Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(นิยายกำลังภายใน) วิหคดั้นเมฆา ผู้กล้าฝ่ายุทธจักร ตอนที่ 81 ติดต่อทีมงาน

อีกสามวันจะถึงงานชุมนุมชาวยุทธ์

ฟ่านไป่หนิงเคยคิดว่าสือหย่งหลุนจะรั้งอยู่เพื่อร่วมงาน ทว่าเมื่อออกจากผาดงแล้ง มันกลับชักชวนนางเดินทางกลับเมืองหลวงทันที ไม่รอแม้กระทั่งงานศพของจอมยุทธเซียนสุขสันต์เอ้อไห่เซิ่น

ยามนี้ พวกนางจึงขับขี่บนหลังม้า ห้อตะบึงไปตามถนนทอดยาว...

อาชาฝีเท้าจัดโลดแล่นจนทิวทัศน์รอบข้างกลายเป็นเบื้องหลังในพริบตา แต่ฟ่านไป่หนิงก็ยังคงหวดแส้ใส่สะโพกม้าไม่ยั้ง ราวจะเร่งหนีจากมืออันมองไม่เห็นที่แฝงตัวตามหลัง

อาจเพราะนางกำลังกลัว...กลัวสือหย่งหลุน

หากเด็กหนุ่มต้องการร่วมมือกับชาวยุทธ์เข้าต่อกรพรรคอสุราอาฆาต นางคงไม่อาจห้ามปรามมันไว้ได้ ทว่าโจซานตงร้ายกาจเกินไป ชะตากรรมของศัตรูมันย่อมมีเพียงหนทางเดียว ดรุณีน้อยจึงต้องหนีให้ไกลที่สุด ด้วยเห็นว่ายิ่งห่างจากงานชุมนุมชาวยุทธ์มากเท่าใด สือหย่งหลุนก็จะเปลี่ยนใจยากขึ้นเท่านั้น

สองหนุ่มสาวเดินทางรวดเร็วยิ่ง แต่ข่าวจากปากต่อปากกลับถ่ายทอดรวดเร็วกว่า ห้าวันถัดมาพวกนางก็ได้ยินว่าชุมนุมชาวยุทธ์มีมติต่อต้านพรรคอสุราอาฆาตอย่างเปิดเผย โดยยกเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเป็นจ้าวยุทธภพเพื่อการนี้โดยเฉพาะ และหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการแจกแจงหน้าที่เตรียมกระทำสงครามกับฝ่ายอธรรมอย่างเต็มรูปแบบ

ไม่ซิ...บางทีในตอนนี้ สงครามอาจเกิดขึ้นแล้วก็เป็นได้

วูบหนึ่ง ฟ่านไป่หนิงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา

หากวันนั้นบนเขาหลังสำนักง่อไบ๊ นางตัดใจแลกชีวิตผู้คนบนนั้นแล้วทำลายผืนหนังชิ้นสุดท้ายไปเสีย วิชาสลายภพคงไม่ปรากฏขึ้นบนโลกอีกครา

คิดแล้ว อดทอดถอนใจมิได้

“เป็นอันใดหรือ”

ฟ่านไป่หนิงสะดุ้ง หันไปมองเด็กหนุ่มเจ้าของคำถาม ยามนี้พวกนางกำลังเจรจาขายม้าให้ร้านค้าแถบชานเมืองหลวง ด้วยบรรลุถึงจุดหมายแล้ว การใช้ม้าเดินทางแค่ในเมืองเป่ยจิงออกจะเกะกะเสียเปล่า

ดรุณีน้อยคิดกล่าวคำปฏิเสธ แต่แววตาอ่อนโยนของอีกฝ่ายกลับทำให้เผลอระบายความในใจจนหมดสิ้น สือหย่งหลุนรับฟังนางด้วยกิริยาสงบ ก่อนรั้งตัวนางเดินเคียงกันไปตามถนน ปากเอ่ยว่า

“อย่าได้กังวลนักเลย ก็จริงที่แผ่นหนังชิ้นสุดท้ายซึ่งพวกเรามอบแก่โจซานตงทำให้มันสำเร็จวิชาสลายภพ แต่ไม่มีใครตอบได้หรอกว่าถ้าวันนั้นไม่มอบแก่มันผลในวันนี้จะเป็นเช่นไร เลวร้ายที่สุดอาจเป็นว่าทุกคนบนเขาเอ้อเหมยในวันนั้นตกตายสิ้น และโจซานตงยังได้แผ่นหนังในสภาพสมบูรณ์ไปก็เป็นได้ ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว การตีโพยตีพายย่อมมิใช่ทางออก หากควรตั้งสติช่วยกันแก้ไขปัญหาตรงหน้าเสียดีกว่า”

ฟ่านไป่หนิงเริ่มคล้อยตาม ใจหวนระลึกไปถึงคำพูดอาจารย์เมื่อครั้งก่อน

‘ชีวิตคนเราล้วนเต็มไปด้วยทางเลือก หากสิ่งที่สำคัญมิได้อยู่ที่จะเลือกทางไหน แต่อยู่ที่การยอมรับผลในการเลือกของตนเองเสียมากกว่า ซึ่งการจะคิดเช่นนี้ได้...ต้องอาศัยเวลา’

คราแรกที่ได้ฟัง นางไม่เข้าใจแม้แต่น้อย จวบจนบัดนี้คล้ายกระจ่างขึ้นเลือนราง แต่ไม่ทันได้พิจารณาแน่ชัดด้วยฉุกใจในคำพูดของสือหย่งหลุนขึ้นก่อน

“หรือพี่คิดเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ เพื่อแก้ไขความผิดพลาดเรื่องดังกล่าว”

“ข้าอาจตัดสินใจเช่นนั้น...ถ้ามิได้ทราบถึงการคงอยู่ของสมาคมรัตติพิกลแต่แรก” มันเปิดเผยด้วยท่าทางจริงจัง “ที่ผ่านมาสมาคมนี้วางแผนรัดกุมทุกย่างเก้า พวกเราแลคล้ายตัวหมากซึ่งถูกต้อนไปตามกลยุทธ์อีกฝ่ายเท่านั้น เพื่อมิให้ตกเป็นเบี้ยล่างอยู่ร่ำไป ก็ควรคิดนอกกรอบดูบ้าง”

“เข้าใจแล้ว หากข้าเป็นคนของสมาคมนี้ คงคาดเดาได้ว่าพวกเราสองคนต้องเข้าร่วมสงครามเป็นแน่ พี่จึงกระทำตรงกันข้าม มิยอมเป็นหมากบนกระดานมันอีก ดังนั้นไม่เข้าร่วมชุมนุมชาวยุทธ์ แต่เดินทางกลับเมืองหลวงเสียแทน”

ฟ่านไป่หนิงทั้งหดหู่แลกระตือรือล้นไปพร้อมกัน ที่หดหู่เพราะเพิ่งทราบว่าเด็กหนุ่มยังคงตั้งใจต่อกรกับพรรคอสุราอาฆาตตามที่นางหวั่นกลัว ทว่าอีกด้านก็ฉุกใจขึ้นมา

หากพวกนางสามารถมีชีวิตยืนยาว แต่ต้องอยู่ภายใต้บงการของคนอย่างโจซานตง ชีวิตจะสงบสุขได้หรือ เช่นนั้น...สู้ต่อต้านมันให้ถึงที่สุดเสียดีกว่า

เมื่อตัดใจสำเร็จก็รู้สึกกระรือล้นขึ้นมา อดเปล่งเสียงฮึกเหิมมิได้

“ไม่ว่าพรรคอสุราอาฆาตแข็งแกร่งแค่ไหน ประมุขรัตติพิกลวางแผนอย่างไรต่อพวกเราและยุทธภพ ก็ขอพิสูจน์ดูสักครั้งเถิด!”

สือหย่งหลุนยิ้มให้กับสีหน้ามุ่งมั่นของนาง เอ่ยว่า “อีกอย่าง ข้าตั้งใจกลับเป่ยจิงเพื่อกระทำตามคำขอร้องของจอมยุทธ์เอ้อให้ลุล่วง”

ดรุณีน้อยเผลอยกมือลูบมีดสั้นที่เก็บไว้ในหน้าอกเสื้อ อารมณ์เศร้าสลดเอ่อท้น

ไม่นึกเลยว่าคำไว้วานของจอมยุทธเซียนสุขสันต์ จะกลับกลายเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายไปในที่สุด

“เช่นนั้นพวกเราก็รีบไปหาศิษย์พี่รองเถิด แล้วรอพลบค่ำค่อยลอบเข้าหมู่ตึกตระกูลสือ ค้นหาความจริงของข่าวจินหลิงกับคุณชายสามโต่วต่อไป”

ฟ่านไป่หนิงนึกเป็นห่วงเหตุการณ์ด้านสือจินหลิงอยู่บ้าง ทั้งทราบดีว่าสือหย่งหลุนยังไม่สะดวกใจที่จะพบปะญาติมิตรในตระกูลโดยตรง จึงเสนอวิธีนี้ขึ้นมา ด้านสือหย่งหลุนก็พยักหน้ารับคำนางทันที

เมืองหลวงผู้คนพลุกพล่าน อีกทั้งบ้านของกิเลนเงินแห่งวังหลวงหวงไป่หวินตั้งห่างจากหมู่ตึกตระกูลสือค่อนข้างไกล มิต้องวิตกว่าจะเผชิญกับคนในสกุลเข้า ทั้งคู่จึงเดินทางอย่างปลอดโปล่ง ไม่นานก็บรรลุถึงที่หมาย

ทว่าคนที่ออกมาต้อนรับ กลับกลายเป็นชางฮุ่ยเยว่ภรรยาของหวงไป่หวินเพียงผู้เดียว นางอธิบายให้อาคันตุกะฟังว่า

“ช่วงนี้วังหลวงเกิดเหตุวุ่นวาย ท่านพี่จึงแทบไม่ได้อยู่บ้านเลย ต้องขออภัยด้วย”

ฟ่านไป่หนิงเลิกคิ้วด้วยความอยากรู้ “เหตุวุ่นวายในวังหลวง ไม่ทราบสะดวกบ่งบอกหรือไม่”

“มิใช่เรื่องต้องปิดบังอันใด ที่จริงแล้วข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วเป่ยจิงด้วยซ้ำ เดือนที่แล้วอาการประชวรของพระบิดาทรงกำเริบ หมอหลวงที่เคยดูแลพระอาการรักษาอยู่ครึ่งค่อนเดือนก็ไม่ทรงทุเลา ฮ่องเต้จึงทรงสั่งปลดแล้วเลื่อนท่านพี่ไปรั้งตำแหน่งแทน นับว่าวุ่นวายมิใช่น้อย”

สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน พระบิดาที่ว่าย่อมหมายถึงอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อน หรือก็คือฮ่องเต้หมิงอิงจงที่ท่านอู๋ซื่อจุนเคยถวายการรับใช้จนกระทั่งถูกเนรเทศต้องเปลี่ยนชื่อแซ่ และมีคดีหลักฐานตระกูลทังตามมานั่นเอง

“แล้วถ้าศิษย์พี่รองรักษาอาการประชวรมิได้ จะไม่ย่ำแย่หรอกหรือ” ฟ่านไป่หนิงถามด้วยอาการเป็นห่วง

“ตอนที่เสนาคังเสนอชื่อท่านพี่ขึ้นไปข้าก็วิตกอยู่ ทว่าฟ้ายังเข้าข้าง ราวสัปดาห์ก่อนพระบิดาทรงดีขึ้นตามลำดับ ทว่าฮ่องเต้ยังกังวลพระทัย รับสั่งให้ท่านพี่คอยดูแลจนกว่าจะมั่นใจมากกว่านี้เสียก่อน”

เสนาคังที่ว่า ก็คือเสนาบดีกรมวังคังจาเฉินผู้เป็นสหายของหวงไป่หวิน ดังนั้นเมื่อมีโอกาสย่อมต้องช่วยเหลือกิเลนเงินให้ก้าวหน้า ไม่ถือเป็นเรื่องผิดแปลก เพียงแต่เหตุการณ์ประจวบเหมาะเข้าพอดี ฟ่านไป่หนิงเห็นว่าความสัมพันธ์ของเอ้อไห่เซิ่นกับศิษย์พี่รองเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรรอหวงไป่หวินสะดวกค่อยมอบมีดสั้นเขากิเลนให้โดยตรง จึงเสกล่าวว่า

“มิได้พบหน้าศิษย์พี่รองนับว่าน่าเสียดาย เผอิญพวกข้าได้ยินข่าวบุตรชายคนใหม่ของพี่สะใภ้ จึงรีบรุดมาแสดงความยินดี”

ชางฮุ่ยเยว่บังเกิดรอยยิ้มเอียงอาย เอ่ยปากว่า

“ข้าก็เสียมารยาทจริง เชิญน้องทั้งสองไปเยี่ยมหลานทางห้องด้านในเถิด”

ทารกในอ้อมกอดแม่นมนัยน์ตาดำขลับสดใส เผยอริมฝีปากน้อย ๆ เผยขอบเหงือกสีชมพูสดต้อนรับอาคันตุกะ น่ารักน่าเอ็นดูเหลือประมาณ ชางฮุ่ยเยว่รับบุตรชายมาจากแม่นมก่อนอนุญาตนางไปพัก ฟ่านไป่หนิงก็เดินมาจิ้มนิ้วเขี่ยแก้มอูมแดงอย่างนึกหมั่นเขี้ยว เอ่ยว่า

“เจ้าซาลาเปาซิ่วท้อนี่ จะให้อาหญิงเรียกเจ้าว่าอันใดดี”

ชางฮุ่ยเยว่หัวเราะ “เขาเรียกหาว่าหวงฟา (ฟา หมายถึงเจริญก้าวหน้า)”

สือหย่งหลุนอดยิ้มให้ทารกน้อยมิได้ “ที่แท้ก็อาฟา นามอันเป็นมงคล”

ท่ามกลางบรรยากาศสุขสันต์ ฟ่านไป่หนิงจึงเผลอปากหยอกเอินภรรยาศิษย์พี่รองว่า

“เช่นนี้พี่สะใภ้ควรรีบหาชื่อไว้เยอะ ๆ เตรียมสำหรับเจ้าซาลาเปาซิ่วท้อคนที่สองที่สาม”

แทนที่จะหัวเราะกับคำเย้าแหย่ สีหน้าชางฮุ่ยเยว่กลับแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวเสียงหดหู่ “สิ่งนั้นกลับยากเย็นยิ่ง”

ดรุณีน้อยฉุกใจว่าคงพลั้งปากเรื่องไม่สมควร รีบกล่าวว่า

“โอ ข้ากลับล้อเล่นมิทันไตร่ตรองให้ดี ขอพี่สะใภ้อย่าถือโกรธ”

ชางฮุ่ยเยว่ฝืนยิ้มฝาดเฝื่อน “มิอาจโทษว่าเจ้า ที่ร่างกายข้าไม่สามารถกำเนิดบุตรแก่ท่านพี่ได้ นับเป็นเคราะห์กรรมของข้าเท่านั้น”

สองหนุ่มสาวแตกตื่นสุดระงับ ฟ่านไป่หนิงถึงกับครางออกมาว่า

“มะ...หมายความว่าอย่างไรกัน”

ชางฮุ่ยเยว่อุ้มลูกชายนอนบนเปล ทอดสายตาเศร้าศร้อยเหม่อมองอยู่นานค่อยเอ่ยว่า

“หลายปีก่อนข้าเดินทางจากบ้านนอกเพื่อมาตบแต่งสามียังเมืองหลวง มิคาดระหว่างทางป่วยจนไข้ขึ้นสูงแทบเอาตัวไม่รอด แม้รักษาหายแต่หมอกลับบอกว่าข้าไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ครอบครัวคู่หมั้นจึงยกเลิกการแต่งงาน ทว่าข้ากำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก ลุงป้าที่ส่งตัวมาแต่งงานเห็นว่าข้านั้นหมดประโยชน์แล้วยิ่งไม่ยอมรับกลับถิ่น ตัวข้าหมดหนทางไปจนแทบคิดฆ่าตัวตาย โชคดีได้พบท่านพี่เข้าเสียก่อน”

กล่าวถึงตอนนี้ ริมฝีปากบางก็ระบายรอยแย้มออกมา กิริยานั้นก่อลักยิ้มที่สองแก้ม แลน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

“ท่านพี่แม้ทราบอาการข้าดีหากมิได้รังเกียจ ทั้งยังตกแต่งกับข้าด้วยความเต็มใจ และออกปากว่าข้ามีชีวิตใหม่แล้วจงลืมเรื่องรันทดแต่หนหลังให้หมดสิ้น ท่านพี่ยกย่องข้าออกหน้าออกตา ไม่เคยแพร่งพรายอาการข้าให้ผู้อื่นรู้เพราะกลัวข้าไม่สบายใจ ท่านพี่...ท่านพี่ดีต่อข้านัก”

ฟ่านไป่หนิงแตะยังบ่าสั่นสะท้านแทนการปลอบโยน เอ่ยว่า

“คำพูดพล่อย ๆ ทำให้พี่สะใภ้ลำบากใจ ข้าต้องขออภัยด้วย”

“อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย อันที่จริงยิ่งท่านพี่ดีต่อข้าเพียงใด ข้าก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อท่านมากขึ้นเท่านั้น พอได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นออกมาค่อยสบายใจขึ้น”

สือหย่งหลุนก้มหน้ามองในเปล “เช่นนั้น...เด็กคนนี้...”

“เป็นบุตรบุญธรรม” ชางฮุ่ยเยว่ตอบ “เขาถูกทิ้งไว้ที่วัดนอกเมืองตั้งแต่เกิด ประจวบกับข้าเองเคยบ่นว่าอยากมีครอบครัวอันสมบูรณ์ ท่านพี่จึงนำเรื่องนี้มาปรึกษา ซึ่งข้าเองก็รับไว้ด้วยความเต็มใจ ทว่าท่านพี่ไม่ต้องการอธิบายให้คนภายนอกฟังมากความ จึงมิได้บ่งบอกเรื่องรับบุตรบุญธรรม ส่วนข้าเองวัน ๆ แทบไม่ค่อยออกไปไหน พอมีทารกอยู่ในบ้านคนจึงร่ำลือว่าท่านพี่มีบุตรชาย”

เด็กหนุ่มผงกศีรษะเข้าใจ “อาฟาได้พ่อแม่เช่นพวกท่าน ถือว่าโชคดียิ่งแล้ว”
“ท่านพี่เองก็พูดว่าตัวเองเป็นกำพร้า เพราะผู้มีคุณเมตตาถึงได้มีวันนี้ เมื่อรับอาฟามาก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน ดังนั้นอาฟามิใช่บุตรบุญธรรม แต่เป็นเลือดเนื้อของข้ากับท่านพี่ เพียงอาศัยครรภ์ผู้อื่นถือกำเนิดเท่านั้น”

ฟ่านไป่หนิงลอบถอนใจ อดนึกมิได้ว่าศิษย์พี่รองเองก็ไม่เคยลืมพระคุณของเอ้อไห่เซิ่น แล้วจู่ ๆ ชางฮุ่ยเยว่พลันหลั่งน้ำตาโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนรู้สึกตัวรีบเช็ดหน้าพลางกล่าวอย่างสับสน

“อา...อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ต่อหน้าผู้คน น่าอายนัก”

ดรุณีน้อยยิ้มแล้วบอกว่า “การเลี้ยงดูทารกเป็นงานหนัก เพราะความห่วงใยต่อบุตรมากเกินไปมารดาจึงมักมีอารมณ์แปรปรวน มิใช่เรื่องผิดแปลก”

ฟ่านไป่หนิงคาดเดาได้ว่าเรื่องนี้คงเป็นแผลในใจสตรีตรงหน้ามาเนิ่นนาน ถึงแม้หวงไป่หวินจะแสดงท่าทีชัดแจ้งว่ามิเคยใส่ใจความบกพร่องของภรรยา แต่ในทางกลับกันเพราะสามีกระทำตัวเยี่ยงนี้ นางยิ่งไม่อาจอธิบายความอัดอั้นตันใจได้ มาตรว่ายินดีที่ได้บุตรชายแต่การต้องปรับตัวมาเลี้ยงทารกก็เป็นภาระหนัก ประกอบกับสามีติดกิจธุระมิได้อยู่ใกล้ชิด พอถูกความเครียดและสับสนเหล่านี้กดดันมากเข้า เมื่อพบหน้าฟ่านไป่หนิงจึงเผลอระบายออกมาจนหมด

++++++++++

ลงรูปซาละเปาซิ่วท้อค่า ^_^

 
 

จากคุณ : จันทร์พันฝัน
เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 18:24:57




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com