Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กลร้ายในเงารัก - บทที่ 14 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11404330/W11404330.html

บทที่ 14

คุณผู้กองหนวดสวยดื่มกาแฟด้วยมาดสุขุม ดวงตาเรียวคมกล้ามองไปไกลๆ กระทบกับเนินหญ้าและสวนดอกไม้

เขานั่งอยู่ที่ซุ้มร่มรื่นข้างสระน้ำ นายอุ่นกับนายสมบัติเพิ่งจะแยกตัวไปทำงาน หลังจากที่มานั่งให้เขากึ่งคุยกึ่งสอบข้อมูลเพิ่มเติม อันที่จริง ก็ไม่ต้องการทราบเรื่องที่อคินตั้งใจปกปิด แต่คนสวนทั้งสองคงอดรนทนไม่ไหวจริงๆ จึงคายหมดเปลือกเรื่อง 'เงาลึกลับบุกรุก'

หนุ่มหล่อตาหวานคนนี้ ออกจะย่ามใจและโอหังในความสามารถอันน้อยนิดของตัวเองเกินไปเสียแล้ว ถึงคิดสุ่มเสี่ยงทำโน่นทำนี่ข้ามหน้าข้ามตาตำรวจ

ก็ลองว่าเงาจำเพาะเจาะจงห้องนอนของเจ้าของบ้านเสียขนาดนั้น เรื่องมาดีอาจสันนิษฐานได้ แต่น่าจะได้น้อยกว่าเคลือบแคลงระแวงจัด

"นึกว่าความแข็งกร้าวจะช่วยแก้ปัญหาได้ทุกอย่างหรือ ไร้เดียงสาจริงๆ "

เขาพึมพำ พร้อมกับเคาะนิ้วลงบนโต๊ะหินอ่อน เหลือบดูนาฬิกาข้อมืออีกแวบ จวนห้าโมงเย็นแล้ว สองหนุ่มที่เขาเดินทางมาขอพบยังไม่กลับมาจากเดินเล่นชมสวนเลย

ซึ่งก็ดีเหมือนกันที่จะได้ไม่ต้องมาเห็นอากัปกิริยาถอนหายใจเฮือกอย่างหนักอกอึ้งหัว เขาเป็นอย่างนี้ล่ะ เวลาที่อยู่ลับหลังลูกน้อง

'ฆาตกรต้องได้รับโทษ' ข้อความสั้นๆ ในกระดาษโน้ตสีเทาสอดอยู่ในซองบรรจุศพ แต่ว่ามันไม่ใช่ศพของพุธชมพู มีมือดีลอบสับเปลี่ยนไปแล้ว พร้อมกับทิ้งหลักฐานไว้ให้ตำรวจดูต่างหน้า

"เฮ้อ" ผู้กองหนวดสวยระบายความมืดมนในใจออกมา แล้วปิดท้ายด้วยการหัวเราะต่ำๆ ในลำคอ จากนั้นก็พึมพำ "ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เกี่ยวข้องกับผู้ตายยังไง แต่เอาเป็นว่าคุณแน่มากที่กล้าเสี่ยงวัดดวงวัดใจกับตำรวจอย่างเรา"

ใช่แล้ว เพราะศพพูดไม่ได้ และสภาพศพตามที่อคินบรรยาย หรือแม้แต่ตอนที่ตำรวจไปถึงแล้วเห็นเหมือนๆ กัน ก็สันนิษฐานเบื้องต้นไว้ก่อนว่า เธอฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมือจริงๆ

แต่คนขโมยศพนี่สิ ที่มีปากซึ่งยังไม่พร้อมจะพูด จึงได้แต่ประกาศผ่านตัวอักษร อคินต้องโกรธจัดเจียนบ้าแน่ๆ ถ้าเขาเผยเรื่องนี้ให้รู้

โทรศัพท์ข้างมือใหญ่ส่งเสียงกะทันหัน กระตุกภวังค์ใคร่ครวญของคุณตำรวจขาดผึง เขาเป่าลมพรูก่อนจะเหลือบมองเบอร์ไม่คุ้นตา แล้วค่อยรับสาย ยังไม่ทันกรอกเสียง สาวในสายก็รายงานทันทีว่า

"เราเจอร่องรอยศพที่น่าสงสัยว่าเป็นคุณพุธชมพูแถวริมแม่น้ำนะคะผู้กองตั้นขวัญใจประชาชน"

"ดีครับ ช่วยบอกรายละเอียดอีกนิด เช่นว่า อ้าวคุณ.. คุณ.. คุณครับ" ผู้กองตั้นผุดลุกหงุดหงิด " บ้าจริง จะตัดสายทำไม"

เสียงเข้มดังขึ้นมาปิดท้ายวาจากระชาก มือก็รีบกดปุ่มกลับไป แต่มันตลกบัดซบมาก ที่ฝ่ายโน้นปิดเครื่องไปแล้ว ร่างสูงใหญ่กระแทกนั่งพร้อมกับเลียปากหงุดหงิด ดวงตาเรียวเจิดจ้าและวาววับอย่างไม่พอใจ

สาวลึกลับเป็นใคร กล้าดียังไงมาเล่นตลกเอาเถิดเจ้าล่อกับตำรวจ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียด้วย เดี๋ยวก็ผู้ชายแจ้ง เดี๋ยวก็ผู้หญิงบอก แต่แจ้งบอกห้วนด้วนแบบนั้น ไม่ต้องดีกว่าไหม ปวดประสาทกว่าควานหาเองเสียอีก




แม่พิศเยี่ยมหน้ามาด้อมๆ มองๆ เห็นว่ากาแฟพร่องจนเกือบหมด ก็ทำท่าจะถามว่ารับเพิ่มหรือเปล่า แต่คุณผู้กองเหลือบมาเห็นเข้าเสียก่อน เขาลุกมายิ้มหวานให้ แล้วสัพยอกดักความคิดว่า

"จะถามว่าอยากได้กาแฟเพิ่มใช่ไหม ไม่ต้องแล้วครับ ผมกำลังจะกลับ ฝากบอกคุณสองหนุ่มที่หล่อกว่าผมด้วยก็แล้วกันว่าผมแวะมาหา"

"อุ๊ย โน่นแน่ะค่ะ หล่อหน้าแรกโผล่มาแล้ว"

ผู้กองตั้นเม้มปากทำหน้าตลกแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา น้ำเสียงแม่พิศเด็ดดวงจริงๆ ไม่ต้องไปถามอีกแล้วละว่า นางชอบหน้าอคินหรือเปล่า เพราะใครก็ตามที่ผุดประโยคนั้นออกมา แสดงว่าโง่จัง ก็ดูสิ คุณแม่บ้านอุตส่าห์จีบปากจีบคอกระแนะกระแหนเสียขนาดนั้น

"เก็บอาการหน่อยก็ดีนะครับ สงสารผมเถอะ ผมไม่อยากไขว้เขวบ่อยๆ "

"ไขว้เขว" แม่บ้านชอบสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าใจว่าคุณตำรวจแหย่เล่น นางทำหน้าพิกลๆ ด้วย

"ไขว้เขวว่าแม่พิศอาจจะเป็นฆาตกรกรีดมือคุณผู้หญิงไงครับ"

"โอ๊ย ตายแล้ว" แม่พิศอ้าปากค้าง ตาโตเป็นไข่ห่าน สีหน้าตกใจมากมันยังไม่เท่ากับมือที่ตบเผียะลงไปบนอกใหญ่ตึงของคุณผู้กอง "ทำไมพูดไม่เป็นมงคลอย่างนี้ละคะ ผู้กองตั้น"

"ล้อเล่น"

"ล้อเล่นแบบนี้ไม่ได้นะคะ ใครมาได้ยินเข้าจะพากันเข้าใจผิด แหม อย่างดิฉันน่ะหรือคะจะกล้าทำร้ายคุณผู้หญิง ดิฉันทั้งรักทั้งเอ็นดูเธอออกค่ะ เออ ถ้าเป็นหล่อหน้าแรกก็ว่าไปอย่าง"

"นั่นสิครับ ท่าทางเขายิ่งไม่ชอบหน้าคุณผู้หญิงอยู่ด้วย"

ผู้กองคนเก่งสวนตามน้ำทันที ยิ้มละไมก็ระบายเนียน จนแม่บ้านปากพาจนจับไม่ติดเลยว่ากำลังโดนล้วงตับเข้าแล้วอย่างไม่คาดฝัน และอย่าง 'หยอกๆ '

"อุ๊ย พูดไปค่ะ ถึงขนาดนั้นแล้ว ถ้ายังบอกว่าไม่ชอบอีก เห็นทีจะเข้าข่ายมาหลอกเคลมแล้วกระมังคะ เชอะ ไม่อยากจะพูด ยิ่งพูดก็ยิ่งเกลียด"

"เกลียดคุณอคินน่ะหรือครับ"

"ก็.. "

คู่สนทนาต้องทำหน้าเฉยเผยรอยยิ้มซื่อเข้าไว้ อย่าทำให้คนอึกอักสำนึกได้ว่าตนเผลอพลั้งปากไปนิดหน่อยแล้ว แต่ต้องทำให้รู้สึกว่า 'แหม โชคดีจัง ที่ผู้กองไม่ทันสนใจ'

"ก็อะไรครับ" ต้องทำทีป้อนคำถามสำทับด้วย เพื่อให้ดูว่าไอ้ความไม่ทันสนใจมันถูกอำพรางได้ 'เนียนจัด'

"มะ.. ไม่มีค่ะ ดิฉันขอตัวนะคะ ทำงานค้างอยู่ในครัว เชิญผู้กองตั้นคุยกับคุณอคินตามสบายค่ะ"

ร่างท้วมผละไปทันที ทิ้งไว้แต่สีหน้ากระอักกระอ่วนแกมกระวนกระวาย ในใจคงจะร้อนรนด้วย อาจต้องไปนั่งวิเคราะห์กันอีกนิดว่า 'เอ.. ผู้กองตั้นจะทันฟังไหมนะ'

ระดับผู้กองตั้นขวัญใจประชาชน มีหรือที่จะปล่อยให้ทุกถ้อยความของประชาชนเล็ดลอดหล่นร่วง เขาเก็บไว้เกลี้ยงเลย จำแม่นด้วย แต่ตอนนี้ไม่ว่างจะวางเรียงเพื่อพินิจพิเคราะห์ เพราะต้องฉีกยิ้มให้พ่อรูปหล่อตาหวานก่อน

ท่าทางเจ้าตัวเหมือนจะหงุดหงิดค้างชอบกล วัดได้จากกิริยาสาวเท้ายาวๆ ลัดสนามข้ามเนินหญ้าเอย สองมือล้วงกระเป๋าเอย แถมพอมาประจันหน้าได้ พ่อคุณก็ยักไหล่เบะปากใส่อีก




ก็ใช่ล่ะ อคินหงุดหงิดกับความสับสนว้าวุ่นในใจตัวเอง เขาบ่นพึมพำกับสายลมมาตลอดทาง ตั้งใจแวะพักเหนื่อยที่บ้านใหญ่ ดื่มน้ำสักอึกสองอึก แล้วค่อยกลับเรือนพัก

สุดเซ็งมากกับสภาพเปรอะเปื้อนของรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง ปลายขากางเกงยีนก็เหมือนกัน แน่นขนัดไปด้วยเหล่าหญ้าเจ้าชู้ ตอนเดินใจลอย ก็โดนกิ่งไม้เกี่ยวแขน ได้แผลขีดข่วนมาเป็นที่ระลึกอีกหนึ่งรอยด้วย
 
นี่ก็เป็นอีกเรื่องล่ะ ที่แสนจะโมโหดนัยดล ตอนเอ่ยชวนว่าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหน่อย เขาก็เข้าใจแค่ว่า เดินเล่นรอบบ้านเฉยๆ ที่ไหนได้ คนตาบอดดัดจริตอยากชมสวนเสียนี่ น่าหมั่นไส้จริงๆ

"ยิ้มหน้าบานแบบนี้ มีข่าวดีมาแจ้งหรือ มาเสียเกือบค่ำ นี่ถ้าทนายรัศมีเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ผมจะเป่าหู ยุให้สั่งย้ายผู้กองไปลงชายแดน"

"อืม เป็นเรื่องสมมติที่น่ากลัวมาก ดีนะ ที่เป็นจริงไม่ได้" เขาสนองวาจาแดกดันด้วยประโยคครึกครื้น พลางเหลียวหาพ่อหม้ายเจ้าทุกข์ "คุณดนัยดลละครับ"

"ไปตามสิ อยู่ในสวนโน่นแน่ะ"

"อะไรกัน" ผู้กองหุบยิ้มแล้วย่นคิ้ว "คุณดนัยดลตาบอดนะครับ คุณทิ้งเขาไว้ตามลำพังในสวนได้ยังไง เกิดเดินไปเหยียบงูเข้า แล้วโดนมันฉกเพราะตกใจ ใครจะรับผิดชอบ"

"หน้าตาผมโง่ขนาดนั้นหรือ"

"ไม่เลย ฉลาดจนผมต้องเก็บไปคิดหนัก สมองแทบระเบิดว่า จะมีวิธีไหนหนอตะล่อมหนุ่มฉลาดๆ ให้พูดความจริง"

อคินส่งเสียงไอดังๆ แล้วค่อยสำลักกับท่อนท้าย ที่ตนเพิ่งจะสะดุดหู ตอนหันขวับไปจ้องหน้า ก็เผลอทอแววชิงชังอำมหิตจ้าออกมาจากดวงตาหวาน

"อย่านะผู้กองตั้น" เขาสะกดโทสะด้วยเสียงปรามลอดไรฟัน "น้ำมันขุ่นมากแล้ว ถ้าขืนกวนอีก.. "

"ตะกอนนะคุณอคิน ถ้ามันมีเยอะเกินไป หากจะรอให้มันลงไปนอนเอง บางทีมันก็เร็วไม่ได้ดั่งใจเรา วิธีกวนแรงๆ ก็พอจะช่วยขับไล่มันออกไป แล้วทำให้น้ำที่ขุ่น กลับมาใสเร็วขึ้น"

"ผู้กองตั้น" อคินกระชากเสียง "จะบีบคั้นให้ผมพูดออกมาให้ได้เลยใช่ไหมว่าผมไม่ชอบคุณเลย คุณชอบพูดเฮงซวย ไม่ปรักปรำ ไม่กล่าวหา แต่ก็กำกวม สงสัย เคลือบแคลง แล้วเมื่อกี้นี้อีก พูดความจริงอะไร คุณจะให้ผมพูดความจริงอะไรอีก ในเมื่อที่ผมพูดไปทั้งหมดมันจริงยิ่งเสียกว่าจริง โว้ย"

คงต้องเชื่อแล้วละว่า พ่อหนุ่มตาหวานหงุดหงิดค้างจริงๆ แต่ผู้กองอารมณ์ดีก็ไม่ถือสาหรอก ที่โดนเจ้าตัวตะเบ็งเสียงใส่ ลมหายใจที่เป่ารดหน้าก็ร้อนเชียว เพราะการยั่วยุให้เป้าหมายโกรธจนลืมตัว มันเป็นวิธีทำงานง่ายๆ ที่เขาชอบทำ

เวลาที่คนเราโกรธจัดนี่นะ ระบบการควบคุมตัวเองก็จะหย่อนลง บางอย่างที่ถูกกักถูกขังก็มักจะร่วงๆ หรือหลุดๆ ผ่านวาจาที่ขาดสติเสมอ

อคินยังไม่ถึงระดับนั้นหรอก แต่กรอบหน้าแดงก่ำด้วยเลือดคั่ง แววตาวาวกร้าวซึ่งค่อนข้างดุร้ายเกินกว่าจะบอกว่าตนเป็นนักธุรกิจ หรือไม่ก็กิริยาเดินงุ่นง่าน กำหมัดเกร็งแน่น เสยผมหยาบๆ บดกรามแล้วขยี้หนักๆ ก็อดทำให้ผู้กองสันนิษฐานขำๆ ไม่ได้ว่า 'อืม เกือบแล้วล่ะ'

"เอาล่ะ ผมไม่ยั่วคุณดีกว่า แต่ก็ต้องย้ำนะคุณอคิน ผมยืนยันในสิ่งที่ผมพูดไปไม่เปลี่ยนแปลงว่า ทุกอย่างผมจัดการเองได้หมด ขอเพียงให้คุณพูดแต่เรื่องจริงกับผม"

"ผู้กอง" อคินระเบิดเสียงตวาด

"อืม อย่าเสียงดังมาก ผมเป็นคนขวัญอ่อน เดี๋ยวตกใจขึ้นมา หมัดกระตุกออกไปกระแทกหน้าคุณเข้า ผมคงไม่รู้ว่าจะขอโทษยังไง ทีนี้ก็จะโดนคุณกล่าวหาเลยว่า เป็นตำรวจรังแกประชาชน"

"นี่คุณผู้กอง.. "

"เอาล่ะๆ " ผู้กองตัดบทเลิกแหย่อย่างจริงจัง "ไปเถอะ กลับไปอาบน้ำอาบท่าเสียที ดูสิ ไปลุยโคลนลุยสวน มอมแมมเป็นนายแบบตกคลองเชียว"

"ใช่" อคินตะคอกใส่หน้าอีก "แต่ไม่ใช่ตกคลองนะ ผมลากศพของพุธไปถ่วงลงคลองต่างหาก รู้เอาไว้เสียด้วย แน่จริงก็หาหลักฐานมาจับผมให้ได้เถอะผู้กองตั้นขวัญใจประชาชน ทุเรศ"

'โอ.. ประชดประชันร้อนจัง' ผู้กองตั้นหัวเราะในลำคอขณะคิดขำๆ ทั่วกรอบหน้าไม่เหลือรอยยิ้มอีกแล้วล่ะ ขณะที่หรี่ตามองพ่อหนุ่มมุทะลุส่ายอาดๆ ฉับๆ กลับเรือนพัก

สมองก็ลองสมมติไปเล่นๆ ทำนองว่า ถ้าอคินเป็นฆาตกรจริง ตำรวจคงจะคึกคักไม่หยอกกับการควานหาหลักฐานมามัดตัว เพราะการประกาศกร้าวเมื่อครู่ ก็เท่ากับจงใจลองดีหรือท้าทายกรายๆ อยู่แล้ว

แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดนี่ จะให้ระบุแจ้งๆ ไปเลยก็ไม่ได้ เอาเป็นว่า ให้ตำแหน่ง 'ว่าที่ฆาตกร' ไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน




นายตำรวจยศจ่าคนหนึ่งแวะเข้ามาส่งเอกสารในห้องทำงานแล้วรีบกลับออกไป ก่อนพ้นประตูก็สะดุดเข้ากับกระถางต้นไม้ เสียงผิดปกติตรงนั้นล่ะ ที่ทำลายสมาธิของเจ้าของห้อง

ร่างสูงใหญ่นั่งกอดอกเอนหลัง ตาหรี่ไปจับชายผ้าม่านอยู่นานแล้ว เหมือนว่างงานล่ะ แต่สมองข้างในนี่แน่ะที่กำลังเรียงลำดับคำพูดของแม่พิศเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา

"จะรีบไปจับไพ่ที่ไหนหรือจ่า"

"เอ้อ ขอโทษทีครับ ผมไม่ทันเห็นจริงๆ สงสัยแม่บ้านมาเลื่อนออกเพื่อกวาดซอกข้างในแล้วลืมเลื่อนกลับที่เดิมแน่เลย"

"ซุ่มซ่ามก็อย่าพาล แล้วนี่อะไร" คุณผู้กองหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลัง

"เอ้อ เอกสารจากสำนักงานนักสืบครับ เขานำมาส่งตอนหกโมง แต่ว่าตอนนั้นผู้กองตั้น.. "

"อืม เข้าใจแล้ว ไปจับไพ่ต่อเถอะ"

นายตำรวจยศจ่ายิ้มแหยๆ แล้วรีบผลุบหน้าออกไปอย่างว่องไว แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหนหรอก คุณผู้กองก็ร้องตะโกนเรียกให้กลับมารายงานความคืบหน้างานที่โทรสั่งมาจากบ้านพิณพิไล

"อ้อ เป็นเบอร์ตู้สาธารณะครับ ทั้งเบอร์ผู้หญิงผู้ชาย ตำแหน่งที่ตั้งก็อยู่ไกลกันคนละฟากเลย แต่ก็อยู่ในละแวกใกล้ริมน้ำเจ้าพระยาจริงๆ ครับ"

"ส่งคนไปสืบหาร่องรอยแถวนั้น อ้อ จับตาดูอย่าให้คลาดแม้แต่นาทีดีกว่า เอาอย่างนี้ ไปตรวจสอบว่า มีตู้ไหนที่ตั้งใกล้ละแวกริมแม่น้ำมากที่สุด แล้วแบ่งคนของเราไปซุ่มแถวนั้นแหละ"

"ครับ ผู้กองตั้น"

"ถ้าคนโทรมีเจตนาแจ้งเบาะแสมากกว่ากวนประสาท วันสองวันนี้ ต้องโทรอีกแน่ๆ "

คุณผู้กองวิเคราะห์ความเป็นไปได้ แล้วค่อยโบกมืออนุญาตให้คุณจ่าไปจับไพ่ต่อ ตัวเองก็หันกลับมาสนใจซองเอกสาร เคาะนิ้วลงเป็นเป็นจังหวะไตร่ตรอง ดวงตาเรียวฉายความหวังบางอย่าง

จากนั้น ก็แกะซองหยิบแฟ้มบางซึ่งบรรจุเอกสารแน่นปึกออกมา ปากหยักบางคลี่ยิ้มอย่างพอใจที่ได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น เริ่มตั้งแต่ประวัติของอคิน รูปถ่ายตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่ม แต่ละรูปก็ล้วนแต่ฉายให้เห็นความลำเค็ญของชีวิต ที่เจ้าตัวเคยระบายด้วยน้ำเสียงเสียดสี

เด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบประจำร้านสะดวกซื้อ บางอิริยาบถก็กำลังจัดของบนชั้นบนแผง อีกภาพก็สวมเสื้อกล้ามทับด้วยแจ๊กเก็ต ยืนเต๊ะท่าหน้าขรึมข้างรถเข็นผัก ด้านหลังยังเห็นป้ายชื่อตลาดสดใหญ่แห่งหนึ่ง

อ้อ มีรูปนี้ ที่ผู้กองตั้นให้ความสนใจเป็นพิเศษ นิสิตหนุ่มนั่งข้างเพื่อนสาวใต้ซุ้มต้นไม้ร่มรื่น

ไม่ต้องนึกต้องเดาด้วยว่า สาวคนนี้เคยเห็นหน้าค่าตามาจากไหน เพราะคุณนักสืบคนเก่ง แจกรูปคนสวยมาให้ด้วยหลายรูปทีเดียว แน่นอนละว่า สาวงามจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 'พุธชมพู'

"หลังจากเรียนจบแล้ว ก็ยังติดต่อกับแฟนสาวอย่างสม่ำเสมอ แต่เพื่อนบ้านก็ยืนยันว่า พ่อของแฟนสาวคอยกีดกันและไม่ต้องการให้คบหากันต่อไป จนทำให้ทั้งสองมีปากเสียงกันถี่ขึ้น"

ข้อมูลประกอบที่อ่านออกเสียงดังๆ เหมือนอยากกระตุ้นสมองให้จดจำค่อยเงียบหายไปเอง เมื่อผู้กองหนุ่มใหญ่เอนหลังพิงพนัก โดยไม่ลืมหยิบเอกสารแผ่นที่ตนยังอ่านไม่จบติดมือมาด้วย แล้วเมื่ออ่านต่อไปสักพัก ก็ค่อยพึมพำออกมาว่า

"มีปากเสียงกันเสียงดังลั่นตอนกลางดึกคืนหนึ่ง แล้วหลังจากคืนนั้น อคินก็หายสาบสูญไปเลย"

'แหม ใช้คำว่าหายสาบสูญ ฟังรุนแรงจัง' ผู้กองอารมณ์ดีหัวเราะในลำคอกับความคิดขำๆ ของตัวเอง ตามที่เคยคุยกับอคินตาหวานแบบไม่ค่อยเป็นมิตรนัก ก็จับความได้ว่า เจ้าตัวไปขุดทองร่อนแร่อยู่ที่นิวยอร์ก จนมีโอกาสได้รู้จักกับดนัยดล

และถ้าจำไม่ผิด พ่อหม้ายดนัยดลก็เคยบอกเหมือนกันว่า อคินเป็นเพื่อนที่ตนรู้จักตอนไปติดต่อการค้าที่นั่น หลังจากคบหาเป็นเพื่อนกันสักพัก ก็คะยั้นคะยอให้มาทำงานด้วยกันที่เมืองไทย แต่พ่อตาหวานปฏิเสธยืนกรานว่า 'ไม่'

"อืม แล้วจู่ๆ ก็กลับมาหรือ" คุณผู้กองเปรยแผ่วๆ "อะไรดลใจได้บ้างล่ะ อ้อ เพื่อนรักตาบอด เหตุผลนี้ก็ใช้ได้ อืม แล้วอีกเหตุผลก็น่าจะเป็น.. "

คุณผู้กองหุบปากตัวเองเพราะไม่อยากเอ่ยออกมาให้ตัวเองอ่อนระอาในใจ อันที่จริง เขาก็เตือนทั้งสองหนุ่มแล้วว่า ทุกเรื่องเขาจัดการเองได้หมด แค่ว่าขอให้พูดแต่ความจริง

แต่ดูเหมือนว่า หนึ่งในสองต้องมีใครสักคนล่ะ ที่กำลังอยากพิสูจน์ความสามารถในการทำงานของนายตำรวจขวัญใจประชาชนอย่างเขา ด้วยการจงใจบดบังความจริงให้ซ่อนอยู่ข้างหลังนานเท่าที่จะนานได้ โดยใช้ร่างตัวเองยืนขวางเป็น 'เงา'




เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือน ทำให้ดนัยดลต้องรีบซับน้ำตา สูดจมูกเบาๆ แล้วยกใบหน้าขึ้นคล้ายปลุกความเข้มแข็ง อิริยาบถเช่นนั้น ก่อความปวดใจลึกๆ ขึ้นในทรวงเศร้าของทนายรัศมี

หล่อนสบตากับอคินแวบหนึ่ง เห็นน้ำตาเจ้านายพ่อหม้ายแล้ว ก็เริ่มไม่แน่ใจว่า ความตั้งใจที่หอบหิ้วมาจะสำเร็จลุล่วงหรือเปล่า หรือว่าจะเป็นไปตามที่อคินคาดคะเนอย่างท้าทายว่า 'ไม่มีทาง'

"คุณดนัย" หล่อนเรียก แล้วนั่งลง อคินไม่นั่งหรอก เขาเดินไปรอบห้องทำงานมืดๆ กอดอกหลวมๆ

"มีธุระด่วนอะไรหรือครับ ทำไมมาตอนหัวค่ำ"

"ก็ไม่หัวค่ำแล้วละค่ะ ตอนนี้ก็เกือบสามทุ่มแล้วค่ะ"

"อ้อ นั่นสิ ผมก็จำได้ว่ากินข้าวเย็นเสร็จไปตั้งนานแล้ว เอาเถอะ แล้วมาหาผมตอนสามทุ่ม มีธุระด่วนอะไร ทำไมไม่ไปหาอคิน"

"เรามาด้วยกันค่ะ"

ทนายสาวบอก แล้วปรายตาไปยังหนุ่มอคินที่เดินมานั่ง เขาจงใจลากเก้าอี้ให้เกิดเสียงดังๆ ให้คนตาบอดได้ยิน กระแอมเบาๆ อีกทีสองที แล้วค่อยเอ่ยชวนโผงผางว่า

"คุณหญิงศรีสุธา เจ้าของโครงการสวนสวยด้วยใจปกป้อง จัดงานเลี้ยงให้ลูกสาวที่เรียนจบปริญญาโทมาจากแคนาดา ท่านมอบตำแหน่งผู้ดูแลโครงการให้เธอรับผิดชอบอย่างเต็มตัว แล้วบริษัทเล็กๆ ของเราก็ได้รับเชิญด้วย คุณต้องไปนะ"

ทนายรัศมีอ้าปากค้าง ไม่นึกว่าอคินจะใช้ไม้นี้ ตอนแรกเขายังท้าทายเสียงแข็งเชียวว่า เจ้านายหนุ่มต้องยืนกรานปฏิเสธแน่ เพราะภาวะจิตใจยังไม่คลายจากความโศกเศร้า เขายังเหน็บแนมอีกนิดหน่อยว่า

"วันๆ ไม่ทำอะไรเลย กินกับนั่งจับเจ่า ย้ายจากโถงไปศาลา จากศาลาเข้าโถง ไปห้องนั่งเล่น ไปห้องทำงาน แล้วก็ห้องนอน ทำอยู่เท่านั้น ไม่รู้ว่าจะทรมานร่างกายให้มันได้อะไรขึ้นมา ถ้าทำแล้วพุธฟื้น ผมจะไม่ว่าเลย แถมจะช่วยทำด้วยอีกคน"

แต่ดูตอนนี้สิ เขาปิดประโยคด้วยวาจามัดมือชกห้วนๆ เหมือนว่าจะใช้อิทธิพลชื่อของเจ้าของงานมาบังคับกรายๆ

หล่อนเริ่มลุ้นทีละนิด เมื่อดนัยดลก่อความเงียบด้วยการนิ่ง เพราะเดาไม่ถูกว่าการนิ่งคือการไตร่ตรองว่าควรไปหรือไม่ไป หรือว่าการนิ่งคือการไม่ขอรับรู้งานใหญ่งานเล็กใดๆ ทั้งสิ้น

"คุณดนัย"

หล่อนจำเป็นต้องทำลายความเงียบ หลังจากปล่อยให้มันทอดไปนานเกือบสิบนาที ห้องสลัวๆ กับความเงียบที่เงียบจัด มันชวนให้อึดอัดใจบอกไม่ถูกเลย

"ผมไม่ไปหรอก พุธของผมจากผมไปแล้ว ตั้งแต่อยู่กินกับเธอ ผมไม่เคยฉายเดี่ยวออกงานเลี้ยง ผมคงยิ้มให้ใครไม่ได้ ในขณะที่หัวใจผมบาดเจ็บ ผมคงคุยกับใครไม่รู้เรื่อง เพราะสมองของผมมันท่วมไปด้วยน้ำตา"

"ชีวิตมันต้องเดินต่อไป" อคินถอนใจเฮือกยาว "คุณจะอ่อนแอผมก็ไม่ว่า ไม่ตำหนิด้วย แต่นานไม่ได้นะ คุณยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็มีอีกหลายชีวิตที่ฝากอนาคตของพวกเขาไว้บนอุ้งมือคุณ พวกเขายกย่องและเชื่อมั่นในตัวเจ้านายของเขา"

"เวลานี้พวกเขาก็มีสิ่งเหล่านี้ให้คุณ อีกหน่อยพอทุกอย่างเป็นของคุณแล้ว.. "

"เงียบนะคุณดนัย" อคินทุบหมัดลงโต๊ะอย่างฉุนเฉียว ผุดร่างสูงขึ้นปุบปับ "เลิกพูดเรื่องบ้าๆ พวกนี้กับผมเสียที ผมอยู่ที่นี่ ช่วยคุณทำงาน เพราะผมเห็นคุณเป็นเพื่อน กรุณาอย่ายัดเยียดสันดานปลิงให้ผมได้ไหม"

"คุณอคิน" ดนัยดลหันหน้าไปยังต้นเสียงแข็งกร้าวปนดุดัน "ทำไมต้องโมโหกับเรื่องที่เราคุยกันเข้าใจแล้ว นิสัยอยากทำอะไรก็จะทำ ขอแค่ให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ โดยไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะเดือดร้อนแค่ไหนยังไง มันกำลังจะเปลี่ยนไปหรืออคิน"

"ตกลงจะไปหรือไม่ไป"

อคินตัดบทเสียงขัดใจ หน้าหล่อแต่บึ้งจัดแดงก่ำอยู่ในความสลัว ใจเต้นแรงด้วยความโกรธ

วูบหนึ่ง ก็ผิดหวังที่เพื่อนหนุ่มใหญ่ใจดีอ่อนแอและสิ้นกำลังใจโดยสิ้นเชิง ใจคอจะปิดกั้นตัวเองออกมาจากโลกที่ไร้พุธชมพูตลอดกาลเชียวหรือ ทุเรศจริงๆ นึกว่าจะเก่งมาจากไหน

"ก่อนจะตัดสินใจ ก็ไตร่ตรองให้ดี คุณหญิง.. "

"ผมทราบว่าท่านเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงมากในยุคนี้ สามีของท่านก็เป็นถึงท่านรัฐมนตรี บริษัทเล็กๆ ของเราได้รับโอกาสจากท่าน ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสุด"

"รู้ก็ดีแล้วนี่ ถ้าอย่างนั้นก็.. "

"แต่ผมมีคุณอยู่แล้วอคิน คุณไปก็เหมือนผมไปนั่นแหละ ผมเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจตรงกันว่า งานเลี้ยงใหญ่ครึกครื้นขนาดนั้น ไม่ควรมีคนตาบอดที่หัวใจบาดเจ็บสาหัสไปเดินปะปนให้เกะกะ"

"แต่ว่า.. " ทนายรัศมีเริ่มส่งเสียงแย้งบ้าง

"ผมตัดสินใจแล้วล่ะ ทนายรัศมี" เจ้านายหนุ่มก็รีบขัด "ผมรู้สึกเกรงใจมาก ที่ต้องรบกวนให้คุณไปกับอคินด้วย ในงานอาจมีลูกค้าเก่าๆ ที่เขายังไม่รู้จัก คุณก็ถือโอกาสนั้น แนะนำเขากับทุกคน ผมรู้ว่าคุณเหนื่อยมาก ผม.. "

"ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ เราทำงานด้วยกันมานานจนลืมเรื่องที่ว่าใครเหนื่อยมากเหนื่อยน้อยไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือคะ"

ดนัยดลก้มหน้าเม้มปาก ทนายรัศมีสะเทือนใจเหลือเกิน เมื่อทันเห็นน้ำตาไหลพ้นขอบแว่นตาดำ แล้วหยดแหมะลงตัก

มันทำให้เริ่มลังเลกับความตั้งใจดีของตนที่ว่า อยากพาเขาออกไปเปลี่ยนบรรยากาศ เพื่อให้ลืมความเศร้าหมองในใจสักพัก แต่ดูจากท่าทางอาดูรสุดระกำที่เขาทรงมันอยู่ ความตั้งใจดีของหล่อนมันคงไม่ถูกกาลเทศะนัก

เขาคงอยากจะอยู่ในโลกใบเศร้าให้นานต่อไปอีกสักระยะกระมัง อาจจะอยู่ในนั้นจนกว่าจะเจอศพของภรรยา แล้วอาจจะยอมกลับออกมาเอง หากรู้แน่ชัดว่า ยอดยาหยีฆ่าตัวตายเอง หรือไม่ก็ 'ถูกฆ่าตาย'

"คุณดนัย"

อคินถอนหายใจ หดหู่ใจกับความเศร้าที่เพื่อนหนุ่มใหญ่ก่อขึ้น เขาแตะบ่าใหญ่ บีบเบาๆ โน้มลงกุมมือบนตัก บีบเบาๆ อีก

"อย่าทำอย่างนี้เลยน่า เข้มแข็งหน่อย เราทุกคนเป็นห่วงคุณ อยากเห็นคุณกลับมาเป็นดนัยดลคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี มีแววตาที่สดใส และมีรอยยิ้มที่ไม่เคยสิ้นความหวัง"

"ผมไม่มีอีกแล้วอคิน" ดนัยดลสารภาพเสียงเครือปนสะอื้น "ผมไม่มีอีกแล้ว ผมไม่มีวันกลับมาเป็นดนัยดลคนเดิมได้อีกแล้ว ต่อให้ตามันจะหายบอด แต่แสงสว่างมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะหัวใจของผมมันแตกสลายไปพร้อมกับการจากไปของพุธแล้ว"

"คุณดนัยคะ"

ทนายรัศมีลอบหายใจลึกๆ ไม่อยากให้ตนอ่อนแอและเสียงเครือไปอีกคน

"คุณเคยพูดเสมอว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีใครหลีกพ้นไม่ใช่หรือ ตอนนี้ ทำไมคุณไม่เตือนสติตัวเองด้วยคำพูดของคุณ ยังมีอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายรอให้คุณทำ คุณอคินพูดถูกนะคะ คุณต้องเข้มแข็งกว่านี้ แล้วรีบกลับมาเป็นคุณดนัยคนเดิมให้เร็วที่สุด"

"ไม่ ผมทำไม่ได้ ผมจะอยู่ยังไงโดยไม่มีพุธ ผมจะอยู่ยังไง ผมจะอยู่ยังไง"

คนตาบอดรำพันสั่นเครือ ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ร้องไห้อย่างอ่อนแอ ใครอยากตำหนิก็เชิญ แต่เขาจะไม่หลอกตัวเองเพื่อสร้างความหวังให้ใครทั้งนั้น

ทุกคนสามารถติเตียนได้อย่างเต็มปาก ผิดหวังได้อย่างเต็มใจ แต่ก็ต้องรับรู้และยอมรับไปพร้อมๆ กันด้วยว่า ดนัยดลคนนี้ จะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว เว้นเสียแต่ว่า พุธชมพูที่รักของเขา 'จะกลับมา'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 17:01:49




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com