Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(นิยายกำลังภายใน) วิหคดั้นเมฆา ผู้กล้าฝ่ายุทธจักร ตอนที่ 80 ติดต่อทีมงาน

ผาดงแล้งที่ฟ่านไป่หนิงเคยเห็นคือลานว่างเปล่ากว้างขวางริมเชิงผา ใต้ผานั่นเองที่มีช่องซึ่งโต่วอี้เหรินเคยซ่อนตัวกางตาข่ายรองรับร่างสองผัวเมียแซ่ฟ่าน แม้มันจะช่วยเหลือบิดามารดาดรุณีน้อยไว้ได้ตามแผนของสือหย่งหลุน แต่เหตุการณ์บุพการีพลัดตกเหวคล้ายเป็นภาพติดตาของฟ่านไป่หนิงไปแล้ว ดังนั้นในความทรงจำของนาง ลานดินที่กองสุมด้วยหิมะสีขาวโพลนแห่งนี้ จึงมักมาพร้อมกับอารมณ์หดหู่โศกศัลย์จนแทบไม่อยากนึกถึง

หากธรรมชาติมิเคยหยุดนิ่ง กาลเวลาแปรต้นไม้ใบหญ้าเปลี่ยน ปัจจุบันผาดงแล้งกลับเต็มไปด้วยผืนหญ้าเขียวสดใส แมลงปอบินละลิ่วหยอกล้อดอกหญ้าอย่างหรรษา หากมิใช่สือหย่งหลุนยืนยันหนักแน่น นางแทบไม่มีวันเชื่อว่านี่คือสถานที่แห่งเดียวกันเป็นแน่

สองหนุ่มสาวเร้นกายบนต้นสนสูงใหญ่ ใบไม้แผ่บานราวม่านแห่งพฤกษากลบเกลื่อนความเคลื่อนไหวจากสายตาคนภายนอก ฟ่านไป่หนิงนั่งห้อยขาสองมือยันกิ่งไม้ท่อนหนา แอบกวาดหางตามองเด็กหนุ่มผู้ยืนพิงลำสนบนกิ่งอันถัดไป

สีหน้าสือหย่งหลุนแลเยือกเย็น กิริยาหนักแน่นมั่นคงไร้อาการหวั่นไหว กระทั่งตอนที่เอ้อไห่เซิ่นแจ้งว่าหมดหวังจะจัดการปราณพิษ มันก็ยังคงทีท่าดุจเดิม พลางอธิบายกับนางว่า

“หากมีวิธีรักษาปราชญ์วิปลาสคงบ่งบอกต่อจอมยุทธฟ่านไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ข้าและเจ้าล้วนคาดเดาได้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ เป้าหมายการเดินทางมีเพื่อยืนยันการสันนิษฐานเท่านั้น เมื่อความจริงปรากฏก็ไม่ควรต้องเสียเวลาเดินทางไปหาที่อยู่ของปราชญ์วิปลาสอีก”

คำพูดมันสมเหตุสมผล ทว่าเหตุผลย่อมมิสามารถรักษาปราณพิษได้ นางจึงกลายเป็นคนไร้เหตุผล ภายหลังปลีกตัวจากเอ้อไห่เซิ่นมาแล้วถึงกับอาละวาดกล่าวโทษฟ้าดินเป็นการใหญ่ สือหย่งหลุนต้องปลุกปลอบนางอยู่ครึ่งค่อนวัน กว่าจะชักชวนดรุณีน้อยมาชมการประลองในวันรุ่งขึ้นได้

ฟ่านไป่หนิงนั่งหน้าบึ้งด้วยทีท่าซังกะตาย ตอนนั้นเองที่สือหย่งหลุนสะกิดนาง บุ้ยใบ้ไปทางฝูงชนเบื้องล่าง

ด้วยใกล้ถึงเวลานัดประลองรอมร่อ เหล่าชาวยุทธทั้งสองฝ่ายต่างทยอยมาร่วมชมไม่ขาดระยะ โชคดีสองหนุ่มสาวตัดสินใจมารอตั้งแต่ย่ำรุ่ง จึงไม่กลายเป็นที่เตะตาให้วุ่นวาย กลับสามารถเลือกเฟ้นชัยภูมิเหมาะสมในการสังเกตรอบกายโดยง่าย

ตรงตำแหน่งที่เด็กหนุ่มชี้บอก บรรดาคนจากสี่ตระกูลใหญ่ล้วนเดินมาจับจองที่จนครบถ้วนแล้ว เริ่มจากเจ้าบ้านสือซึ่งมีบุตรชายสือหย่งจวินอยู่เคียงข้าง การที่สือจินหลิงมิได้มาด้วยย่อมมิใช่เรื่องแปลก เพราะฐานะธิดาของนางมักไม่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ยุทธจักรอยู่แล้ว ส่วนตระกูลเฉินมากันครบสามพ่อแม่ลูก ตระกูลซู่ก็มีเจ้าสำนักง่อไบ๊และหลานสาวซู่อี้เหนียงมาเป็นตัวแทนเช่นเคย

หากที่น่าสนใจคือทางด้านตระกูลโต่ว

เจ้าบ้านโต่วจินเซิงย่อมมิมีทางไม่มา ทว่าข้างกายมันกลับไร้โต่วอี้เหรินซึ่งปกติจะคล้ายดั่งเงาตามตัว

เป็นที่ทราบกันดีว่า โต่วจินเซิงต้องการฝึกปรือบุตรบุญธรรมผู้นี้ไว้เป็นมือขวาแก่บุตรชาย ดังนั้นมักนำพาโต่วอี้เหรินออกงานต่าง ๆ เพื่อสั่งสมประสบการณ์ในยุทธจักร ทว่างานประลองอันสำคัญเช่นนี้ การที่มันไม่พาบุตรบุญธรรมมาด้วยย่อมนับว่าน่ากังขา

สองหนุ่มสาวบนต้นสนแอบสบตากัน ดูท่าข่าวลือเรื่องของสือจินหลิงกับโต่วอี้เหริน เริ่มมีเค้าน่าเชื่อถือถึงเจ็ดแปดส่วนทีเดียว สือหย่งหลุนจึงกระซิบว่า

“ข้าตัดสินใจแล้ว หลังการประลองเราย้อนขึ้นเหนือกลับเมืองหลวงเถอะ หนึ่งได้จัดส่งมีดสั้นของจอมยุทธเซียนสุขสันต์แก่พี่หวง สองข้าอยากแวะไปเยี่ยมเยือนน้องสาม จากนั้นก็เดินทางสู่เมืองน้ำมรกตนำอัฐิท่านแม่คารวะปฐมาจารย์เฉิงหยู่กง”

ฟ่านไป่หนิงพยักหน้ารับ นึกรู้ว่าเด็กหนุ่มคงกำลังเป็นห่วงเรื่องของน้องสาว ในเมื่อพวกมันยังไร้เบาะแสของปราณพิษ การให้สือหย่งหลุนได้จัดการสิ่งที่ค้างคาใจเสียก่อนก็นับว่าเหมาะสมอยู่

ทันใดนั้นเอง เสียงสนทนาอึงอลของเหล่าจอมยุทธ์ค่อย ๆ ทยอยลดลง พลอยให้จับสังเกตเสียงมโหรีแว่วหวานซึ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฝูงชนด้านล่างเริ่มแหวกออก เปิดทางแก่วงมโหรีพร้อมนางฟ้อนเริงระบำนำทางเบื้องหน้า ขยับขบวนออกมาจากผืนป่าด้านใน ก่อบรรยากาศรื่นเริงตัดกับท่าทางกระเหี้ยนกระหือของเหล่าชาวยุทธ์อย่างประหลาด

พื้นดินพงไพรเต็มไปด้วยรากไม้ก้อนหินระเกะระกะ แต่นางรำพร้อมวงดนตรีกลับเยื้องย่างราวเดินบนพรมเรียบละมุน วิชาตัวเบาอันสูงส่งร่วมกับความสามารถบรรเลงท่วงทำนองดั่งคนธรรพ์จากสวรรค์ สะกดจนสือหย่งหลุนตื่นตะลึง กระทั่งฟ่านไป่หนิงก็แทบลืมเลือนความขุ่นข้องหมดสิ้น

วงมโหรีไปหยุดยั้งยังริมผา กลุ่มนางรำเริงฟ้อนกลางทุ่งหญ้า ไม่นานชายฉกรรจ์กว่าสิบคนก็โผล่มาจากบริเวณที่ขบวนความบันเทิงกรุยทางไว้ บนไหล่พวกมันแบกท่อนไม้ยาวราวสองจ้าง (1 จ้าง = 2-2.5 เมตร) ขนาดประมาณสองคนโอบ วิ่งผ่านไปถึงกลางวงระบำอย่างรวดเร็ว แล้วช่วยกันจับเสาไม้ตั้งกับพื้น ด้านข้างเสาโดนถากเปลือกออก บนเนื้อไม้สีขาวแกะสลักอักษรสีแดงไล่จากบนลงล่าง ความว่า

“ผู้ทรงธรรมค้ำจุนใต้หล้า นำศรัทธาขจัดเภทภัยสิ้น”

เสียงโห่ร้องชมเชยกระหึ่มจากฝั่งเหล่าธรรมะ บ้างสอบถามหาต้นคิดพิธีเปิดการประลองที่ปรากฏตรงหน้า บ้างส่งคำเหยียดหยามสาแก่ใจใส่ฝ่ายพรรคอสุราอาฆาตและพวกพ้องซึ่งรวมกลุ่มอยู่อีกฝั่ง กำลังใจพลันประดังฮึกเหิม
แล้วในจังหวะนั้นเอง บังเกิดเงาสายหนึ่งทะยานจากพนาด้านหลังฝ่ายอธรรม แรงของการเคลื่อนผ่านสะเทือนจนยอดไม้ใหญ่ไหวเอนราวระลอกคลื่นถาโถม

สายตายอดยุทธ์บางคนสังเกตพบว่าเงาดังกล่าวเป็นบุรษผู้หนึ่ง สวมผ้าคลุมสีทองซึ่งกำลังโบกสะบัดหมุนคว้างไปลอยเหนืออักษรแกะสลัก แล้วหยุดลง แตะรองเท้าผ้าสีทองจรดยอดท่อนไม้ ก่อนทิ้งน้ำหนักแช่มช้า

ครืน!

เสียงไม้แหวกทะลุพื้นดินสนั่น ร่างภายใต้ผ้าคลุมสีทองทิ้งตัวผลุบตามไม้ราวก้อนหินที่ดิ่งจากผา ฝุ่นดินลอยคลุ้งทั่วบริเวณ รอจนลมพัดฝุ่นหายไป ใบหน้าบุรุษผู้นั้นค่อยเด่นชัดขึ้น

มิมีใครอื่น เป็นประมุขพรรคอสุราอาฆาตโจซานตงนี่เอง

วงมโหรีบรรเลงทำนองฮึกเหิมดังลั่น ตรงข้ามกับเหล่าจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะซึ่งพากันเงียบกริบ ต่างเหลือบมองท่อนไม้ที่โจซานตงเหยียบไว้อยู่ ซึ่งยังพอเห็นเป็นตอโผล่ออกมาไม่ถึงคืบ ประโยคเชิดชูเกียรติศักดิ์ฝ่ายธรรมะล้วนจมมิดไปกับพื้นดินอัดแน่นของผาดงแล้ง ในใจสั่นสะท้านรุนแรงกับอานุภาพพลังวัตรของมัน

ประมุขพรรคอสุราอาฆาตวางแผนแยบยล เพียงแค่ปรากฏกายก็ข่มขวัญเหล่าศัตรูจนแหลกราญ

โจซานตงก้าวลงจากท่อนไม้ มันสวมชุดสีส้มอ่อนปักดิ้นสีทองประกาย หว่างเอวคาดเข็มขัดหยก ศีรษะประดับที่รัดผมทำจากไข่มุก ผ้าคลุมสีทองโบกสะบัดราวอินทรีสยายปีก ก่อเกิดบุคลิกสง่างามแฝงความเชื่อมั่น มันมิได้มีทีท่าแยแสบรรดาจอมยุทธ์โดยรอบ กลับผายมือไปทางขอบเหว เอ่ยก้องกังวาน

“จอมยุทธเซียนสุขสันต์ ในเมื่อมาแล้ว ขอเชิญเข้าร่วมสนทนายังที่นี้เถิด”

แทบทุกคนมุ่งสายตาตามปลายนิ้วของโจซานตง ณ เขาลูกที่ถัดจากผาดงแล้งไป เอ้อไห่เซิ่นยืนอยู่บนยอดของต้นไม้ซึ่งสูงที่สุดของภู ยอดไม้ที่อ่อนจนนกยังมาเกาะมิได้ จอมยุทธเซียนสุขสันต์กลับหยั่งเท้าอย่างมั่นคง ไม่สั่นไหวโอนเอนแม้แต่น้อย

ระยะทางห่างไกลจนเห็นตัวเอ้อไห่เซิ่นเล็กเท่านิ้วมือ โจซานตงยังอุตส่าห์สังเกตพบ!

พริบตาถัดมาร่างเอ้อไห่เซิ่นพลันลอยละลิ่วจากตำแหน่งเดิม แหวกอากาศเข้าใกล้ผาดงแล้งขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อมันบรรลุถึงจุดหมาย ทุกคนค่อยเห็นว่าสองเท้ามันเหยียบอยู่บนกิ่งไม้แห้ง แสดงว่าเอ้อไห่เซิ่นเขวี้ยงกิ่งไม้มุ่งตรงมาก่อน แล้วค่อยกระโดดเหยียบพุ่งตามสภาวะมา

ไม้ท่อนเล็ก ๆ ยังสามารถรองรับน้ำหนักคนลอยผ่านระยะทางไกลโพ้น วิชาบังคับกระบี่บินของจอมยุทธเซียนสุขสันต์ มิอาจดูแคลนแม้แต่น้อย

วันนี้เอ้อไห่เซิ่นสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ผมสีดำแซมเทาถูกเกล้าไว้เพียงลวก ๆ บางปอยยังหลุดมาระยังใบหน้าหยาบกร้าน ตาซ้ายเหลือเพียงรอยแผลเป็นขรุขระหดรั้งอยู่ในเบ้าตา รอบริมฝีปากมีหนวดเคราหรอมแหรม ลักษณะล้วนต่ำต้อยมิอาจเปรียบประมุขพรรคอสุราอาฆาตได้เลย

คนที่แอบคิดเช่นนี้ มักเปลี่ยนใจทันทีเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาข้างขวาของมัน
แววตาคมกล้าประดุจเหยี่ยว ยามเหลือบคล้ายแลทะลุสู่ในใจทุกผู้ ริมฝีปากบางเฉียบแสดงถึงนิสัยเด็ดขาด แขนขวาที่ยังเหลือวางทาบด้ามกระบี่ซึ่งเสียบกับเข็มขัดทางด้านหลังด้วยทีท่าราวไม่ยี่หระกับสิ่งใด ทว่ากลับก่อเกิดลักษณะองอาจจนน่าระย่อ

โจซานตงฉีกยิ้มอันขัดกับดวงตาแข็งกร้าว เอ่ยเสียงอ่อน

“ข้าเสียมารยาทนัก ไม่ทราบเลยว่าจอมยุทธเซียนสุขสันต์รุดมาถึงเขาลูกนั้นตั้งแต่เมื่อใด”

“ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น หากก็ทันเห็นประมุขโจแสดงการละเล่นเล็กน้อย”

“ฮ่า ๆ” โจซานตงแผดหัวเราะ ก่อนชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นวางเท้ายังท่อนไม้ฝังดิน “ความสามารถเล็กน้อยกลับกล้าอวดโอ่ จอมยุทธเซียนสุขสันต์คงไม่เห็นสำคัญ ละอายแล้ว”

“ตรงกันข้าม ข้ากลับสนใจตัวอักษรบนท่อนไม้ยิ่ง อยากชมดูอีกครา”

“โอ หากรู้เช่นนี้ข้าคงไม่รีบร้อนฝังมันไว้ เสียดายนัก”

“หาเป็นไรไม่ ฝังได้ก็ถอนได้!”

กล่าวจบเอ้อไห่เซิ่นก็ยื่นหมัดตรงมาข้างหน้าในท่าตั้ง บังเกิดไอลมปราณแผ่ซ่านไปทั่วแขน บรรยากาศรอบกายเริ่มหนักอึ้งอย่างสุดจะอธิบาย แล้วอึดใจถัดมา มันก็ยกหมัดขึ้นช้า ๆ

ทางด้านตรงกันข้าม ท่อนไม้ซึ่งโจซานตงเหยียบอยู่ค่อย ๆ สั่นระริกไม่หยุดยั้ง แรงจากการขยับดันท่อนไม้โผล่จากพื้นทีละน้อย คล้ายเอ้อไห่เซิ่นกำลังกำท่อนไม้แล้วถอนมันออกฉะนั้น

โจซานตงบิดมุมปากลง เริ่มเกร็งลมปราณผ่านฝ่าเท้าเพื่อกดท่อนไม้ไว้กับที่ เอ้อไห่เซิ่นเห็นดังนั้นจึงสะบัดนิ้วก้อยออก พลังวัตรตัดอากาศพุ่งสู่ใบหน้าโจซานตงทันที ประมุขพรรคอสุราอาฆาตมัวจดจ่อกับท่อนไม้ กว่าจะรู้สึกตัวพลังวัตรพลันคุกคามใกล้ถึงแล้ว จึงตีลังกาหลบหลีกถอยหลัง เอ้อไห่เซิ่นฉวยจังหวะดังกล่าวเข้าแทนที่มัน กดฝ่ามือลงบนท่อนไม้แล้วดึงขึ้น ท่อนไม้ก็ดูดติดมือมันมาราวปาฏิหาริย์

ประโยค “ผู้ทรงธรรมค้ำจุนใต้หล้า...” เพิ่งโผล่พ้นพื้น โจซานตงพลันหมุนตัวกลับมาเตะใส่ท่อนไม้จนหักสะบั้นกลางลำ เหลือแค่ส่วนบนที่ยังดูดติดกับฝ่ามือเอ้อไห่เซิ่น จอมยุทธเซียนสุขสันต์พลิกท่อนไม้แทงใส่โจซานตงอย่างต่อเนื่อง ประมุขพรรคอสุราอาฆาตสะบัดสองแขนกระแทกใส่ขวับ ๆ ปลายท่อนไม้ก็ค่อย ๆ หดสั้นกลายเป็นเศษกระจายปลิวว่อนราวฝูงตั๊กแตนถล่มไร่นา เหล่านางรำและนักดนตรีตะเกียกตะกายหลบหนีจ้าละหวั่น ที่ไม่พ้นก็ถูกเศษไม้ฝังใส่ร่างล้มลงครางโอดโอย

บัดนี้ปลายไม้ห่างจากฝ่ามือเอ้อไห่เซิ่นราวสามนิ้ว การโจมตีของโจซานตงยังคงทะลุทะลวงไม่หยุดยั้ง พริบตานั้นเอ้อไห่เซิ่นเปลี่ยนทิศลมปราณจากรั้งเป็นผลักออก ท่อนไม้ที่เหลือกระเด็นพุ่งใส่หน้าอกโจซานคงฉับพลัน ประมุขพรรคอสุราอาฆาตรีบดึงมือมาปิดป้อง เอ้อไห่เซิ่นฉวยจังหวะก้าวถอยหลังว่องไว ถอนดึงท่อนไม้ส่วนที่เหลือจากพื้นดินแล้วพลิกตัวข้ามหัวโจซานตงไปยืนริมขอบผา ปักท่อนไม้มหึมาตรงตำแหน่งนั้น ไม้จมลงพื้นแค่หนึ่งนิ้วหากแลมั่นคงดุจภูผาตั้งมั่นทีเดียว

สายลมจากล่างหุบเหวพัดย้อนขึ้น ตีสะบัดแขนเสื้อข้างซ้ายของเอ้อไห่เซิ่นโบกปลิว ตัวอักษร “...นำศรัทธาขจัดเภทภัยสิ้น” คล้ายยืนหยัดเคียงข้างมิหวั่นไหว กำลังขวัญเหล่าชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมมะล้วนคึกคักขึ้นอักโข

เอ้อไห่เซิ่นผายมือไปยังเสาไม้ บอกว่า

“ประมุขโจอุตส่าห์มอบของกำนัลสูงค่าแก่ฝ่ายธรรมะ ข้าก็ขอรับน้ำใจไว้”

โจซานตงฝืนยิ้ม “สิ่งของเล็กน้อย โปรดอย่าได้เกรงใจ”

ปากกล่าวเสียงเรียบเฉย ในใจกลับร่ำร้องแทบคุ้มคลั่ง มันประเมินชายตรงหน้าต่ำเกินไป หลงคิดว่าวิชาสลายภพซึ่งยังไม่สมบูรณ์สามารถรับมือจอมยุทธเซียนสุขสันต์เพียงพอ ครั้นได้รับเทียบประลองจึงตัดสินใจยุติการฝึกกลางคันเพราะกระเหี้ยนกระหืออยากแสดงอานุภาพเต็มแก่ หากทราบล่วงหน้าควรเลื่อนการประลองโดยไม่กลัวเสียหน้ายังจะดีกว่า

ที่แท้ตอนบุกสำนักง่อไบ๊นั้นโจซานตงเพิ่งฝึกวิชาสลายภพได้แค่ครึ่งเดียว ด้วยชิ้นหนังที่เงารางเลือนนำมาให้ก่อนหน้าเป็นคัมภีร์ส่วนที่สี่ จำต้องรอคัมภีร์ส่วนที่สามจากถ้ำลับของง่อไบ๊ก่อนจึงจะเริ่มฝึกในครึ่งหลังได้ ยามนี้มันสำเร้จวิชาสลายภพราวเก้าส่วนแล้ว เคยนึกว่าเพียงเท่านี้ก็มิมีใครเทียบเทียม จนบัดนี้ความมั่นใจค่อยลดทอนลงไม่น้อย ถึงกับออกปากว่า

“ตามข้อตกลงเริ่มแรก การประลองนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับผลสงครามระหว่างพรรคอสุราอาฆาตและฝ่ายธรรมะ ยังใช้ได้หรือไม่”

“แน่นอน” เอ้อไห่เซิ่นตอบด้วยอาการสงบ

“ประเสริฐ” รอยยิ้มโจซานตงค่อยแช่มชื่นขึ้น “ในเมื่อสักขีพยานพร้อมมูล ทั้งยังทักทายกันมาเนิ่นนานแล้ว ก็ควรเริ่มการประลองกันเสียที”

อารัมภบทง่ายดาย มิคู่ควรต่อการประลองที่จักสั่นสะเทือนฟ้าดินแม้แต่น้อย ทว่าฟากโจซานตงนั้นไม่ต้องการทิ้งเวลาให้อีกฝ่ายได้พัก ส่วนเอ้อไห่เซิ่นยิ่งไม่เคยสนใจพิธีรีตรองมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นรอจนจอมยุทธเซียนสุขสันต์พยักหน้ารับ โจซานตงก็สั่งการให้คนของตนพาคนบาดเจ็บไปรักษา และจัดการสถานที่จนเรียบร้อย คู่ประลองค่อยเดินมาเผชิญหน้ากันกลางลานหญ้า แล้วโจซานตงจึงเริ่มตั้งกระบวนท่าทันที

เอ้อไห่เซิ่นมองฝั่งตรงข้ามด้วยทีท่าเฉยเมย ก่อนยื่นกำปั้นออกมาด้านหน้าอีกครั้ง พร้อมตวัดแขนขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นบังเกิดเสียงร้องระงมดังลั่น

ที่แท้พอจอมยุทธเซียนสุขสันต์ขยับกาย กระบี่จำนวนมหาศาลพลันหลุดจากฝัก อาวุธหลากชนิดบินพ้นมือ สือหย่งหลุนกวาดตามองรอบก็พบว่ามีคนที่รักษาศาสตราวุธคู่ใจไว้ได้ไม่ถึงร้อย ที่เหลืออีกนับพันต่างบินขึ้นไปรวมอยู่เหนือศีรษะโจซานตง หมู่ชนพากันตะโกนโวกเวก ทั้งตกใจที่อาวุธหลุดมือไม่คาดคิด ระคนไปกับอารมณ์เหลือเชื่อในภาพที่ปรากฏแก่สายตา

ข่าวร่ำลือว่าวิชาบังคับกระบี่บินของจอมยุทธเซียนสุขสันต์เลิศล้ำเหนือคณนา แต่ความสามารถตรงหน้าแทบล่วงเลยมนุษย์ปกติไปแล้ว นับว่าใกล้เคียงกับเซียนจากสวรรค์เสียมากกว่า

เมื่อนั้นเอ้อไห่เซิ่นทิ้งแขนลงข้างตัว บรรดาศาสตราวุธก็ดิ่งใส่ประมุขพรรคอสุราอาฆาตราวห่าฝน ตัดอากาศก่อสำเนียงอื้ออึงดั่งฟ้าร้อง เกิดประกายสีเงินวูบวาบดุจฟ้าผ่า ชาวยุทธฝีมือด้อยถึงกับทนไม่ไหวต้องปิดหูหลับตาแน่น ทว่าโจซานตงกลับเงยหน้ามองการจู่โจมที่แทบเป็นไปไม่ได้ด้วยท่าทางใจเย็นยิ่ง อาจเพราะการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายช่วยระงับความว้าวุ่นก่อนหน้า จนสามารถรวมสมาธิเป็นหนึ่งเดียว

มันขบกรามกรอดพร้อมถลึงตาปูดโปน ไอลมปราณแผ่ซ่านจากทุกขุมขนลอยขึ้นไปรวมตัวเสมือนโล่สีหมอกปกคลุมเหนือศีรษะมัน หากยังไม่ทันสังเกตให้ชัดตา ขบวนศาสตราวุธก็เข้าปะทะโล่สีหมอกอย่างรุนแรง มิหนำซ้ำโลหะแข็งกล้าแทนที่จะทะลวงผ่านไอลมปราณ กลับต้องกระดอนกลับอย่างเหลือเชื่อ ที่หนักหนาหน่อยก็บิดงอ หากอาวุธจำพวกดาบกระบี่ถึงขั้นหักกลางกลายเป็นสองท่อนแล้วกระดอนไปคนละทิศทาง สถานการณ์เบื้องบนส่งผลให้โจซานตงแสยะยิ้มอย่างสะใจ

หากแล้วรอยยิ้มพลันมลายสิ้น เมื่ออาวุธซึ่งแทบไร้สภาพความเป็นอาวุธเหล่านั้น ยังคงลอยวนกลางอากาศก่อนวกกลับมากระหน่ำใส่ม่านลมปราณอีกครา กำเนิดเสียงกัมปนาทอึงอล ที่บิดงอก็ผิดรูปมากขึ้น ที่ทนไม่ไหวพาลหลุดเป็นชิ้น ๆ ที่หักเป็นส่วนก็หักซ้ำอีกครั้ง จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น เศษศาสตราวุธดิ้นรนตามกระแสลมราวพยายามเสาะหาช่องโหว่ของโล่สีหมอกเบื้องล่างไม่ย่อท้อ โจซานตงไม่มีแม้เวลามาประหวั่นพรั่นพรึง รีบเร่งไอลมปราณเกาะกลุ่มจนหนาแน่นดุจกลุ่มเมฆมหึมา

เอ้อไห่เซิ่นยื่นกำปั้นมาด้านหน้าอีกครั้งแล้วคลายออก ทันทีที่นิ้วทั้งห้าแผ่กว้าง เศษศาสตราวุธก็แยกย้ายเป็นห้าสาย แหวกอากาศจู่โจมประมุขพรรคอสุราอาฆาตจากรอบทิศทาง โจซานตงมัวตั้งสมาธิกับโล่สีหมอกจนไม่ทันระวัง ได้แต่เร่งปราณป้องกันตัวไว้ทั่วร่างเพื่อต้านการปะทะ แต่เศษศาสตราวุธที่แฝงพลังวัตรจากวิชากระบี่แปดพยศสิบสังหารมีจำนวนมากเกินไป บางชิ้นจึงหลุดรอดเกราะลมปราณเข้าไปปักผิวหนังโจซานตงจนได้ เวลาล่วงผ่านเศษศาสตราวุธที่ทะลุยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ความเจ็บแปลบพร้อมปริมาณโลหิตที่หลั่งไหลก็กระตุ้นให้โจซานตงเริ่มตระหนกบ้างแล้ว

โล่สีหมอกพลันกระจายตัวหมุนวนดั่งลักษณะเมฆก่อนเกิดพายุ ก่อนพุ่งกลับเข้าร่างโจซานตงทางกระหม่อมไม่ขาดช่วง เมื่อไอลมปราณสูญสิ้น เศษศาสตราวุธบางส่วนที่ยังกระหน่ำจากเบื้องบนย่อมดิ่งใส่ประมุขพรรคอสุราอาฆาตโดยพลัน

จากคุณ : จันทร์พันฝัน
เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 15:39:02




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com