เหมันต์จันทร์ธารา บรรพ 7.
|
 |
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11365600/W11365600.html
ทักทาย
scottie : เป็นชื่อคนครับ แต่เป็นชื่อใครยังไม่เฉลยครับ ^^''
**********************************************************************
ภายในห้องบรรทมสีขาวสว่างตา พระวิสูตรสีฟ้าราวหยิบยืมท้องนภา ถักทอพลิ้วไหวดั่งระลอกคลื่น ชายผ้าถูกปล่อยทิ้งยาวจนเกือบละพื้น
แสงแห่งราตรีสาดผ่านทวารกระจกบานใหญ่ ลอดเส้นใยละเอียดของม่านฟ้าสู่ภายในห้องกว้าง เปลวไฟจากพระชวาลาภายใน ทอนความสว่างไสวลงด้วยต้องเงาแห่งรัตติกาล ขับบรรยากาศรอบด้านให้นุ่มนวลอ่อนหวาน เหมาะสมกับห้วงนิทรากาล
พระแท่นขนาดใหญ่สีขาว มุมเสาทั้งสี่ด้านสลักเสลาลวดลายวิจิตรงดงาม เสาสูงทั้งสี่ผูกพระวิสูตรสีครีมคลุมรอบสี่ด้านสูงเกือบติดเพดาน ชายผ้าปักดิ้นเลื่อมทองวับวาว ทิ้งน้ำหนักละขอบพระแท่น โต๊ะเครื่องแป้งสลักเสลางดงามไม่แพ้กันตั้งเยื้องพระบัญชรกว้างด้านข้าง เบื้องหน้าโต๊ะงามตั้งพระฉายบานใหญ่ ตระหง่านด้วยความสูงเกินกว่าพระวรกายเจ้าของห้องเสียอีก
ณ โต๊ะทรงพระสำอาง หญิงวัยกลางคนร่างเล็กใบหน้าใจดี ริมฝีปากประดับรอยยิ้ม ภาคภูมิกับสิ่งที่ตนกำลังกระทำยิ่ง มือเหี่ยวย่นแต่ละมุนละไมทั้งคู่ค่อยๆ สางพระเกศาสีดำสลวยให้กับเจ้าฟ้าหญิง ผู้กำลังประทับนิ่งเบื้องหน้า
พระเกศาของเจ้าฟ้าหญิงสีดำสนิทราวรัตติกาล ยาวสลวยเลยกึ่งกลางพระปฤษฎางค์ มีสีพระพักตร์ขมวดมุ่นครุ่นคิด วงพักตร์พริ้มเพรายามแย้มสรวล ยามนี้กลับหม่นหมองลงถนัดตา ดั่งจมอยู่ในห้วงปัญหาที่ไม่อาจหาทางออก
แต่ไม่ว่าทรงเบิกบานหรือหมองหม่น สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้คือพักตร์พริ้มนั้น ‘กลม’ จนรูปลักษณ์ไม่ต่างจากจันทราคืนเพ็ญ เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับพระวรกายที่ค่อนข้าง ‘พี’
สุรเสียงวิตกกังวล รับสั่งถามหญิงวัยกลางคน “นี่นมจ๋า...นมว่าวันงานพิธีฉันจะแต่งชุดอะไรดีล่ะ”
คุณพระนมยิ้มตอบอย่างรักใคร่ “ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลหรอกเพคะ พิธีในวันนั้นพระองค์ต้องสวยที่สุดแน่นอนเพคะ”
สีพระพักตร์เจ้าฟ้าหญิงกลับยิ่งฉายแววแง่งอน ไม่พอพระทัยคำตอบที่ได้รับ “นั่นก็ต้องแล้วแต่ ‘เรวตี’ นั่นแหละ ว่าเธอจะแต่งชุดอะไร”
คุณพระนมส่ายหน้าอ่อนใจ ฝ่าบาทของนมทรงอิจฉาพระขนิษฐาได้ทุกเรื่องจริงๆ “‘เจ้าฟ้าหญิงเรวตี’ จะทรงฉลองพระองค์ชุดไหนก็ไม่สำคัญหรอกเพคะ เพราะงานพิธีครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อ ‘เจ้าฟ้าหญิงลักษิกา’ ของนมน่ะเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาแย้มโอษฐ์ในทันที “นั่นสินะ...ในงานพิธีสายตาทุกคู่ต้องจับจ้องอยู่ที่เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาท ไม่ใช่เจ้าฟ้าหญิงเรวตี!”
รับสั่งไปก็ทรงดำริถึงเรื่องที่ครุ่นคิดค้างไว้ “แต่ว่าที่ฉันถามน่ะ ไม่ได้หมายถึงชุดที่จะแต่งในวันงานหรอกนะจ๊ะ นมว่าวันนั้นฉันแต่งชุดนอนแบบไหนดีจ๊ะ”
คุณพระนมแม้มีท่าทางประหลาดใจ หากยังเกรงพระทัยจึงได้แต่นิ่งฟัง “นมว่าฉันไว้ผมให้ยาวกว่านี้ดีไหมจ๊ะ”
คุณพระนมยิ่งแปลกใจมากขึ้น อดกล่าวแย้งไม่ได้ “พระเกศาของฝ่าบาทก็ยาวมากแล้วนะเพคะ ถ้าจะให้ยาวกว่านี้นมว่าจะไม่เหมาะนะเพคะ”
แวววิตกกังวลกลับฉายบนพระพักตร์กลมอีก “แต่เวลาฉันปล่อยผมจากขอบระเบียง มันก็ยังไม่ถึงพื้นเลยนะจ๊ะ นมจ๋า...นมว่าขอบระเบียงห้องฉันสูงไปหรือเปล่าจ๊ะ”
คุณพระนมถึงกับขมวดคิ้วย่น “แบบนี้ก็ดีแล้วนะเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิการะบายพระปัสสาสะด้วยความกลัดกลุ้ม “แต่นมจ๋า...ฉันว่ามันสูงไปนะ เวลาเจ้าชายหรือท่านขุนพลปีนขึ้นมาหาฉัน เขาคงจะเหนื่อยแย่ หรือแม้แต่เวลาจะคุยกับฉัน เขาคงต้องเงยหน้าจนเมื่อยแน่เลย”
สีหน้าคุณพระนมซีดเผือด ตระหนกตกใจแทบสิ้นสติ “ตายแล้ว! ฝ่าบาทของนม ตรัสอะไรออกมาเพคะ ไม่งามนะเพคะ”
พระพักตร์กลมหันทอดพระเนตรคุณพระนม ดวงเนตรสีน้ำทะเลกลมโต เปื่ยมแววงงงวย “ทำไมล่ะนม...ปกติเวลาเจ้าชาย หรือบรรดาขุนพลจะมาหาเจ้าหญิง เขาก็ต้องทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ...”
คุณพระนมเอามือตบหน้าอกตัวเองด้วยความตกใจ “เจ้าชายที่ไหน! ขุนพลที่ไหน! ของฝ่าบาทล่ะเพคะจะทำแบบนี้!”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทอดพระเนตรสีหน้าคุณพระนมด้วยความสงสัย ไม่เข้าพระทัยว่ารับสั่งสิ่งใดผิดไปหรือ ทำไมคุณพระนมต้องแสดงท่าทางตกอกตกใจขนาดนั้น
“อ้าว...ก็ต้องเจ้าชายหรือขุนพลที่เป็นศัตรูกับแคว้นเราน่ะสิจ๊ะ ท่านผู้กล้าเหล่านั้นจะแอบเข้ามาร่วมในพิธีสัประยุทธ์ที่พระราชวังของเรา แต่ท่านเหล่านั้นไม่สามารถบอกให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าแท้จริงเป็นใคร พวกท่านจะหลงรักฉันตั้งแต่แรกเห็น แล้วตอนกลางคืนก็จะแอบเข้ามาคุยกับฉันที่หน้าต่างนี่ ฉันก็จะปล่อยผมยาวของฉันให้ท่านผู้กล้าปีนขึ้นมาข้างบน แต่นมจ๋าอีกไม่กี่วันก็ถึงวันงานพิธีผมฉันยังสั้นอยู่เลย...ทำยังไงดีล่ะจ๊ะ”
คุณพระนมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ฝ่าบาทไม่ต้องทรงทำอะไรหรอกเพคะ...”
ทว่าเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาท กลับมีท่าทีเหนื่อยหน่ายกว่า “....แต่ถ้าเหล่าผู้กล้าไม่เกาะผมฉันไว้ก็เหนื่อยแย่สิ กว่าจะขึ้นมาถึงก็ไม่มีแรงทำอะไรแล้ว”
คุณพระนมตกใจจนโพล่งออกมาอย่างลืมตัว “ตายแล้ว! เหล่าเจ้าชายกับขุนพลจะทำอะไรฝ่าบาทเพคะ!”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาแย้มสรวลเขินอาย “พวกท่านก็ต้องพาฉันหนีไปยังแคว้นบ้านเกิดน่ะสิ จากนั้นเสด็จพ่อจะต้องส่งคนออกติดตาม แต่เหล่าผู้กล้าก็จะสามารถปกป้องฉันไว้ได้ จนในที่สุดเสด็จพ่อจะเข้าใจว่าเรารักกันด้วยใจจริง และยกโทษให้กับเราสองคน ความขัดแย้งระหว่างสองแคว้นจะยุติเพราะความรักของเรา ประชาชนทั้งสองแคว้นก็จะได้อยู่กันอย่างมีความสุข...นมว่าดีไหมจ๊ะ”
คุณพระนมเอ่ยตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ดีน่ะดีเพคะ แต่ตอนนี้แคว้นของเราก็สงบสุขดีนะเพคะ...ไม่มีสงครามมาตั้งหลายสิบปีแล้ว แล้วก็ไม่เห็นจะมีแคว้นไหนมีท่าทีจะเป็นศัตรูกับเราเลยนะเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาตกพระทัยจนพักตร์ขาวยิ่งซีดเผือด “แย่แล้ว! ไม่มีแคว้นไหนเป็นศัตรูกับเราเลยหรือจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นจะหาเจ้าชายกับเหล่าขุนพลที่ไหนล่ะ...แล้วฉันจะทำยังไงดีจ๊ะนม ฉันให้เสด็จพ่อยกทัพไปแคว้นไหนสักแคว้นดีไหมจ๊ะ”
คุณพระนมแม้ไม่เห็นด้วยกับดำริของเจ้าฟ้าหญิง แต่เมื่อเห็นดวงเนตรกลมโตปิ่มน้ำพระอัสสุชล ทำให้อดสงสารอย่างจับใจไม่ได้
“ฝ่าบาทของนมไม่ต้องทรงคิดมากนะเพคะ ในวันพิธีจะมีทั้งเจ้าชายทั้งเหล่าขุนพล รวมถึงจอมเวทย์จากทุกแคว้นมาให้ฝ่าบาททรงเลือกมากมายแน่เพคะ ดูอย่างท่านผู้กล้าทั้งสามที่มาถึงวันนี้สิเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาททรงนิ่งคิดครู่หนึ่ง รับสั่งอย่างไม่ค่อยพอพระทัย “ท่านผู้กล้าทั้งสาม ที่เพิ่งมาถึงวันนี้น่ะเหรอ...ก็ดีอยู่หรอกจ้ะ...แต่ฉัน...”
“ทำไมล่ะเพคะ หม่อมฉันว่าแต่ละท่านล้วนแต่เหมาะสมนะเพคะ เจ้าฟ้าชายโควินท์ทรงอ่อนโอนสุภาพ พระทัยก็ดี ศักดิ์ฐานะก็ทัดเทียมฝ่าบาท ขุนพลปวีร์ก็เข้มแข็งงามสง่า ท่วงท่ากล้าหาญเด็ดเดี่ยว ส่วนท่านจอมเวทย์รัญชน์ก็ท่าทางมีความรู้ทรงภูมิปัญญา ฝ่าบาทเองก็โปรดจะเสด็จไปชมหอสมุดเมธา ที่แคว้นเมธาปุระมิใช่หรือเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิการับสั่งเรื่อยๆ อย่างไม่ค่อยใส่พระทัย “ก็จริงอย่างนมว่าแหละจ้ะ...แต่เจ้าฟ้าชายโควินท์ทรงเป็นพระญาติ พวกเรารู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะจ๊ะ ขุนพลปวีร์แม้เข้มแข็งงามสง่า แต่ก็ดูแข็งกระด้างอย่างไรชอบกล ส่วนจอมเวทย์รัญชน์ดูทรงภูมิก็จริง แต่นมก็รู้ว่าฉันไม่ชอบเหล่าจอมเวทย์ เจ้าชายกับขุนพลในฝันของฉัน ต้องเป็นอย่างที่เล่าให้นมฟังนั่นแหละจ้ะ หรือบางทีเจ้าชายอาจปลอมตัวมา...ใช่เจ้าชายต้องปลอมตัวมาแน่! พระองค์จะปลอมตัวเป็นคนธรรมดา แล้วบอกว่าม้าสลัดพระองค์ตกลงมา พระองค์เลยหลงทางจนมาถึงอุทยานของฉัน...แล้วบังเอิญมาเจอฉัน” ยิ่งรับสั่งยิ่งเอียงอาย เก็บพระอาการขวยเขินไว้ไม่อยู่
คุณพระนมส่ายหน้าเหน็ดเหนื่อยใจ ตัดบทขึ้น “นมว่าฝ่าบาทเสด็จเข้าที่บรรทมได้แล้วนะเพคะ”
กล่าวจบ ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทรงโต้แย้งใดๆ ได้ คุณพระนมพาพระองค์มาที่พระแท่น คลี่คลุมพระบรรทมอย่างนุ่มละมุน ก่อนปล่อยชายพระวิสูตรทั้งสี่ด้าน จัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพเรียบร้อย คุณพระนมจึงล่าถอยจากห้องบรรทม ปิดบานพระทวารด้านหน้าเบากริบกลับไปยังห้องพักของตน
เจ้าฟ้าหญิงลักษิการอจนแน่พระทัยว่า คุณพระนมจากไปไกลแล้ว ค่อยสลัดคลุมพระบรรทม ทรงจุดพระชวาลา เสด็จจากพระแท่น เปิดบานพระบัญชรด้านข้าง ทอดพระเนตรลงไปยังพระราชอุทยานเบื้องล่าง ระบายพระปัสสาสะด้วยพระทัยกลัดกลุ้ม กระทั่งมิอาจข่มพระเนตรเข้าบรรทมได้
เบื้องล่างพระบัญชรเป็นเขตพระราชอุทยานชั้นใน ตกแต่งจัดสร้างเป็นแนวพุ่มไม้ดอกเตี้ยๆ สลับเรียงรายเป็นแถวแนวยาว ตลอดเรื่อยกระทั่งสุดเขตพระราชฐานฝ่ายใน หากมิใช่เป็นฤดูนี้ไม้ดอกทั้งหมดจะเบ่งบานสะพรั่ง สีสันสดใสสลับเลื่อมงดงามตระการ กลิ่นจำรุงระรื่นหอมชื่นนาสิก ทว่าในฤดูกาลนี้บรรดาไม้ดอกทั้งหลายไม่หลงเหลือดอกใดแล้ว เนื่องเพราะย่างเข้าเหมันต์มากว่าครึ่งเดือน แต่กระนั้นไม้ดอกบางชนิดกลับยังส่งกลิ่นหอมรินๆ โชยกลิ่นอ่อนๆ
ทันใด บานพระทวารหน้าห้องบรรทมบังเกิดเสียงเคาะดังแผ่วเบา เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาขมวดพระขนงมุ่น ยามนี้เป็นใครกันที่กล้ามาเคาะห้องบรรทม
“ใครน่ะ...” ไม่มีเสียงตอบ แต่เสียงเคาะบานพระทวารยังดังขึ้นอีก เจ้าฟ้าหญิงรับสั่งถามขึ้นอีกครั้งด้วยความรำคาญ “ใคร...”
ไม่มีเสียงตอบอีกเช่นเลย เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาเริ่มกริ้ว เสด็จลิ่วผละจากพระบัญชร ไปเปิดบานพระทวาร แล้วก็ต้องหลากพระทัยเล็กน้อย เมื่อทอดพระเนตรพักตร์ของผู้ที่มาเคาะห้องบรรทม
“อ้อ...เจ้าเองเหรอ เรวตี...” กระแสรับสั่งบ่งบอกว่ากริ้วไม่น้อย
ผู้มาเคาะห้องบรรทมยามวิกาล กลับเป็นพระขนิษฐาของพระองค์เจ้าฟ้าหญิงเรวตี พระพักตร์ของทั้งสองพระองค์ละม้ายคล้ายกัน ทว่าเจ้าฟ้าหญิงเรวตีทรงมีพระพักตร์เรียวมน แววพระเนตรอ่อนโยนสีน้ำทะเลใสกระจ่าง พระขนงและดวงพระเนตรล้วนคมงามล้ำยิ่งกว่าเจ้าฟ้าหญิงลักษิกา
พระเกศาสีดำสนิทเฉกเช่นกัน แต่เจ้าฟ้าหญิงเรวตีทรงเครื่องเพียงเหนือพระศอ ส่งให้พระศอระหงเด่นชัดสง่างาม ยิ่งเจ้าฟ้าหญิงลักษิกามีความสูงเพียงแค่พระศอของพระองค์ ยิ่งทำให้เจ้าฟ้าหญิงเรวตีหมดจดงดงาม สูงสง่าเหนือกว่าเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาททุกด้าน ยามนี้ทรงฉลองพระองค์สีขาวไม่ประดับดิ้นหรือลวดลายใดๆ ทำให้ผู้พบเห็นบังเกิดความรู้สึกว่า ทรงเป็นเจ้าฟ้าหญิงผู้ทั้งสูงศักดิ์ ทั้งบริสุทธิ์มิอาจแตะต้อง
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทอดพระเนตร ฉลองพระองค์ยาวสีขาวของเจ้าฟ้าหญิงเรวตีอย่างขัดพระทัย “อ้อ...นี่เจ้าคงแต่งชุดนี้ไปงานพิธีสินะ...ก็สวยดีนี่...คิดแต่งมาอวดล่ะสิ”
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีก้มพระพักตร์ต่ำ ดวงพระเนตรสีน้ำทะเลหมองหม่นลงทันที ทอดพระเนตรฉลองพระองค์ แล้วค่อยรับสั่งพระสุรเสียงอ่อยๆ
“ไม่ใช่หรอกเพคะ นี่เป็นชุดลำลองของหม่อมฉันเพคะ” “เจ้าจะบอกว่าแค่แต่งชุดลำลอง เจ้าก็สวยกว่าฉันแล้วสิ!”
“ไม่ใช่เพคะ...หม่อมฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น...หม่อมฉันยังไม่ได้ลองชุดที่จะใส่วันงานพิธีเลยเพคะ” “ใช่สิ! เจ้าน่ะแต่งอะไรก็สวยอยู่แล้วนี่ จะต้องวุ่นวายลองชุดโน่นชุดนี้อย่างฉันทำไม”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ...หม่อมฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น...หม่อมฉัน...” “ทำไม!...แต่เอาเถอะนั่นเป็นเรื่องของเจ้า ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปใส่ใจ...ว่าแต่เจ้ามีธุระอะไร”
“หม่อมฉันจะมาขอประทานอนุญาต...ไม่ไปร่วมในงานพิธีเพคะ” “เจ้าคิดว่างานพิธีของเราไม่สำคัญ ไม่ต้องไปก็ได้ใช่ไหม!”
“ไม่ใช่เพคะ ไม่ใช่...หม่อมฉัน...” “พอแล้ว!...เจ้าจะลองชุดของเจ้าหรือไม่ หรือจะแต่งชุดอะไรก็เรื่องของเจ้า แต่เจ้าต้องไปงานพิธีของเรา!”
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีก้มพระพักตร์ต่ำ พระอัชสุชลคลอพระเนตร “เจ้าพี่เข้าใจผิด...หม่อมฉัน...”
เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทรับสั่งอย่างเบื่อหน่าย “เราจะพักผ่อน...”
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีประทับนิ่ง พยายามบังคับไม่ให้พระอัชสุชลไหลออกมา ค่อยๆ กราบทูลช้าๆ “เพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาปิดบานพระทวารห้องบรรทมทันที ไม่สนพระทัยว่าอีกองค์จะจากไปหรือยัง เสด็จปึงปังไปมาภายในห้องบรรทมครู่ใหญ่ ที่สุดจึงหยุดประทับหน้าพระฉายบานใหญ่ ยิ่งทอดพระเนตรเงาองค์เองในพระฉายก็ยิ่งน้อยพระทัย ทั้งอิจฉา ทั้งหงุดหงิด แง่งอนมากยิ่งขึ้น
“ไม่ยุติธรรมเลย! ฉันไม่ได้สวย ไม่ได้น่ารักน้อยกว่าเรวตีเลย...พี่น้องกันแท้ๆ แต่ทำไมเรวตีทั้งสูงทั้งสง่างามสมกับที่เป็นเจ้าหญิง แต่ฉันทั้งเตี้ยทั้งอ้วน หน้าก็กลมแบนไม่มีสง่าราศีสักนิด!”
เสด็จปึงปังอีกครั้ง คราวนี้ไปหยุดประทับ ณ บานพระบัญชรด้านข้าง พระพักตร์กลมเหม่อมองออกไปเบื้องนอกพระราชอุทยาน พยายามระงับความพิโรธ เฝ้าดำริไปถึงเจ้าชายในฝันที่จะมาหาในวันพรุ่งนี้
ทันใด เบื้องล่างตรงพุ่มไม้ดอก ใต้บานพระบัญชรพอดี เกิดอาการสั่นไหวอย่างประหลาด บัดนั้นแสงจันทราที่กระทบหลังแนวพุ่มไม้ กลับปรากฏเห็นเป็นภาพเงาคนๆ หนึ่งซ่อนตัวอยู่ภายใน!
บริเวณพระราชอุทยานในเขตพระราชฐานชั้นใน ย่อมไม่มีราชองครักษ์ประจำการ ยิ่งยามราตรีหากไม่มีรับสั่งหรือเกิดเหตุร้ายใด ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาในบริเวณนี้
“นั่นใคร! ออกมานะ! หากไม่ออกมาเราจะเรียกราชองครักษ์!”
สิ้นกระแสรับสั่ง สุ้มเสียงร้อนรนรีบเอ่ยออกมาจากหลังพุ่มไม้นั้น “อย่า! อย่านะ! ข้า...เออ...เกล้ากระหม่อม...ไม่ใช่คนร้าย”
พร้อมๆ กับที่ร้องออกมา ชายหนุ่มคนหนึ่งค่อยๆ คลานออกจากหลังพุ่มไม้เตี้ยๆ
ชายหนุ่มผู้นี้สวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ สีหม่นๆ เหมือนเป็นชาวบ้านทั่วไป รูปร่างผอมบาง ผมยาวดำขลับผูกรวบไว้ด้านหลัง อายุควรไล่เลี่ยกับพระองค์ นัยน์ตาแฝงแววเฉลียวฉลาด แต่มีแววหลุกหลิกชอบกล ทว่ากลับมีบางสิ่งในตัวชายหนุ่มผู้นี้สะกิดความสงสัยในพระทัยของพระองค์
เจ้าฟ้าหญิงลักษิการับสั่ง พระสุรเสียงเครียด “เจ้าเป็นใคร! ทำไมมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่ในอุทยาน ตอบเรามา!”
ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง มองซ้ายมองขวา ทำท่าเหมือนจะหาที่ซ่อนตัวอีก “ข้า! ข้า...คือเกล้ากระหม่อม เดี๋ยวๆ ฝ่าบาทอย่าเรียกราชองครักษ์เลย เกล้ากระหม่อมไม่ใช่คนร้าย....”
“บอกมาเดี๋ยวนี้เจ้าเป็นใคร! ทำไมถึงเข้ามาในอุทยานของเรา!”
ชายหนุ่มอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ชั่วครู่ พยายามระงับอาการประหม่า “เกล้ากระหม่อมคือ....เกล้ากระหม่อมหลงทางมา เออ...มารู้ตัวอีกทีก็เข้ามาอยู่ในพระราชอุทยานแล้ว แต่...แต่เกล้ากระหม่อมไม่ได้มีเจตนาร้าย เกล้ากระหม่อมหลงทางมาจริงๆ”
บัดนั้น ในพุ่มไม้เบื้องหลังชายหนุ่ม บังเกิดแสงวับวาวสะท้อนแสงจันทรา เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทอดพระเนตรจนฉงนฉงาย เนื่องเพราะทรงพบว่านั่นเป็นแสงสะท้อน จากเครื่องเกราะสีเงินบริสุทธิ์ส่องประกายวับวาว!
เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทรีบรับสั่งถาม ด้วยความหลากพระทัย “เครื่องเกราะแบบนั้น...ไม่ใช่ของเหล่านักรบทั่วไป! นี่เจ้ามีตำแหน่งเป็นขุนพลหรือ!”
ชายหนุ่มแปลกหน้ายิ่งอึกอักอ้ำอึ้ง “เออ...เออ...ใช่ๆ พระเจ้าค่ะ...”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาเบิ่งพระเนตรโพลง ทอดพระเนตรมองชายหนุ่มแปลกหน้าด้วยความตื่นเต้น รับสั่งสุรเสียงกระตือรือร้น แทบอยากจะกระโดดลงไปในพระราชอุทยานเสียเดี๋ยวนั้น
“เจ้า...เจ้าบอกว่าหลงทางมาใช่ไหม!”
ชายหนุ่มแปลกหน้า รีบพยักหน้ากราบทูล “ถูกแล้วฝ่าบาท...”
แม้ได้คำตอบตรงกับพระทัย กระนั้นเจ้าฟ้าหญิงก็ไม่วางพระทัย รับสั่งถามอีก “เจ้าเป็นขุนพลของแคว้นไหนล่ะ”
ชายหนุ่มกลับอ้ำๆ อึ้งๆ ขึ้นมาอีกครั้ง “เกล้ากระหม่อม...เกล้ากระหม่อมไม่ได้อยู่ที่แคว้นใด...เกล้ากระหม่อมออกเดินทางไปเรื่อยๆ...”
“แล้วเจ้าชื่ออะไร กำลังจะเดินทางไปไหน ทำไมถึงหลงทางได้” “เกล้ากระหม่อมชื่อบุลิน เกล้ากระหม่อมกำลังเดินทางไป...เออ...ไป...”
“เจ้าบอกไม่ได้ล่ะซิว่ากำลังจะไปไหน! แล้วม้าของเจ้าไปไหนล่ะ...อย่าบอกนะว่าไม่มีม้า ไม่รู้ม้าตัวเองไปไหน ถ้าเจ้าเป็นขุนพลจริงเจ้าก็ต้องมีม้าสิ!”
“ม้าของเกล้ากระหม่อม...มันสลัดเกล้ากระหม่อมตกลงมาแล้วมันก็หนีไป เกล้ากระหม่อมจึงเดินหลงทางมาจน...จนเข้ามาถึงพระราชอุทยานพระเจ้าค่ะ...”
เจ้าฟ้าหญิงแย้มพระสรวลเยาะหยัน “เจ้ารู้ไหม...เจ้าน่ะโกหกได้แย่มาก! บอกมาดีกว่า เจ้าเป็นใครกันแน่! ไม่เช่นนั้นเราจะเรียกราชองครักษ์”
บุลินรีบละล่ำละลักขอร้อง กราบทูลน้ำเสียงอ่อย “อย่าทรงเรียกราชองครักษ์เลย...เกล้ากระหม่อม...เกล้ากระหม่อมกราบทูลตามความจริงไม่ได้โกหกอะไรเลย ฝ่าบาท...เกล้ากระหม่อมเป็นขุนพลพเนจรเดินทางผ่านมาจริงๆ แล้วเกล้ากระหม่อมก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับใครเลย ฝ่าบาททรงอย่าจับกุมเกล้ากระหม่อมเลยนะ”
ครานี้ เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาตรัสแผ่วเบากับองค์เอง “ใช่!...ต้องใช่แน่ๆ เจ้าชายจากแดนไกลหลงทางมาจนมาพบกับเรา แต่เขาไม่สามารถบอกฐานะที่แท้จริงกับเราได้...ต้องใช่แน่ๆ!”
ดวงพระเนตรเปี่ยมประกายยินดี สุรเสียงยิ่งตื่นเต้นดีใจ “เอาล่ะๆ...เราจะเชื่อเจ้า...อย่างนั้นพอถึงวันงานพิธีของเรา...เจ้าต้องไปร่วมงานด้วย”
“งานพิธีอะไรหรือฝ่าบาท”
“พิธีสัประยุทธ์แห่งพุทธินคราน่ะสิ แต่ในปีนี้จะเพิ่มราชพิธีแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาท ให้กับเราอย่างเป็นทางการด้วย ราชพิธีแต่งตั้งของเราจะเริ่มก่อนพิธีสัประยุทธ์ประจำปี เวลานี้ทุกแคว้นน่าจะรู้ข่าวแล้วนี่นา เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา เป็นขุนพลได้อย่างไรทำไมถึงไม่รู้เรื่อง เจ้าต้องมาร่วมงานพิธีให้ได้นะ”
บุลินยิ่งอึกอักรีบทูลปฏิเสธ “เกล้ากระหม่อมเป็นเพียงขุนพลพเนจร จะเข้าไปร่วมในราชพิธีของฝ่าบาทได้อย่างไร เกล้ากระหม่อมหลงทางมา ไม่ได้ถูกเชิญมา หากพูดง่ายๆ ก็แอบเข้ามา แบบนี้จะเข้าไปร่วมพิธี...”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาเริ่มรำคาญพระทัย “เจ้านี่เรื่องมากจริงๆ! เราบอกว่าได้ก็ต้องได้สิ...เจ้าชื่อบุลินใช่ไหม เมื่อถึงวันงานพิธีจงบอกชื่อของเจ้ากับราชองครักษ์ พวกเขาจะพาเข้ามาร่วมราชพิธีเอง เจ้าต้องมาให้ได้นะ...เอาล่ะ เจ้ารีบออกจากอุทยานของเราได้แล้ว เดี๋ยวมีใครมาพบเข้า อ้อ...วันงานพิธีต้องสวมเครื่องเกราะชุดนั้นของเจ้ามานะ”
รับสั่งจบก็รีบปิดบานพระบัญชร ดับพระชวาลาในห้องพระบรรทมทันที
บุลินถอนหายใจอย่างโล่งอก ทรุดตัวนั่งอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ขณะกำลังคิดว่าจะหาที่หลบซ่อนตัวดี หรือจะหาทางหลบออกจากพระราชอุทยานดี สุ้มเสียงไพเราะแผ่วเบาดังขึ้นข้างกาย
“เจ้านี่โกหกไม่ได้เรื่องจริง...แต่เจ้าฟ้าหญิงองค์นั้นก็ยิ่งแปลก ทรงเชื่อเจ้าไปได้ยังไง”
มายากรหนุ่มหันไป เห็นวาสิตากับนารทฟื้นคืนสติแล้ว หัวใจย่อมลิงโลดด้วยความโล่งอก
ราวครึ่งชั่วยามก่อนบุลินฟื้นคืนสติเป็นคนแรก เหลียวซ้ายแลขวาพบตนอยู่ในสถานที่แปลกประหลาด คลับคล้ายคลับคลาจะเป็นสวนดอกไม้ แต่อาณาบริเวณกลับกว้างขวางใหญ่โต สวยงามตระการตาไม่เคยพบเห็นมาก่อน อีกทั้งยังมีปราสาทหลังใหญ่ตงะหง่านอยู่เบื้องหน้า
แวบแรกนั้น มายากรหนุ่มเย็นวาบทั้งร่างด้วยความตระหนก ไม่กล้าครุ่นคิดคาดเดาว่าเวลานี้มาอยู่ ณ ที่ใด
นารทกับวาสิตาสลบไสลอยู่ด้านข้าง บุลินแม้ต้องการปลุกคนทั้งสองใจจะขาดแต่กลับไม่กล้า ด้วยเกรงว่าเหตุที่พวกตนทั้งสามมาอยู่ที่นี่ ทั้งยังสลบไสลไม่ได้สติคงเหมือนเหตุกาลก่อน อันเกิดจากการใช้ฌานเวทของใครสักคน มายากรหนุ่มเกรงว่าหากจู่ๆ เข้าไปปลุกจะเกิดผลร้ายกับนารทและวาสิตา
มายากรหนุ่มรวบรวมความกล้าอยู่พักใหญ่ ตัดสินใจโผล่ขึ้นจากพุ่มไม้เตี้ยค่อยๆ มองสำรวจรอบด้าน เมื่อไม่พบเห็นผู้คนค่อยโล่งใจ ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะออกเดินสำรวจ หาทางออกจากสถานที่นี้ดีหรือไม่ โสตกลับแว่วได้ยินเสียงสนทนา ดังจากหน้าต่างบานใหญ่เหนือพุ่มไม้
บุลินรีบหลบเข้าในพุ่มไม้อีกครั้ง พยายามเงี่ยหูฟังอยู่ชั่วครู่ สามารถจับความได้คร่าวๆ ไม่ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราว ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ทว่ายังจับใจความได้ว่าหญิงทั้งสองซึ่งกำลังสนทนานั้น คนหนึ่งเป็นพระนมอีกคนเป็นกลับเป็นถึงเจ้าฟ้าหญิง!
มายากรหนุ่มรู้ดังนั้น ถึงกับตกใจแทบสิ้นสติ ความสงสัยงงงวยสิ้นไปในบัดดล ที่นี่เป็นพระราชอุทยานในพระราชวังอย่างที่คิดจริงๆ ทำไมพวกตนทั้งสามถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ยามนี้ยิ่งไม่กล้าโผล่หน้าจากพุ่มไม้อีก ด้วยกลัวจะมีคนพบเข้า คราวนี้คงไม่แคล้วถูกจับไปประหารเป็นแน่ จิตใจยิ่งรุ่มร้อนกระวนกระวาย ได้แต่รอคอยว่าเมื่อไหร่วาสิตากับนารทจะฟื้นคืนสติเสียที
ขณะกำลังกระวนกระวาย ยามเผลอเลอทำพุ่มไม้สั่นไหว เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าฟ้าหญิงเปิดบานพระบัญชรทอดพระเนตรลงมาพอดี คราวนี้บุลินแทบสิ้นสติจริงๆ ทำสิ่งใดไม่ถูก ได้แต่เลิ่กลั่กจะบอกความจริงก็ไม่กล้า
มายากรหนุ่มแม้ถนัดเล่าเรื่องอย่างยิ่ง แต่กลับโกหกไม่เก่งเลย ได้แต่ปั้นเรื่องไปเรื่อยเปื่อย เออออไปกับคำถามของเจ้าฟ้าหญิงองค์นั้น มิคาด ที่สุดเจ้าฟ้าหญิงองค์นั้นกลับทรงเชื่อเรื่องที่ตนปั้นแต่งขึ้น ซ้ำยังชวนไปร่วมงานราชพิธีเสียอีก กระทั่งยามนี้เมื่อนารทกับวาสิตาฟื้นคืนสติค่อยโล่งใจขึ้น
บุลินเอ่ยถามด้วยความฉงน มองหน้านารทกับวาสิตาสลับไปมา “นี่เกิดเรื่องใดขึ้น ทำไมพวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ แล้วนี่ผ่านมากี่วันแล้ว แล้วทำไมเครื่องเกราะของท่านขุนพลศรุต ถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยได้”
นารททอดถอนใจแผ่วเบา กล่าวอธิบาย “ท่านธันยาสำเร็จวาโยฌานเวทเช่นเดียวกับข้า แต่พลังแห่งฤทธาช่างแตกต่างจนเปรียบกันไม่ได้ วาโยฌานเวทของท่าน สามารถส่งพวกเราข้ามจากมหานทีศศิกันทรามาไกลถึงพุทธินครา ทั้งสามารถนำพวกเราผ่านม่านมนตราซึ่งคลี่คลุมคุ้มครองรอบพระราชวัง เข้ามากระทั่งถึงพระราชอุทยานได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
วาสิตาเหม่อมองนภาแวบหนึ่ง ค่อยกล่าวว่า “พวกเราหมดสติไปเพียงครึ่งวัน ขณะฌานเวทของท่านธันยากำลังจะปะทะร่างเจ้า ข้ากับท่านนารทจับร่างเจ้าคิดสร้างม่านมนตราเบี่ยงเบนฤทธาของท่านธันยา ส่วนท่านขุนพลศรุตอยู่ไกลกว่าพวกเรา ท่านรู้ว่าเข้ามาช่วยเหลือไม่ทัน ดังนั้นสลัดชุดเกราะเหวี่ยงเข้าขวางกั้น คิดใช้เกราะมนตราเบี่ยงเบนฤทธาเวท แต่ที่สุดทุกสิ่งกลับไร้ผล...ฌานเวทของพวกเราห่างไกลจากท่านธันยาไม่อาจเทียบกันได้จริงๆ”
สายตาคมวาวของอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา เขม็งจ้องบุลินส่งประกายเย็นเยียบ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน! “บุลิน...จงตอบข้าตามความจริง! เจ้ารู้จักนาม ‘สกันทะ’ ได้อย่างไร!”
จากคุณ |
:
big pigdaddy
|
เขียนเมื่อ |
:
วันรัฐธรรมนูญ 54 10:08:48
|
|
|
|