับน้ำเสียงมันชัดเจนโดยไม่ต้องมีคำอธิบาย -- ผมขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่อยากไปเจอหน้าใคร เฝ้าแต่ฟังเพลงเศร้านอนเอามือก่ายหน้าผาก น้ำตาก็ดันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อภาพความหลังฉายช้ำไปช้ำมาในสมอง -- ฟังเพลงรักก็ร้องไห้ เพราะเพลงรักทุกเพลงดันทำให้ผมคิดถึงเธอ อยากจะกดเบอร์ไปหาก็นึกละอายใจ ลุกออกจากเตียงเดินไปหยิบภาพเก่าๆที่ถ่ายกับเธอขึ้นมาดู หน้านายกะหน้าน้องเขาเหมือนกันเลยเน๊อะ ดูปากกะจมูกสิ คำที่เพื่อนทักไว้แล่นขึ้นมาในหัว ผมหลับตา อยากลบความทรงจำนั้นออกไป แต่ก็ทำไม่ได้เสียที ให้ตายสิ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนติดอยู่ในกองเพลิง รอให้ใครสักคนหย่อนเชือกลงมาช่วย :-)โครตน่าหัวเราะสิ้นดี
เพื่อนๆ ว่าเราทั้งสองเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ยิ่งคิดก็เสมือนเป็นดาบสองคม ... คนเราจะเหมาะสมกันได้อย่างไรหากเราทั้งคู่ยังคงทะเลาะกับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้ทุกวัน -- ผมระแวงเธอ เธอไม่ไหวใจผม -- บางครั้งต้องเอ่ยคำว่าขอโทษทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำอะไรผิด นานวันเข้าก็กลายเป็นความบาดหมาง ตอนนี้คำว่า เลิกกันเถอะ คงไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกไป เพราะการกระทำมันชัดเจนกว่าคำพูด คำว่า ใกล้กันแต่เหมือนห่างไกล คงจะเปรียบความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี อยากจะหลบหน้าไปให้พ้นๆจากทีแห่งนี้ ... ยามได้เดินผ่านสถานที่ที่เราสองคนพบกันครั้งแรกก็ยิ่งสะเทือนใจ พลาดเหลียวตามองเข้าไปเมื่อไหร่จะเห็นภาพเราสองคนนั่งอยู่ในนั้น เธออ่านหนังสือ ส่วนผมอ่านนิยาย เราสามารถนั่งอยู่ด้วยกันได้เป็นวันๆ โดยไม่ได้คุยอะไรกัน ผิดกับตอนนี้ที่แทบไม่อยากจะมองหน้ากัน ไม่รู้ผมไปทำอะไรให้เธอเจ็บแค้นหนักหนา เธอคงเสียดายเวลาที่มาคบกับผู้ชายอย่างผม สุดท้ายคำว่า เลิกกันเถอะ ก็เป็นเธอที่เป็นคนเอ่ยปากพูดออกมาก่อนอย่างไร้เยื่อใย เล่ามาถึงตรงนี้แล้วผมก็สารภาพอย่างไม่อายเลยว่าผมเคยคิดจะฆ่าตัวตายตอนเธอบอกเลิก มันเป็นความเจ็บที่ไร้บาดแผล คิดสั้นเพียงเพราะไม่อยากจะอยู่ร่วมบนโลกใบนี้กับเธอ แต่ความคิดก็ต้องล้มเลิกไปเพราะตระหนักได้ว่าช่างโง่เขลา เตือนตัวเองให้เข้มแข็ง ต้องพาหัวใจที่แตกสลายผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้
รถแล่นจอดหน้าบ้าน พอไฟหน้ารถดับลงทิ้งแต่ความมืดมิดไว้เบื้องหลัง ได้ยินแต่ความคิดเรื่อยเปื่อยดังอยู่ในสมอง ผมถอนหายใจดังฟื้ดหวังให้ความเศร้าถูกพัดไปกับสายลมอันเย็นยะเหยือกยามเที่ยงคืน ... แต่เปล่าเลย ผมยังคงรู้สึกได้ว่า ความเหงายังคงอยู่อย่างนั้นเช่นเดิม ผมเดินเข้าไปในบ้าน พยายามเปิดไฟทุกดวงเพื่อไล่ความเงียบเหงาอันน่ากลัว และในตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้น ผมพูดกรอกสายว่าสวัสดี แต่ปลายสายก็ไม่ได้โต้ตอบ ผมเลยพูดไปอีกว่า ต้องการพูดสายกับใครครับ แล้วเขาก็วางหูไป ผมพยายามคิดว่าเขาเป็นใคร อาจจะเป็นใครสักคนที่หมุนเบอร์ผิด พอได้ยินเสียงผมปลายสายเลยตกใจวางหูทิ้ง
ผมกดโทรกลับ ตามเบอร์ที่ปรากฏอยู่ แต่ก็ไม่มีใครรับสาย ช่างมันเถอะ ผมคิดในใจ อาจจะเป็นใครสักคนโทรผิดโดยไม่เจตนาก็ได้
จากคุณ |
:
ด.ช.บ่าง
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ธ.ค. 54 15:26:45
|
|
|
|