ลิขิตรักธารามังกร บทที่ 7.
|
 |
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11356906/W11356906.html
ทักทาย
scottie : ค่อยๆ อ่านครับ ^_____^''
ปลาค่ะ (love_plaka) : ช่วงนี้จะแปะห่างๆ ไปบ้างนะครับ หลังอพยพหนีน้องน้ำไปอยู่ต่างจังหวัด 1 เดือน เพิ่งกลับเข้าบ้านได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ^^'' คงยุ่งๆ อีกสักพัก ตอนต่อไปอาจนานนิดนึง ขอโทษด้วยนะครับ ^___^''
******************************************************************************
สีพระพักตร์องค์จักรพรรดิตลอดถึงทุกพระองค์ และสีหน้าทุกคนในที่นั้นพลันแปรเปลี่ยน ความสงบสุขร่วมห้าปีถึงคราวสิ้นสุดแล้วหรือ!
หลายปีนี้สภาพการศึกเป็นการตั้งคุมเชิง การรบครั้งใหญ่เช่นศึกบุกปิดล้อมเป่ยสุ่ย อันเป็นการเผชิญหน้าระหว่างแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายและหวังซิงเหอไม่บังเกิดขึ้นอีก มีเพียงการรบย่อยๆ ตลอดแนวเขตแดน การปะทะประปรายปีละหลายครั้ง แต่ต่างฝ่ายไม่กล้าขยายแนวปะทะกระทั่งเป็นศึกใหญ่
กบฏฝ่ายเหนือไม่อาจส่งทัพข้ามลำน้ำรุกลงใต้ อาณาจักรฝ่ายใต้ก็มิอาจยกกำลังบุกขึ้นเหนือ สองฝ่ายเพียงสืบข่าวหยั่งดูเชิง ส่งกองกำลังจู่โจมรบกวน ลอบทำลายเป้าหมายยุทธศาสตร์ของอีกฝ่าย ดังนั้นหากคราวนี้เฉินเทียนหรานคิดเตรียมทัพใหญ่บุกลงใต้ ย่อมเกิดหายนะครั้งใหญ่อีกแน่นอน!
องค์หญิงเซี่ยหมิง ทรงปรับพระสุรเสียงให้มั่นคง รับสั่งถาม “ท่านแม่ทัพอาศัยเหตุผลใดจึงกล่าวเช่นนี้”
แม่ทัพเย่ซือป้าย กราบทูลตอบ “เฉินเทียนหรานหมายยึดครองดินแดนทั้งหมด เป้าหมายนี้ของมันไม่เคยเปลี่ยนแปลง เหตุผลเดียวที่ร่วมห้าปีนี้มันไม่ยกทัพใหญ่ลงใต้ เนื่องเพราะหลังประหารจูกัดจิ้น ภายในกองทัพบังเกิดคลื่นใต้น้ำ เฉินเทียนหรานไม่กล้าให้อำนาจบรรดาแม่ทัพเรียกระดมพล ถืออาญาสิทธิ์ในการสั่งเคลื่อนทัพ แต่เวลานี้ก็ผ่านมาร่วมห้าปี...”
เย่ซือป้ายทอดถอนใจ ร่างไม่สูงใหญ่หากหยัดยืนมั่งคงประดุจภูผา วัยห้าสิบห้าปีอันโรยรา กรำศึกกลางสมรภูมิกว่าค่อนชีวิต ต้านคลื่นแห่งเพลิงสงครามมิให้ผลาญมหาอาณาจักร ริ้วรอยตรากตรำฝังลึกบนใบหน้ากร้าน เส้นผมแทบขาวโพลนสิ้น แววตาสงบนิ่งงำประกายแฝงแววกังวลลึกซึ้ง
“การเปลี่ยนถ่ายอำนาจในกองทัพ จากจูกัดจิ้นมาเป็นหวังซิงเหอควรบรรลุผลแล้ว เฉินเทียนหรานควรคุมอำนาจในกองทัพเบ็ดเสร็จอีกครั้ง อีกทั้งเหล่าทหารฝ่ายกบฏได้ผ่อนพักฟื้นฟูกำลัง จัดหาอาวุธตระเตรียมเสบียงกรังมาเกือบห้าปี กองทัพของพวกมันควรพร้อมทำศึกใหญ่อีกครั้ง”
เสนาบดีกลาโหมเซี่ยสุ่ยเสอ กราบทูลสนับสนุน “เหตุผลของท่านแม่ทัพใหญ่นับว่ามีความเป็นไปได้สูงยิ่ง อาจบางทีเหตุการณ์ในรอบหลายเดือน ทั้งข่าวลวงและแผนทำลายหน่วยจู่โจมของเรา พวกมันอาจหวังผลต้องการศึกษายุทธวิธี หยั่งกำลังรบและขีดความสามารถของไพร่พล ทั้งทดสอบประสิทธิภาพการข่าวของพวกเรา”
องค์หญิงอวี่หมิง รับสั่งแย้งขึ้นว่า “แต่จากที่หานอี้ซินเล่า เวลานี้ในกองทัพฝ่ายกบฏ คล้ายยังมีคลื่นใต้น้ำและผู้ภักดีต่อจูกัดจิ้นอยู่ หวังซิงเหอจะกุมอำนาจทั้งหมดไว้ได้จริงหรือ”
เย่ซือป้าย กราบทูลอธิบาย “คำกล่าวของหานอี้ซินเวลานี้ยังไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งหมด อีกทั้งแม้ยังมีผู้ภักดีต่อจูกัดจิ้นจริง แต่คนเหล่านั้นคงไม่สามารถเคลื่อนไหวก่อการใดได้แล้ว เหตุผลที่ยืนยันในเรื่องนี้คือ การส่งหานอี้ซินซึ่งเป็นเพียงผู้รอดชีวิตจากช่องเขาประตูสวรรค์ มาสะสางหนี้แค้นให้จูกัดจิ้นเพียงลำพัง ทั้งที่ความจริงแล้วหากมีกำลังในมือ เมื่อพบตัวเถียนฟู่โหย่วควรส่งเหล่ามือสังหารมาจัดการ มิใช้ปล่อยให้หานอี้ซินลงมือเพียงคนเดียว”
จักรพรรดิว่านอู้พยักพระพักตร์ ทรงเห็นด้วย รับสั่งว่า “ท่านแม่ทัพตระเตรียมระดมกำลัง จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ฝึกซ้อมไพร่พลให้พร้อมสรรพ ท่านเซี่ยดูแลจัดหาเสบียงกรัง เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เต็มทุกยุ้งฉาง ซ่อมแซมปรับปรุงเส้นทางลำเลียง ท่านหลูจัดการเรื่องเบิกจ่ายเบี้ยหวัด ยกเว้นภาษีให้ครอบครัวผู้ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ สนับสนุนการเบิกจ่ายให้ท่านแม่ทัพและท่านเซี่ย”
แม่ทัพใหญ่และเสนาบดีทั้งสองรีบน้อมรับพระบัญชา
องค์หญิงอวี่หมิง ยังทรงไม่คลายข้อสงสัย รับสั่งถามเย่ซือป้าย “แล้วเรื่องของเถียนฟู่โหย่ว เหตุใดต้องสังหารคนผู้นี้”
องค์หญิงเซี่ยหมิง ทรงส่ายพระพักตร์ “เถียนฟู่โหย่วจะเกี่ยวอะไรด้วย”
เสนาบดีคลังหลูเฟิงต้า ซึ่งนิ่งเงียบเนิ่นนาน เอ่ยถามเย่ซือป้าย “เป็นไปได้หรือไม่ บางทีพวกมันคิดจะ…”
แมทัพใหญ่เย่ซือป้าย พยักหน้าตอบรับ “ข้าพเจ้าก็สงสัยเช่นเดียวกับท่าน เป้าหมายของมันอาจเป็น...”
เสนาบดีกลาโหมเซี่ยสุ่ยเสอ หันมองหน้าคนทั้งสองไปมาด้วยความฉงน เพราะจนบัดนี้ตนยังคิดไม่ออกว่าเถียนฟู่โหย่วเข้ามาเกี่ยวข้องตรงไหน
จักรพรรดิว่านอู้ รับสั่งกับเซี่ยสุ่ยเสอ “ท่านเซี่ยเข้ารับตำแหน่งหลังเถียนฟู่โหย่วหายตัวไป ดังนั้นไม่ทราบเรื่องนี้...”
ทรงหันไปรับสั่งกับองค์หญิงอวี่หมิง “เจ้าส่งม้วนผ้าแพรให้ท่านแม่ทัพกับท่านหลูตรวจดู”
องค์หญิงอวี่หมิง ทรงส่งม้วนผ้าแพรในกระบอกโลหะให้เย่ซือป้ายและหลูเฟิงต้า แม่ทัพใหญ่และเสนาบดีคลัง พิจารณาม้วนผ้าแพรอย่างถี่ถ้วน ต่างพยักหน้าลงความเห็นเช่นเดียวกัน
เย่ซือป้าย กราบทูลว่า “ม้วนผ้าแพรคือแบบก่อสร้างนครใต้ดิน เป็นผืนเดียวกับที่เถียนฟู่โหย่วถวายให้ทอดพระเนตร พระเจ้าค่ะ”
จักรพรรดิว่านอู้ทรงพยักพระพักตร์ ทอดถอนพระทัย รับสั่งพระสุรเสียงอ่อนล้า “ท่านแม่ทัพอธิบายให้ทั้งหมดฟังเถอะ”
เย่ซือป้ายรับพระบัญชา สุ้มเสียงกังวาน เอ่ยอย่างแช่มช้า “ห้าปีก่อน หลังเถียนฟู่โหย่วเข้าสวามิภักดิ์ คนผู้นี้มอบผ้าแพรม้วนนี้ให้ทรงพิจารณา ม้วนผ้าแพรบรรจุแบบก่อสร้างนครใต้ดินขนาดใหญ่ ประกอบด้วยวิธีสร้างอาคารบ้านเรือน พระตำหนัก รวมถึงป้อมค่ายปราการ เถียนฟู่โหย่วเล่าว่าซื้อแพรม้วนนี้จากพ่อค้า ที่เดินทางมาจากอาณาจักรโพ้นทะเล หลังศึกษารายละเอียดพบว่าสามารถก่อสร้างได้จริง ดังนั้นทูลขอฝ่าบาทดำเนินการ...”
องค์หญิงเซี่ยหมิง องค์หญิงอวี่หมิง หันสบพระเนตร ต่างไม่ทรงรับรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย...
เสนาบดีกลาโหมเซี่ยสุ่ยเสอมีสีหน้าปั้นยาก ร่างสันทัดกระสับกระส่ายไปมา สงสัยว่าเหตุใดไม่มีเอกสารข้อมูลเรื่องนี้ผ่านตา แม้เข้ารับตำแหน่งหลังการหายตัวไปของเถียนฟู่โหย่ว แต่จะอย่างไรต้องมีเอกสารทิ้งไว้ให้ ทว่ากลับไม่พบข้อมูลเรื่องนี้ผ่านตา นี่เป็นเรื่องราวใดกันแน่...
แม่ทัพใหญ่ เล่าสืบต่อว่า “ฝ่าบาททรงเห็นว่านครใต้ดินเป็นปราการต้านยันอันแข็งแกร่ง แม้ฝ่ายกบฏยกทัพสามารถข้ามลำน้ำ กระทั่งยึดครองหนานสุ่ยไว้ได้ยังไม่อาจบุกเข้านครใต้ดิน ปราการใต้ดินแห่งนี้สามารถทั้งรุกและรับ กว้างขวางใหญ่โตแทบเทียบเท่าเมืองๆ หนึ่ง หากสะสมเสบียงเพียงพอ สามารถอยู่อาศัยภายในได้นานนับหลายปี กองทัพกบฏหากบุกเข้ายึดครองไม่ได้ อย่าหมายรุกเดินหน้ายึดครองดินแดน ดังนั้นมีพระบัญชาให้เถียนฟู่โหย่ว ข้าพเจ้า ท่านหลูและเสนาบดีกลาโหมคนก่อน ดำเนินการจัดสร้างเป็นการลับ...”
เย่ซือป้ายส่ายหน้า น้ำเสียงเริ่มเจือแววโทสะ “คิดไม่ถึง...เถียนโหย่วเจ้าเล่ห์กลับกลอก! มันเบิกเงินทองจากพระคลังมากมาย แสร้งสำรวจสถานที่ตระเตรียมก่อสร้างเป็นการใหญ่ มันทำงานแนบเนียนนัก หนึ่งปีให้หลังจึงรู้ว่าถูกมันหลอก! เถียนฟู่โหย่วหายตัวไปพร้อมเงินทองที่เบิกจ่ายให้มันสร้างนครใต้ดิน!”
องค์หญิง องค์ชาย เสนาบดีกลาโหมอุทานด้วยความตกใจ การจัดสร้างนครใต้ดินไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องใช้งบมหาศาล หากเถียนฟู่โหย่วหลอกลวงให้เบิกจ่ายให้มันถึงหนึ่งปี โดยมิได้มีการก่อสร้างจริง นั่นย่อมเป็นเงินทองจำนวนมากมายมหาศาล!
เสนาบดีคลังหลูเฟิงต้า เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน กล่าวว่า “เงินจากท้องพระคลังถูกมันเบิกไปถึงหนึ่งในสี่!”
เย่ซือป้ายพยักหน้า เล่าเรื่องราวสืบต่อ “เถียนฟู่โหย่วหายเข้ากลีบเมฆ สาบสูญไร้ร่องรอย พวกเราตามล่าหาตัวแทบพลิกแผ่นดิน ส่งหน่วยข่าวติดตามสืบจนแน่ชัดมันไม่ได้กลับขึ้นเหนือ หน่วยข่าวจากทุกสถานที่ล้วนไม่ได้ร่องรอยของมัน หลังทุ่มเทกำลังติดตามหนึ่งปีเต็มยังไม่มีความคืบหน้าใด พวกเราจึงเข้าใจว่ามันคงออกไปโพ้นทะเลแล้ว มิคาด มันหายไปสามปียังหวนกลับมาพบจุดจบที่นี่”
องค์หญิงอวี่หมิงทรงลำดับเรื่องราวทั้งหมด ทรงเริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดเหตุใดขึ้น... ปัญหาหลายข้อที่ไม่อาจหาคำตอบ บัดนี้ปรากฏกระจ่างชัด... เถียนฟู่โหย่วหลอกลวงจนได้เงินทองในพระคลังไปถึงหนี่งในสี่…
เรื่องนี้ไม่อาจแพร่งพรายให้ผู้ใดรับรู้เด็ดขาด! ไม่เช่นนั้น...เสด็จพ่อจะผิดซ้ำรอยเสด็จทวด!
องค์หญิงอวี่หมิงทรงถอนพระทัย นับสิบกว่าปีนี้ผู้คนในอาณาจักรเทียนหมิง ต่างกล่าวโทษว่าความเสื่อมโทรมของมหาอาณาจักรเริ่มก่อตัวขึ้นในสมัยเสด็จทวดของพระองค์ ทั้งที่ตอนต้นของรัชสมัย เสด็จทวดทรงออกศึกบัญชาการรบกระทั่งสามารถรวบรวมดินแดนตะวันตก ผนวกเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรได้สำเร็จ...
ดินแดนตะวันตกอันเป็นถิ่นกำเนิดของจูกัดจิ้นและหานอี้ซิน พื้นที่กว้างขวางชัยภูมิอันตรายซ้ำยังแร้นแค้นกันดาร ผู้คนในดินแดนล้วนเป็นนักรบบนหลังม้าเชี่ยวชาญการศึก เสด็จทวดทรงใช้กำลังทหารที่มากกว่าหลายเท่าตัว โหมทุ่มเทกำลังคนกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ โอบล้อมโจมตีต่อเนื่องหลายปีค่อยยึดดินแดนแห่งนั้นได้...
...ทว่าความสำเร็จที่ได้มา ย่อมแลกมาด้วยการใช้จ่ายเงินทองในท้องพระคลังถึงครึ่งหนึ่ง ทั้งเมื่อทรงสามารถปฏิบัติภารกิจซึ่งจักรพรรดิองค์ก่อนๆ มิอาจกระทำได้สำเร็จ แทนที่จะทรงผ่อนพักราษฎรปลดประจำการไพร่พล ปล่อยทั้งหมดกลับไปอยู่กับครอบครัวฟื้นฟูที่นาทำกินของตน พระองค์กลับยิ่งทรงมีพระบัญชาเกณฑ์แรงงาน ก่อสร้างวัดวาอารามขนาดใหญ่โตทั่วอาณาจักร เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์ให้กับชัยชนะของพระองค์...
ตลอดระยะเวลาหลายปีในช่วงสงคราม ผืนดินไร่นาอันอุดมทั้งสามลุ่มแม่น้ำแทบรกร้างว่างเปล่า เนื่องเพราะประชาราษฎร์ต่างถูกเกณฑ์เข้าร่วมสงคราม ทั้งต้องสูญเสียชีวิตกลางสมรภูมิสุดคณานับ ผู้ที่รอดชีวิตกลับมายังต้องถูกเกณฑ์ต่อเนื่อง สร้างวัดวาอารามทั่วทั้งอาณาจักรเหนือจรดใต้ เงินทองในท้องพระคลังถูกเบิกจ่ายแทบหมดสิ้น...
อีกทั้งมิอาจเก็บภาษีเพิ่มเต็ม...ประชาชนถูกเกณฑ์แรงงาน ผืนดินถูกปล่อยร้าง ยังจะเก็บภาษีอากรจากผู้ใด...
ซ้ำร้ายในปลายรัชสมัย เสด็จปู่ทรงหลงเชื่อเหล่านักพรตจอมปลอม ก่อสร้างพระตำหนักเทิดฟ้าอันใหญ่โต สูงตระหง่านเทียมฟ้ากลางพระราชอุทยาน เพียงเพื่อให้เหล่านักพรตใช้เป็นสถานที่กลั่นปรุงยาอายุวัฒนะ สูญพระราชทรัพย์ไปอีกมหาศาล ทว่าที่สุดพระองค์ก็มิอาจเป็นอมตะ...
นี่เองเป็นจุดเริ่มความเสื่อมโทรมของมหาอาณาจักร... เสด็จพ่อมิอาจทรงผิดพลาดเช่นนั้น...มิอาจให้อาณาประชาราษฎร์ทราบว่าทรงผิดพลาด...
องค์หญิงย่อมทรงทราบ เสด็จพ่อไม่ทรงมีทางเลือกอื่นใด หากต้องการปกปิดเรื่องนี้ จำต้องปล่อยให้การหายตัวไปของเถียนฟู่โหย่วเงียบหายราวหมอกควัน หลักฐานการสร้างเมืองใต้ดินทั้งสิ้นต้องถูกทำลาย...
องค์ชายตงหมิงขมวดพระขนง รับสั่งด้วยความฉงน “เถียนฟู่โหย่วในเมื่อหายไปพร้อมกับเงินทองมากมาย แล้วจู่ๆ มันกลับมาทำไม...”
แม่ทัพเย่ซือป้ายส่ายหน้า ทอดถอนใจ กราบทูลว่า “ประการนี้กระหม่อมก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้ เถียนฟู่โหย่วหายไปไหนมาถึงสามปี แต่ในเมื่อมันกลับมาพร้อมม้วนผ้าแพร ทั้งกำลังส่งมอบแบบก่อสร้างนี้สู่ภายนอก สิ่งที่กระหม่อมคาดเดาไว้คือ...เถียนฟู่โหย่วอาจแปรพักตร์อีกครั้ง ไม่แน่ว่าหลังเฉินเทียนหรานรวบอำนาจในกองทัพได้ มันอาจพยายามหาตัวเถียนฟู่โหย่วอีกครั้ง เป้าหมายอาจต้องการแบบก่อสร้างม้วนนี้ เฉินเทียนหราน...อาจคิดสร้างนครใต้ดินก็เป็นได้...”
ทุกพระองค์ ทุกคนต่างนิ่งครุ่นคิด ข้อสันนิษฐานของเย่ซือป้ายแม้ไม่มีข้อมูลหลักฐานใดรองรับ แต่นับเป็นคำอธิบายเดียวในขณะนี้ที่น่าจะเป็นไปได้ อย่าว่าแต่จากคำบอกเล่าของหานอี้ซิน เถียนฟู่โหย่วไม่เคยคิดแปรพักตร์ตั้งแต่แรก เหตุที่ต้องแปรพักตร์เพราะถูกทรยศ หากเฉินเทียนหรานให้ความสำคัญกับม้วนผ้าแพร ไม่แน่ว่าเถียนฟู่โหย่วอาจตัดสินใจเปลี่ยนข้างอีกครั้ง...
เซี่ยสุ่ยเสอออกความเห็น กึ่งไต่ถาม “เช่นนี้แสดงว่า ผู้สังหารเถียนฟู่โหย่ว เป็นพวกกบฏสินะ”
เย่ซือป้ายพยักหน้า กล่าวอย่างมั่นใจ “อาจเป็นเฉินเทียนหรานเมื่อได้ม้วนผ้าแพร คิดฆ่าเถียนฟู่โหย่วปิดปาก หรืออาจเป็นผู้ภักดีต่อจูกัดจิ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่มิใช่ฝ่ายเราอย่างแน่นอน”
จักรพรรดิว่านอู้ทรงรับสั่งกับเย่ซือป้าย “ท่านแม่ทัพจะดำเนินการอย่างไรต่อไป”
แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้าย กราบทูลตอบว่า “ไพร่พลกำลังรบของเราตระเตรียมพร้อมสรรพ ที่ต้องการยิ่งเวลานี้คือการข่าวที่แม่นยำ หากพวกกบฏคิดยกทัพใหญ่ลงใต้ต้องมีเป้าหมายโจมตีที่จุดเดียว เพราะพวกมันรู้ดีว่าไม่อาจแบ่งแยกกำลังโจมตีได้ หากกระจายกำลังจู่โจมหลายจุดพร้อมกัน จะอย่างไรไม่สามารถฝ่ากองทัพของเราทางข้ามลำน้ำได้แน่นอน ดังนั้นต้องหาข่าวให้ได้ว่าพวกมันต้องการโจมตีจุดไหนเวลาใด พระเจ้าค่ะ...”
ทว่าเย่ซือป้ายกลับส่ายหน้า ทอดถอนใจ กราบทูลต่อว่า “สิ่งที่กระหม่อมน่าหนักใจคือ พวกมันทำให้เรารู้ว่าเวลานี้ในกองทัพมีไส้ศึก ทั้งการข่าวซึ่งมีความสำคัญต่อเรายิ่ง กลับกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของพวกเรา เรื่องนี้น่ากังวลจริงๆ พระเจ้าค่ะ”
จักรพรรดิว่านอู้พยักพระพักตร์ ทรงมีพระบัญชา “ท่านจัดการเรื่องไส้ศึกให้ได้ เราให้ท่านใช้ทุกวิธีเพื่อกระชากตัวมันออกมา!”
รับสั่งเสร็จ ทรงฉุกคิดถึงอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ต้องหารือ ทรงหันไปรับสั่งกับเสนาบดีคลังหลูเฟิงต้า “อีกสามวันจะทำการซักซ้อมพิธีบวงสรวงพระแม่ฉางเอ๋อ ท่านเตรียมการพร้อมแล้วใช่ไหม”
หลูเฟิงต้า กราบทูลด้วยความมั่นใจ “กระหม่อมจัดการทุกอย่างพร้อมแล้ว ฝ่าบาททรงวางพระทัย”
จักรพรรดิว่านอู้ทรงพยักพระพักตร์ พระสุรเสียงเคร่งเครียด มีพระบัญชาต่อองค์หญิงอวี่หมิง “ตั้งแต่วันนี้จนสิ้นเทศกาลเดือนแปด ห้ามเจ้าออกนอกเมืองอย่างเด็ดขาด!”
องค์หญิงอวี่หมิงสีพระพักตร์เจื่อนลง เพื่อตระเตรียมกองทัพให้พร้อมรับศึกใหญ่ พระองค์ทรงมีงานมากมายต้องกระทำ ไหนเลยไม่เสด็จออกนอกเมืองได้ แต่ด้วยทรงทราบว่าพระองค์มีความผิดติดตัว ดังนั้นมิอาจกราบทูลอุทธรณ์ ทรงได้แต่ก้มหน้ารับพระบัญชา
จักรพรรดิว่านอู้ทรงมีพระบัญชาสำทับ “เซี่ยหมิง...ให้เจ้ารับผิดชอบดูแลการซักซ้อม ควบคุมน้องเจ้าอย่าให้ก่อเรื่องได้”
องค์หญิงเซี่ยหมิงทรงแย้มสรวล ด้วยทรงสมพระทัยยิ่ง รีบรับพระบัญชา
จักรพรรดิว่านอู้ทรงรับสั่งถามหลูเฟิงต้า เรื่องการตระเตรียมพิธีเทศกาลเดือนแปดอีกเล็กน้อย ทรงมีพระบัญชาให้ เย่ซือป้ายและเซี่ยสุ่ยเสอจัดกำลังทหาร รักษาความปลอดภัยดูแลความเรียบร้อย ทั้งในวันซักซ้อมและวันงานพิธี รับสั่งเรื่องราวเสร็จสิ้นจึงเสด็จกลับห้องทรงพระอักษร
องค์หญิงเซี่ยหมิงและองค์ชายตงหมิง ต่างเสด็จกลับพระตำหนักของพระองค์ ก่อนเสด็จจากพระตำหนักมุ่งฟ้า องค์หญิงเซี่ยหมิงทรงหันมารับสั่งกับพระขนิษฐา
“พรุ่งนี้เจ้าห้ามไปไหน ตระเตรียมชุดวันงานพิธีให้เสร็จเรียบร้อย แล้วเราจะไปตรวจดู!”
องค์หญิงอวี่หมิงได้แต่น้อมรับพระดำรัส เสนาบดีกลาโหมและเสนาบดีคลังต่างกราบทูลลาไปทำงาน ณ ที่ทำการของตน เหลือเพียงแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายและเย่เข่ออ้ายตามส่งเสด็จ จู่ๆ องค์หญิงทรงหยุดพระดำเนิน ทอดถอนพระทัยด้วยความกลัดกลุ้ม รับสั่งพระสุรเสียงเครียดถามเย่ซือป้าย
“เราหนักใจเรื่องไส้ศึกจริงๆ ท่านแม่ทัพ...ใช่เตรียมแผนไว้แล้วหรือไม่...”
เย่ซือป้าย กราบทูลตอบว่า “กระหม่อมกำลังคิดหาวิธีที่เหมาะสม...หากสามารถหาตัวมันโดยไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นย่อมดีที่สุด แต่หากไม่มีทางเลี่ยง บางที...กระหม่อมอาจต้องวางแผนเพื่อล่อมันออกมา เรื่องนี้ไว้เป็นธุระของกระหม่อมเถอะ...”
แม่ทัพใหญ่นิ่งไตร่ตรอง แววตาที่มององค์หญิงฉายความกังวลห่วงใย ทอดถอนใจ ก่อนตัดสินใจกราบทูล “กระหม่อมขอร้อง...ขอองค์หญิงทรงอย่าเสี่ยงภัยอีก...การทำงานให้บ้านเมืองสามารถกระทำได้หลายอย่าง องค์หญิงทรงพระปรีชา ประชาราษฎร์ต่างรับรู้แซ่ซ้องสรรเสิญ องค์หญิงมิต้อง...มิจำเป็นต้องพิสูจน์...”
บัดนั้น ทั้งเย่ซือป้ายและเย่เข่ออ้ายต่างถวายคำนับ ขอร้ององค์หญิงพร้อมกัน
สีพระพักตร์องค์หญิงอวี่หมิง แปรเปลี่ยนเป็นข**งทึง พระสุรเสียงเกือบกราดเกรี้ยวรับสั่งเสียงดัง “เรามิได้ต้องการพิสูจน์อันใด! เราเพียงต้องการทำงานให้บ้านเมือง!”
ทรงแค่นพระสรวล พลันทรงเปลี่ยนเรื่องสนทนา ทรงทราบความห่วงใยของแม่ทัพใหญ่ เย่เข่ออ้าย รวมตลอดถึงทุกคน แต่ไม่ว่าอย่างไรพระองค์มีสิ่งที่ต้องทรงกระทำ ดังนั้นไม่มีประโยชน์จะสนทนาโต้เถียงกันในเรื่องนี้
“ท่านแม่ทัพจะให้หานอี้ซิน ทำหน้าที่อะไร”
แม่ทัพใหญ่จำต้องเปลี่ยนเรื่องสนทนาตามพระองค์ “กระหม่อมคิดแต่งตั้งคนผู้นี้เป็นขุนพลข้างกาย องค์หญิงทรงคิดเห็นอย่างไร”
องค์หญิงอวี่หมิงแย้มพระสรวล ย่อมทรงเข้าพระทัยเหตุผลของเย่ซือป้าย “เหมาะสมยิ่ง...เมื่อเขาอยู่ข้างกาย ไม่ว่าทำสิ่งใดท่านย่อมต้องทราบ และแน่นอนเขาไม่สามารถทำร้ายท่านได้”
เย่ซือป้ายกราบทูลด้วยความเชื่อมั่นอย่างยิ่ง “องค์หญิงทรงพระปรีชา หานอี้ซินหากต้องการสังหารกระหม่อม กระหม่อมจะให้มันชดใช้ด้วยชีวิต เฮอะ อย่าว่าแต่สังหารกระหม่อมก็ไม่มีประโยชน์อันใด หากคิดว่าขาดกระหม่อมแล้วอาณาจักรเทียนหมิงจะล่มสลายก็ผิดเสียแล้ว จูกัดจิ้นตายไปมีหวังซิงเหอแทนที่ หากเย่ซือป้ายตายไปย่อมมีแม่ทัพผู้กล้ามารับหน้าที่สืบแทน”
องค์หญิงอวี่หมิงทรงแย้มพระสรวล “นั่นย่อมแน่นอน เหล่าแม่ทัพ ขุนพลที่ท่านฝึกปรือ ล้วนทแกล้วกล้าหาญเชี่ยวชาญศึก แต่ถึงอย่างไรท่านแม่ทัพต้องระมัดระวังตัวด้วย”
เย่ซือป้ายรับพระดำรัส ครุ่นคิดชั่วครู่ ค่อยกราบทูล “หานอี้ซินในเมื่อยังไม่มีตำแหน่งทางทหาร ควรให้พักรวมกับเหล่าราชองครักษ์ตำหนักนอกไปก่อน บ่ายนี้กระหม่อมต้องออกไปนอกเมืองตรวจดูการจัดสร้างอาวุธ อีกสามวันจึงจะกลับเข้าหนานสุ่ย รอถึงตอนนั้นกระหม่อมค่อยจัดการเรื่องของหานอี้ซิน”
“ดำเนินการตามที่ท่านแม่ทัพเห็นสมควรเถอะ”
องค์หญิงอวี่หมิงเสด็จถึงเขตพระราชฐานฝ่ายใน เย่เข่ออ้ายติดตามพระองค์เข้าไปภายใน เย่ซือป้ายกราบบังคมทูลลาเตรียมตัวออกนอกเมือง
ยามนั้นเย่ซือป้ายได้แต่ทอดถอนใจ “น่าเสียดาย...เสียดายจริงๆ ที่พระองค์มิใช่พระราชบุตร...”
เหล่านางกำนัลในพระตำหนักองค์หญิงอวี่หมิง วิ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า เนื่องเพราะต้องช่วยองค์หญิงเตรียมฉลองพระองค์เพื่อใช้ในพิธีบวงสรวงพระแม่ฉางเอ๋อ ในเทศกาลเดือนแปด
ท่ามกลางความอลหม่านย่อมๆ เพราะองค์หญิงไม่เคยให้ช่างทูลฉลองวัดพระองค์เป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นฉลองพระองค์ทุกชุดที่ทรงเลือกไว้ล้วนต้องแก้ไขทั้งสิ้น ฉลองพระองค์ที่ตระเตรียมในพิธีสำคัญเช่นนี้ ย่อมต้องพอดีพระองค์ไม่อาจคลาดเคลื่อนแม้เล็กน้อย ไม่เช่นนั้นหากมีข้อผิดพลาดระหว่างประกอบพิธี ทั้งหมดไหนเลยรอดพ้นความผิด
ขณะเย่เข่ออ้ายกำลังช่วยแต่งพระองค์ นางกำนัลผู้หนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามากราบทูลเสียงสั่น “องค์หญิงเซี่ยหมิงเพคะ องค์หญิงเซี่ยหมิงเสด็จมาถึงพระตำหนักแล้วเพคะ!”
เพิ่งสิ้นคำกราบทูลของนางกำนัล องค์หญิงองค์หญิงเซี่ยหมิงหมิงเสด็จเข้าถึงในพระตำหนักแล้ว ดวงเนตรคมกริบกวาดมองฉลองพระองค์ขององค์หญิงอวี่หมิงแวบหนึ่ง พระสุรเสียงเย็นชารับสั่งอย่างขุ่นพระทัย
“อวี่หมิง...นี่เจ้ายังลองชุดไม่เสด็จอีกหรือ ชักช้าเสียจริง!”
องค์หญิงอวี่หมิง เย่เข่ออ้าย และทุกคนในพระตำหนัก แทบถวายความเคารพไม่ทัน องค์หญิงอวี่หมิงรีบกราบทูลอธิบายว่า
“หม่อมฉันกำลังใช้ช่างแก้ไขชุดเพคะ...”
องค์หญิงเซี่ยหมิงทรงดำเนินเข้าไปหยิบฉลองพระองค์ ซึ่งองค์หญิงอวี่หมิงทรงเลือกไว้ ทรงส่ายพระพักตร์ รับสั่งพระสุรเสียงไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง
“อะไรกัน! ทำไมเจ้าเลือกชุดพวกนี้ เมื่อเย็นวานเราให้นางกำนัลมาบอกเจ้าแล้ว ว่าเรากับองค์ชายจะแต่งชุดใด ทำไมเจ้าไม่เตรียมชุดที่เข้ากับเราและองค์ชาย! ไม่ได้เรื่องจริงๆ! งานเพียงแค่นี้ยังเตรียมไม่เรียบร้อย!”
“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันจะรีบแก้ไขเพคะ”
องค์หญิงอวี่หมิงรีบหันไปรับสั่งกับเย่เข่ออ้าย ธิดาแม่ทัพใหญ่ก็รีบรับพระดำรัส เดินออกไปสั่งนางกำนัลกับช่างทูลฉลองให้เลือกฉลองพระองค์ชุดใหม่ ให้เข้ากับฉลองพระองค์ขององค์หญิงเซี่ยหมิงและองค์ชายตงหมิง
ก่อนองค์หญิงเซี่ยหมิงจะทรงมีรับสั่งสิ่งใดอีก นางกำนัลอีกผู้หนึ่งเข้ามากราบทูลว่า “องค์ชายตงหมิง เสด็จเพคะ”
องค์ชายตงหมิงแย้มพระสรวล เสด็จเข้าสู่พระตำหนัก รับสั่งพระสุรเสียงร่าเริง “เสด็จพี่ทั้งสอง ชุดของหม่อมฉันเป็นอย่างไรบ้าง”
องค์หญิงเซี่ยหมิงแย้มพระสรวลให้พระอนุชาร่วมพระราชมารดา “ชุดของเจ้าไม่ต้องแก้ไขสิ่งใดแล้ว แต่เราให้เจ้ารออยู่ที่ตำหนัก แล้วมาทำไมที่นี่”
องค์ชายตงหมิงทรงมีสีพระพักตร์เจื่อนลง รับสั่งอึกอัก “หม่อมฉัน...หม่อมฉัน…”
องค์หญิงเซี่ยหมิงทรงขมวดพระขนง รับสั่งพระสุรเสียงราบเรียบ “องค์ชายมีเวลาว่างควรศึกษาหาความรู้ มิใช่เที่ยวเล่นทั้งวันเช่นนี้”
องค์ชายตงหมิงรีบรับพระดำรัส “เสด็จพี่สั่งสอนถูกต้อง อย่างนั้นหม่อมฉันขอกลับตำหนักก่อน”
องค์หญิงอวี่หมิง รับสั่งขึ้นก่อนว่า “เสด็จพี่...องค์ชาย ใกล้เวลาเสวยเครื่องว่างแล้ว ประทับที่นี่ก่อนค่อยเสด็จดีไหมเพคะ”
องค์หญิงเซี่ยหมิงยังทรงรับสั่งพระสุรเสียงเย็นชา “ไม่ต้อง เราจะกลับตำหนัก เจ้ารีบเตรียมชุดให้เรียบร้อย เสร็จแล้วส่งไปให้เราตรวจดูที่ตำหนัก...เตรียมให้เสร็จภายในวันนี้นะ!”
องค์ชายตงหมิงดวงพระเนตรกลับแฝงแววซุกซน รับสั่งว่า “แต่หม่อมฉันหิวจะแย่ เสด็จพี่เสด็จกลับก่อนเถอะ เดี๋ยวหม่อมฉันตามไป”
องค์หญิงเซี่ยหมิงทรงขมวดพระขนง คล้ายทรงคิดจะรับสั่งกระไร ทว่ากลับทรงยั้งพระโอษฐ์เสีย รีบเสด็จออกจากพระตำหนักด้วยความไม่พอพระทัย
องค์หญิงอวี่หมิงทรงสั่งนางกำนัลจัดเครื่องว่างถวายองค์ชาย องค์ชายตงหมิงทูลขอออกไปประทับรอในอุทยานข้างพระตำหนัก ทั้งยังทรงชวนเย่เข่ออ้ายติดตามพระองค์ไปด้วย องค์หญิงจึงทรงสั่งให้นำเครื่องว่างตามองค์ชายออกไปก่อน ส่วนพระองค์ยังทรงเลือกฉลองพระองค์ใหม่อีกครู่ใหญ่ เมื่อเสร็จสิ้นค่อยเสด็จออกมายังอุทยานข้างพระตำหนัก
องค์ชายตงหมิงทรงกำลังเล่นหมากล้อมกับเย่เข่ออ้าย…
แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 13:38:29
แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 54 13:37:36
จากคุณ |
:
big pigdaddy
|
เขียนเมื่อ |
:
วันพ่อแห่งชาติ 54 13:35:39
|
|
|
|