Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ยมทูต บทที่ 8 ความรักของบุพการี ติดต่อทีมงาน

ยมทูตบทที่ 7 ศิลาทำนาย
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=30-09-2011&group=13&gblog=7

บทที่ 8

ความรักของบุพการี

ตายมาแล้วหกวัน

ผมทวนประโยคนี้อยู่หลายรอบขณะพยายามทบทวนถึงวันเวลาที่ผ่านมา จำได้ว่าโดนยิงตอนหัวค่ำ ไปอยู่กับปู่เจ้าที่ครึ่งคืนแล้วพาตาลุงเคราะห์ร้ายกลับไปหาลูกเมีย จากนั้นแม่สาวยมทูตคนสวยก็พาผมไปเจอยมทูตอกแตงโม หลังจากโดนเจ้าหล่อนซัดจนน่วมแล้วถึงได้ลงมาที่นรกนี่พร้อมกับวิญญาณอุบัติเหตุสองสามดวง เหตการณ์ทั้งหมดนี่มันไม่น่าจะเกินสองวันเลยด้วยซ้ำแล้วทำไมทั้งท่านสัตตภูมิและยมทูตอัคนีถึงได้บอกว่าผมตายมาได้หกวันแล้ว

“เวลาที่เหลือสูญเสียไประหว่างการเดินทางมายังยมโลก” ยมทูตสาวพูดขึ้น ผมหันไปมองหน้าเธอด้วยความงง ไหนบอกว่าเวลาในนรกช้ากว่าบนโลกไง ไหงวันตายของผมถึงผ่านไปเร็วนัก

“ถ้าหมายถึงช่วงเวลารับโทษทัณฑ์ของเหล่าวิญญาณบาป มันช้ากว่าเวลาบนโลกมาก” ยมทูตอัคนีอธิบาย “แต่การเดินทางจากดินแดนมนุษย์มายังนรกโลกันต์แห่งนี้ต้องข้ามเส้นแบ่งเขตแดนแห่งกระแสวิญญาณ เราต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมากเพื่อเปลี่ยนห้วงมิติ...”

“เอ้อ ขอแบบสั้นๆได้ไหม ฉันไม่ค่อยถนัดในเรื่องการคำนวณ” ผมยกมือและพูดแทรกขึ้น ยมทูตสาวขมวดคิ้วจนแทบจะผูกเป็นปม คงรำคาญหรือไม่ก็ระอาในความเจ้าปัญหาของผมเต็มแก่

“พูดง่ายๆก็คือ ระหว่างข้ามประตูมิติ เวลาที่ผ่านรอบตัวของเราจะเร็วขึ้น ตอนเข้ามาเราใช้เวลาไปหนึ่งวันครึ่งบวกกับขาออกก็รวมเป็นสามวัน สรุปก็คือถ้าเรากลับขึ้นไปบนโลกมนุษย์อีกครั้ง นายก็จะตายได้หกวันพอดี”

อ้อเป็นแบบนี้นี่เอง ไอ้เรารึก็หลงวางสมการคิดสูตรเรขาคณิตบวกกับตรีโกณมิติอีกชุด ที่แท้ก็แค่กระแสห้วงเวลาที่เร็วกว่าเดิมเท่านั้น เสียเวลาคำนวณไปเปล่าๆ

“คนอย่างนายรู้จักคิดอะไรซับซ้อนด้วยเหรอ” แม่สาวยมทูตพูดสวนขึ้นมาทันควัน ดวงตาคมตวัดมองผมอย่างดูแคลนก่อนจะเลื่อนกลับไปยังยมบาลสัตตภูมิ อีกฝ่ายถอนใจ

“คงต้องทนรำคาญไปอีกสักพัก” หัวหน้าเหล่ายมทูตพูดด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายก่อนจะปรับสีหน้าให้เคร่งขรึมและเลื่อนมือไปหยิบแฟ้มสีดำมาเปิด “มีอีกเรื่องที่ข้าอยากจะเตือนเจ้าอัคนี”

สีหน้าของยมบาลสัตตภูมิดูจริงจังมากกว่าเดิมจนผมต้องยืนตัวแข็งในขณะที่แม่ยมทูตสาวทำหน้าสงสัยแต่ฝ่ายหัวหน้ากลับรีบอธิบายโดยไม่รอคำถาม

“จากการประชุมนรกนานาชาติ ยมบาลทางตะวันตกได้แจ้งมาว่าพวกเขาตรวจพบพลังงานมหาศาลกำลังเคลื่อนขึ้นมาจากใต้พิภพแต่ยังพิสูจน์ให้แน่ชัดไม่ได้ว่ามันคืออะไร”

ยมบาลสัตตภูมิมองหน้าอัคนี

“พวกยมโลกฝั่งตะวันตกคงเริ่มสังหรณ์ใจแล้วว่าสิ่งชั่วร้ายจากดึกดำบรรพ์กำลังเคลื่อนไหว มันปล่อยไอพิษขึ้นมาสู่ผิวโลกเปลี่ยนจิตใจของมนุษย์ให้เลวร้ายลงทุกขณะ แต่เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเขตแดนระหว่างนรกทำให้พวกเขาไม่สามารถลงมืออะไรได้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราเหล่ายมทูตในแผ่นดินนี้กับวิญญาณดิบในคำทำนายที่ต้องปกป้องคุ้มครองสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนพื้นพิภพ”

“แต่เราเพิ่งพบวิญญาณตามคำทำนายเพียงแค่หนึ่ง และยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนจึงจะเจออีกสามคนที่เหลือ”

“คงอีกไม่นาน” ยมบาลสัตตภูมิตอบและชะงักคำพูดค้างเมื่อได้ยินเสียงจากเครื่องติดต่อภายใน เขายกสายขึ้นรับและผงกศีรษะสองสามครั้งก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ให้เขาเข้ามา”

หัวหน้าเหล่ายมทูตวางเครื่องติดต่อลงและหันไปกล่าวกับยมทูตอัคนี

“อย่างที่ข้าบอก พวกเราคงพบวิญญาณที่เหลืออีกสองดวงในอีกไม่ช้า” ดวงตาดุเลื่อนมาทางผม ขาเจ้ากรรมมันเกิดอาการสั่นพั่บๆขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ทำไมพอพูดเรื่องนี้ทีไรลงท้ายเป็นต้องมาจบที่การจ้องหน้าผมทุกครั้ง แต่เอ๊ะ เมื่อกี้ท่านสัตตภูมิบอกว่าวิญญาณที่เหลืออีกสองดวง ผมนับนิ้วในใจ ก็ไหนตอนแรกบอกว่าต้องใช้สี่ดวงไม่ใช่เหรอ แล้วนี่เพิ่งเจอผมงั้นก็ต้องเหลืออีกสามดวงสิ

“พสุธาพบวิญญาณดิบที่ตรงกับคำทำนายอยู่ในกลุ่มดวงวิญญาณเครื่องบินตกและกำลังนำมาพบข้า”

ว้าว รวดเร็วทันใจดีแท้ ชักอยากรู้แล้วสิว่าวิญญาณดิบที่ว่าหน้าตาเป็นยังไง จะเป็นสาวสวยน่าหม่ำหรือเด็กหนุ่มวัยน่ารักอย่างผม แต่เอ ถ้าเกิดเป็นคนแก่หงำเหงือกอย่างปู่เจ้าที่ล่ะ

“เจ้านี่ช่างเป็นวิญญาณที่สามารถคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจริง” เสียงยมทูตคนสวยของผมดังขัดขึ้น และตวาดเสียงดัง “ใครเป็นยมทูตคนสวยของนาย!”

ผมคอย่น โธ่ เล่นอ่านความคิดกันตลอดเวลาแบบนี้มีหวังได้ถูกป่นวิญญาณแหลกเข้าสักวัน ยมทูตอัคนีทำตาวาว

“คงใช่ถ้านายยังไม่เลิกนิสัยลามก”

“พอได้แล้วอัคนี” ยมบาลสัตตภูมิพร้อมกับยกมือห้าม “พาวิญญาณดิบดวงนี้กลับไปบนโลกก่อนที่จะสายเกินไป อ้อเจ้าโป้ง”

ประโยคสุดท้ายท่านหันมามองผม

“เมื่อกลับไปแล้วจงดูผู้คนรอบตัวของเจ้าให้ดี และคิดว่าชีวิตนี้ใครคือคนที่รักและเป็นห่วงเจ้าอย่างแท้จริง”

แม้จะออกแนวงงอยู่บ้างแต่ผมก็เผลอรับปากท่านโดยไม่รู้ตัว

“ครับ”

“พาเขาไปได้แล้ว”

ยมบาลสัตตภูมิตัดบทและเลื่อนสายตากลับไปที่แฟ้มรายงานอีกครั้ง ยมทูตอัคนียกมือขึ้นไหว้ท่านอย่างนอบน้อมก่อนจะลากผมออกจากห้องมุ่งตรงไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับทางที่พวกเราเข้ามาในตอนแรก

“จะพาไปไหนอีก”

ผมถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ ยมทูตคนสวยตอบทั้งที่ไม่หันมามองหน้า

“ประตูพิภพ”

พูดแบบเข้าใจคนเดียวอีกแล้ว แต่ผมเดาเอาว่าประตูที่ว่านี่คงเป็นทางกลับขึ้นไปยังโลกมนุษย์ แหม นึกว่าพวกยมทูตใช้เส้นทางเข้าออกแค่ทางเดียวเสียอีก

“ถ้าอยากเจอกับนรกของพวกวิญญาณประท้วงอีกฉันก็จะพาย้อนกลับไปให้” ยมทูตอัคนีพูดเสียงห้วนและยิ้มมุมปากเมื่อเห็นผมส่ายหน้า “งั้นก็รีบเดินตามมาอย่ามัวแต่พูดมาก อ้อ ตอนข้ามสะพานน่ะให้ระวังตัวด้วย”

เธอเตือนขณะพาผมก้าวขึ้นไปบนสะพานแขวนที่พาดข้ามเหวนรกซึ่งลึกจนมองไม่เห็นพื้นข้างล่าง ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากถามว่าให้ระวังอะไรผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีลูกไฟขนาดใหญ่วิ่งผ่านไปตามเหวที่ว่านี่อย่างรวดเร็ว ถึงไม่ใกล้เท่าไหร่นักแต่ไอร้อนของมันก็แทบจะเผาวิญญาณของผมให้กลายเป็นหมูกรอบไปเลย

“อะไรน่ะ”

ผมถามด้วยความปากไวตามนิสัย ยมทูตสาวเหลือบตามองและตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

“พวกขับรถกวนเมือง”

“หา” ผมร้องด้วยความแปลกใจ ใครจะไปนึกล่ะครับว่าในนรกก็มีแก็งค์ซิ่งกับเขาด้วย สงสัยจะเป็นพวกยมทูตวัยรุ่นนมยังไม่แตกพานที่ทำตัวซ่าเหมือนเด็กบางคน แล้วแบบนี้จะมีตำรวจยมโลกไล่กวดตามหรือเปล่า

“ใครบอกว่าเจ้าพวกนั้นเป็นยมทูต” อัคนีคนสวยหันมามองหน้าผมและทำตาวาว “เรียกฉันว่าอัคนีเฉยๆก็พอไม่ต้องมีคำต่อท้ายอะไรทั้งนั้น”

“ครับ” ผมลากเสียงยาวก่อนจะหันไปมองลูกไฟอีกกลุ่มที่กำลังวิ่งใกล้เข้ามาและหยุดชะงักนิ่งอยู่กับที่ทันทีเมื่อยมทูตอัคนียกมือขึ้น

“เอ้า ดูซะให้เต็มตาว่าเจ้าพวกนี้เป็นใคร”

น้ำเสียงเย็นเยียบน่าขนลุกจนผมต้องกลืนน้ำลายสามครั้งติดกันก่อนจะฝืนใจก้มหน้าลงไปมอง ภาพที่เห็นทำให้ผมรู้สึกสยองจนขนหัวลุกเพราะบนลูกไฟนรกร้อนแรงนั้นมีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งคร่อมอยู่ด้วยลักษณะที่เหมือนกำลังขี่รถจักรยานยนต์ มันคงเป็นจักรยานยนต์นรกโลกันต์เพราะเปลวเพลิงจากกลุ่มไฟกำลังแผดเผาร่างของเขาทีละน้อย น้ำเลือดน้ำหนองไหลซึมออกจากร่างหยดลงกองไฟเสียงดังฉ่าฟังแล้วชวนชนลุก เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานดังโหยหวนน่ากลัวเสียจนผมต้องยกมือขึ้นอุดหูและหลับตาแน่น ยมทูตสาวมองกิริยาของผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงปล่อยให้กลุ่มไฟนั้นวิ่งต่อไป

“กลัวหรือ” เธอถามเสียงเรียบ ผมหรี่ตาขึ้นข้างหนึ่งเพื่อมองลูกไฟโลกันต์ให้แน่ใจว่าวิ่งห่างไปไกลแล้วจึงลดมือทั้งสองข้างลง

“เจอคนย่างเต็มตาแบบนี้ใครบ้างจะไม่กลัว”

ผมตอบเสียงสั่น ยมทูตอัคนีเลิกคิ้ว

“แปลก ทั้งที่ตอนมีชีวิตมนุษย์อย่างพวกนายมักชอบคุยโวว่าชอบประลองความเร็วอย่างไม่กลัวตาย”

“ก็แค่ขับรถซิ่ง ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดมากจนถึงขนาดต้องตกนรก”

“มนุษย์ชอบคิดหาเหตุผลให้ตัวเองจนลืมนึกถึงความเดือดร้อนของคนอื่น” แม่ยมทูตสาวพูดพลางหมุนตัวและเดินต่อ ผมรีบก้าวเท้าตามพร้อมกับเถียง

“พวกเขายังเด็ก ทำไปเพราะความสนุก”

“แค่ข้ออ้างของคนทำผิด” อัคนีโต้เสียงเรียบ “คนที่รู้จักหาข้ออ้างเพื่อเหลีกเลี่ยงความผิดของตัวเองเพราะรู้ว่าสิ่งที่ตนกระทำอยู่นั้นไม่ถูกต้องจัดว่าพ้นวัยแห่งความไร้เดียงสาไปแล้ว ไอ้คำว่าทำไปเพราะคึกคะนองหรือยังเป็นเด็กน่ะก็แค่การแก้ตัว คำอ้างแบบนี้ใช้ได้แต่กับบนโลกมนุษย์เท่านั้น สำหรับนรกแล้ว มันคือบาป”

“ฉันไม่เข้าใจ” ผมพูดขณะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แม่สาวยมทูตนิ่วหน้า

“ฉันเคยไปรอรับดวงวิญญาณเด็กแข่งรถที่ถูกสิบล้อไล่ชน ก่อนตายเขากับเพื่อนอีกลุ่มใหญ่ขี่จักรยานยนต์แข่งกันบนถนน รถหลายคันต้องเกิดอุบัติเหตุเพราะโดนปาดหน้า รถพยาบาลต้องหยุดเพราะเด็กกลุ่มนี้วิ่งขวาง บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมถนนไม่ได้หลับได้นอนเพราะเสียงรบกวนดังสนั่นเกือบตลอดทั้งคืน ยังไม่นับบางพวกที่ฉวยโอกาสทำร้ายร่างกายคนอื่น ดื่มเมรัยหรือการประพฤติผิดในกาม”

เธอหันไปมองกลุ่มไฟอีกลูกที่กำลังวิ่งเข้ามา ผมรีบเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากเห็นคนถูกย่างอีกเป็นครั้งที่สอง

“พวกเขาต้องเจออะไรบ้าง”

“ถูกจับนั่งบนเพลิงกรดแล้ววิ่งรอบยมโลกห้าร้อยปี หากดวงวิญญาณมอดไหม้ในระหว่างนั้นเหล่านิรยบาลจะตักน้ำทิพย์ราดให้ฟื้น จากนั้นก็ให้วิ่งต่อไปจนกระทั่งครบตามวาระกรรม แต่ถ้ามีความชั่วอย่างอื่นอีกวิญญาณเหล่านี้ก็จะถูกส่งต่อไปยังนรกขุมต่อไปเช่นพวกที่ดื่มเมรัยก็จะถูกโยนลงไปต้มในกระทะทองแดง ที่สำส่อนก็ต้องไปปีนต้นงิ้ว ทำร้ายคนก็จะถูกส่งไปบีบขมับให้ตาปลิ้น ทุบข้อนิ้ว ลอกหนัง แล้วแต่บาปที่กระทำ”

ยมทูตคนสวยอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนสิ่งที่พูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเริ่มหดเล็กลงทุกครั้งที่ได้ยินบทลงโทษอันน่าสยดสยองของนรก แม่สาวอกสวยหันมาเลิกคิ้ว

“ไม่อยากเจอแบบนี้ก็อย่าทำชั่ว”

เธอหยุดยืนหน้าช่องแสงสีนวลซึ่งมีขนาดเท่าบานประตู มือข้างหนึ่งยื่นมาคว้าคอของผมและลากให้ตามเข้าไปในแสงนั่นทันที เสียงหวีดหวิวของกระแสลมดังบาดลึกเข้าไปในโสตประสาท แถมแสงสีขาวนั่นก็สว่างจ้าเสียจนผมลืมตาไม่ขึ้น บรรยากาศรอบตัวเริ่มมีแรงกดจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเครื่องอัดกระป๋องขนาดยักษ์ ผมร้องอุทานออกมาด้วยความกลัว แต่แล้วจู่ๆทุกอย่างก็สงบลงอย่างฉับพลัน แรงดันมหาศาลลดลง แสงเจิดจ้ารอบตัวหายวับไป ผมลืมตาขึ้นและกวาดตามองรอบตัวด้วยความงุนงง ภาพของผู้คนและสิ่งแวดล้อมที่ดูคุ้นตาทำให้ผมต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

“นี่มัน” ผมขยับไปข้างหน้า “บ้านของฉัน เธอพาฉันกลับมาบ้านเหรออัคนี”

ประโยคสุดท้ายผมหันไปมองแม่สาวยมทูต เจ้าหล่อนมองกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง

“ใช่”

“เข้าไปได้ไหม” ผมถามเพราะนึกขึ้นมาได้ว่าบ้านแต่ละหลังจะมีผีบ้านผีเรือนหรือเจ้าที่เจ้าทางคุ้มครองอยู่ ยมทูตสาวพยักหน้า

“ได้” เธอหันไปทางประตูบ้านพร้อมกับโบกมือหนึ่งครั้ง ร่างแก่หง่อมของชายคนหนึ่งก้มตัวลงเล็กน้อยก่อนจะลอยหายเข้าไปในศาล ผมยืนมองด้วยความตระหนก อยู่มาตั้งแต่เล็กจนโตเพิ่งเคยเห็นเจ้าที่ชัดเต็มตาเอาวันนี้เอง

“จะเข้าไปไหม”

เสียงยมทูตอัคนีถาม ผมยืนลังเลนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบสั้นๆ

“อือ”

แม่สาวยมทูตหน้าหน้ากลับมามองด้วยสายตาคาดไม่ถึง คงแปลกใจที่ผมไม่พูดพล่ามหรือคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเหมือนที่ผ่านมา จะให้มีอารมณ์สนุกแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อการกลับบ้านในครั้งนี้ของผม เป็นการมาครั้งสุดท้าย ในรูปของวิญญาณ

ผมลอยเลื่อนผ่านประตูรั้วตรงเข้าไปในบ้าน ระหว่างนั้นก็อดกวาดตามองสิ่งของรอบตัวไม่ได้ ตรงมุมรั้วด้านหน้ามะลิ ต้นไม้โปรดของแม่กำลังออกดอกสะพรั่ง กลิ่นของมันคงหอมกรุ่นไปทั่วบ้านเหมือนอย่างที่เคย ผมสูดลมหายใจอย่างเศร้าสร้อยเพราะวิญญาณไม่อาจรับรู้รสหรือกลิ่นได้เหมือนตอนมีชีวิตก่อนจะหันไปมองชิงช้าที่ผมชอบหอบหนังสือออกมานั่งอ่านเล่น วันไหนที่พ่อกลับบ้านเร็วก็จะมานั่งคุยด้วยเสมอ และถ้าผมออกไปเที่ยว ท่านก็จะออกมานั่งรอตรงนี้ทุกครั้งแม้มันจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม

“ไม่เข้าไปในบ้านเหรอ”

ยมทูตอัคนีถาม ผมจึงละสายตาจากชิงช้าและหันไปมองประตูไม้ซึ่งปิดสนิท ทั่วทั้งบ้านเงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงกระแอมไอ ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พ่อแม่ไปไหนกัน

“อยู่ที่วัด” ยมทูตสาวพูดขึ้น ผมหันไปมองและถาม

“ไปทำไม”

“เผาร่างเนื้อของนาย”

หัวใจของผมกระตุกวูบ จริงสิ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วนี่นะ ผมเคยไปงานศพเพื่อนและได้เห็นพ่อแม่ของเขาร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ป่านนี้พ่อกับแม่จะเป็นยังไงบ้าง

“อยากรู้นักฉันก็จะพาไป” ยมทูตอัคนีคว้าแขนของผมและพาออกจากที่นั่นในทันที ชั่วพริบตาพวกเราก็มาถึงหน้าวัด เสียงปี่พาทย์มอญที่กำลังบรรเลงเพลงนางหงส์ดังมาจากด้านในทำให้ใจของผมสั่น เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มสำนึกและหวาดกลัวต่อความตาย

“ทำไมไม่รีบเข้าไป” แม่สาวยมทูตถามเสียงเรียบ ผมขบกรามแน่นก่อนตัดสินใจพาวิญญาณลอยเลื่อนเข้าไปในศาลาวัด สายตาจ้องตรงไปยังรูปถ่ายเด็กหนุ่มซึ่งกำลังชูสองนิ้วอย่างร่าเริงขนาดใหญ่ซึ่งวางตั้งไว้หน้าโลงสีขาว มันเป็นรูปของผมตอนไปเที่ยวน้ำตกกับพ่อแม่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เอง

“คุณน้านั่งพักก่อนเถอะค่ะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างตัว ผมหันไปมองและต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นนุช เพื่อนนักเรียนหญิงที่ผมไม่เคยชอบหน้ากำลังประคองแม่ให้นั่งบนเก้าอี้อย่างระวัง

“แต่แม่ต้องไปจัดเตรียมดอกไม้จันทน์กับของชำร่วย”  

“เดี๋ยวพวกหนูจัดการให้เองค่ะ” นุชรีบพูดและลุกขึ้นไปหยิบพานดอกไม้จันทน์เพื่อแจกให้แขกที่มาร่วมงานอย่างคล่องแคล่ว ผมมองด้วยความซาบซึ้งและเสียใจที่ชอบหาเรื่องแกล้งเธออยู่เสมอ แล้วพวกเพื่อนรักที่ชอบไปเที่ยวไปกินด้วยกันล่ะอยู่ที่ไหน ผมคิดขณะกวาดตามองหา เสียงแก้วเพื่อนของนุชถามขึ้น

“พวกเรามากันแค่นี้เองเหรอ” เธอพูดพลางหันมองรอบตัวนุชยื่นพานให้แขกคนหนึ่งก่อนจะตอบเสียงไม่ดังนัก

“พวกเต้ไปเที่ยวน้ำตก”

“อะไรกัน เพื่อนตายไปทั้งคนมันยังมีแก่ใจไปเที่ยวกันอีก” แก้วพูดเสียงค่อนข้างดังและลดลงเมื่อผู้ใหญ่คนหนึ่งหันมามอง “ไหนบอกว่าไอ้โป้งเป็นเพื่อนซี้ไง”

ใช่ ไอ้เต้เคยพูดแบบนั้นตอนนั่งซดเหล้าด้วยกัน ผมยังจำวันที่พวกเราทำท่าคำนับฟ้าดินเพื่อสาบานความเป็นเพื่อนตามแบบหนังจีนกำลังภายในได้ดี ตอนนั้นมีเต้ เอก วิทย์แล้วก็ชัย พวกเราห้าคนมักกอดคอไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอจนเพื่อนในห้องตั้งฉายาว่ากลุ่มห้าร้อยทลายโลก  ผมว่าเพราะความห่ามเกินพิกัดของพวกเราคงไม่เข้าท่าเท่าไหร่นักในสายตาของทุกคนโดยเฉพาะกลุ่มเด็กเรียนอย่างนุชกับแก้ว

“จะว่าไปแล้วในกลุ่มห้าร้อยมีโป้งคนเดียวที่น่าคบ” นุชพูดขณะเดินถือพานเปล่ากลับไปวางที่โต๊ะ “เที่ยวหนักขนาดไหนการเรียนก็ไม่เคยตก”

“เต้ยอมให้โป้งเข้ากลุ่มก็เพราะเรื่องนี้” แก้วแกะถุงดอกไม้จันทน์ห่อใหม่เพื่อจัดใส่พาน “เอาไว้อาศัยลอกข้อสอบกับการบ้านส่งอาจารย์”

ผมยืนอ้าปากค้างเมื่อได้รู้ความจริง แต่จะว่าไปแล้วมันก็เป็นอย่างที่แก้วพูดทุกอย่างเพราะทุกเช้ากลุ่มเต้มักจะดึงสมุดการบ้านของผมและตั้งหน้าตั้งตาลอกกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สอบทุกครั้งก็อาศัยคำตอบจากผมอีกนั่นแหละ ไม่งั้นป่านนี้พวกมันคงติดซ่อมกันระนาว

นุชกับแก้วหยิบพานบรรจุดอกไม้จันทน์ไปแจกให้กับแขกอีกรอบโดยไม่รู้สักนิดว่าเจ้าของงานกำลังยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดอยู่ข้างหลัง ผมกำมือแน่นด้วยความเสียใจ ทั้งที่อุตส่าห์ให้ความจริงใจกับเพื่อนแต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นการคบเพื่อหวังผลประโยชน์ แล้วตกลงตอนยังมีชีวิต มีใครบ้างที่รักเราจริง ผมคิดพลางหันหน้าไปมองยมทูตอัคนีอย่างหดหู่แต่เธอกลับเลื่อนสายตาไปทางพ่อกับแม่ของผมและพูดเสียงเรียบ

“นั่นไง”

ผมยืนอึ้ง ภาพของแม่ที่กำลังนั่งจ้องโลงศพผมตลอดเวลาโดยมีพ่อคอยบีบมือเพื่อปลอบใจทั้งที่ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ทำให้ผมรู้สึกเศร้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำตาของผมไหลพรากออกมาทันที  

“ทุกวันพ่อกับแม่ของนายมาที่นี่ก่อนเที่ยงเพื่อทำความสะอาดโลงและเปลี่ยนดอกไม้ประดับหน้าศพ” ยมทูตสาวอธิบายพลางพยักเพยิดไปยังถาดอาหารบนโต๊ะที่ตั้งไว้เหนือโลงศพ ผมมองตาม หัวใจกระตุกวาบเมื่อเห็นข้าวเปล่าพูนจานแล้วยังมีไข่เจียวกุ้ง แกงส้มชะอมทอด น้ำพริกปลาทู แถมยังมีลองกองอีกพวงใหญ่ นี่มันของโปรดของผมทั้งนั้นเลย

“พวกท่านทำเองกับมือและนำมาเปลี่ยนให้นายทุกวัน วันละสองมื้อ” อัคนีพูดต่อ เธอหันกลับมาจ้องผม “ทีนี้รู้หรือยังว่าใครรักนายจริง”

ผมเม้มปากแน่นก่อนจะวิ่งไปซบตักแม่และร้องไห้โฮออกมา ตอนมีชีวิตผมไม่เคยสนใจพวกท่านมากนักแถมออกแนวรำคาญด้วยซ้ำเวลาที่ถูกบ่นจนบางครั้งถึงกับทำปึงปังก่อนออกจากบ้าน มันช่างเป็นการกระทำที่เหมือนกับการฆ่าท่านทั้งเป็น ผมคิดอย่างปวดใจขณะเกลือกหน้าไปบนตัก

แม่ครับ พ่อครับ ผมขอโทษ

เสียงกริ่งดังก้องไปทั่วทั้งวัด แม่บีบมือตัวเองแน่นก่อนจะลุกขึ้นและเดินตรงไปที่โลงของผมและแตะเบาๆ

“ต้องไปแล้วนะลูก”

เจ้าหน้าที่ช่วยกันยกโลงสีขาววางใส่รถและวนรอบเมรุสามครั้งก่อนจะนำขึ้นไปตั้งข้างบน หลังจากประกอบพิธีทอดผ้าบังสกุลและแขกเหรื่อขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์กันหมดแล้วเสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมมองพ่อกับแม่ยืนดูเจ้าหน้าที่เปิดฝาโลงเพื่อให้ญาติอำลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเหลือบตามองศพของตัวเอง ร่างที่เคยร่าเริงสดใสตอนมีชีวิตบัดนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ส่วนหัวมีผ้าพันเอาไว้จนหนา แม่ยื่นมือไปลูบหน้าผมอย่างแผ่วเบา น้ำตาที่พยายามสะกดไว้ไหลออกมาเป็นทาง

“แม่รักลูกนะโป้ง”

พูดออกมาได้แค่นั้นก็ต้องหยุด แม่ดึงมือกลับและสะอื้นจนตัวโยน พ่อขบกรามแน่นขณะมองศพของผม ท่านแตะมือผมพร้อมกับพูดเสียงไม่ดังนัก

“ไปดีนะลูก”

ท่านก้มหน้าเพื่อซ่อนน้ำตาก่อนจะหันไปกอดไหล่แม่ น้ำตาของพวกท่านเหมือนกรดที่ราดรดลงบนหัวใจของผม บาปมหันต์เหลือเกินที่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียน้ำตา ผมร้องไห้และทรุดตัวลงไปก้มกราบบนเท้าของท่านทั้งสอง

อโหสิให้ลูกคนนี้ด้วย ลาก่อนครับคุณพ่อคุณแม่

สายลมพัดผ่านเข้ามาภายในเมรุ มันหมุนวนรอบตัวพ่อกับแม่ก่อนจะมลายหายไป พวกท่านหันไปมองหน้ากันทันที

“ได้ยินไหม” แม่ถาม พ่อพยักหน้า  

“ลูกมาลา”

เสียงกริ่งสุดท้ายดังก้องกังวาน มันบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกของพ่อแม่และผม แม่ถึงกับร้องไห้โฮเมื่อเห็นเปลวไฟลุกโชติช่วงและเริ่มไหม้ลามเลียโลง เจ้าหน้าที่ฌาปนกิจสถานมองท่านอย่างเห็นใจก่อนจะปิดฝาเตา ผมมองพ่อกับแม่เดินลงจากเมรุด้วยดวงใจที่แตกสลาย ผมเดินไปส่งพวกท่านถึงที่รถก่อนจะย้อนกลับมาดูร่างของตัวเองอีกครั้ง ลำคอของผมแห้งผากเมื่อเห็นมันกำลังมอดไหม้ไปอย่างรวดเร็ว ยมทูตอัคนียืนมองด้วยท่าทางสำรวม

“จะไปกันหรือยัง”  

เธอถามเสียงไม่ดังนัก ผมจ้องซากร่างซึ่งบัดนี้กำลังกลายสภาพเป็นกองเถ้าถ่านตรงหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า ยมทูตสาวคว้าไหล่ของผมและพูดเสียงเรียบ

“นายหมดพันธะทางโลกแล้ว นับแต่นี้ต่อไปจงทำหน้าที่ของผู้พิทักษ์ตามคำทำนาย เพื่อปกป้องทุกชีวิตบนโลก” เธอเว้นระยะคำพูดเล็กน้อย

“โดยเฉพาะพ่อแม่ของนาย”

พูดจบร่างของผมก็ถูกกระชากให้ลอยไปตามลม หากเป็นตอนก่อนหน้านั้นผมคงบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสาของคนปากมาก แต่ในเวลานี้ความโศกเศร้าที่ต้องลาจากบุพการีไปตลอดกาลกำลังกัดกร่อนหัวใจให้ตกอยู่ในความหม่นหมอง มันทำให้ผมยอมตามยมทูตสาวไปทุกที่ไม่เว้นแม้แต่นรก

*/*/*/*/*/*

สวัสดีค่ะ ขออภัยที่หายหน้าไปเกือบสองเดือน มัวไปติดเกาะเลยไม่สามารถเข้าเน็ตได้ คิดถึงถนนนักเขียนและนักอ่านทุกๆท่านมากมายเลยค่ะ ตอนนี้กลับมาเล่นเน็ตได้เหมือนเดิมแล้วจะค่อยๆนำนิยายสองเรื่องคือยมทูตกับเซ็นซูมาลงสลับให้อ่านกันนะคะ

อ้อ ลิ้งค์กระทู้บทแรกๆคงหายไปแล้วมูนนี่เลยนำลิ้งยมทูตจากบล็อคมาให้ท่านผู้อ่านแทนนะคะ ขอบคุณทุกท่านมากๆค่ะ

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 19:52:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com