Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องสั้น : ซ่อน...หา ติดต่อทีมงาน

เรื่องนี้เป็นงานเขียนที่ได้มาจากความฝันของผู้เขียนเองและเป็นครั้งแรกที่นำมาลงพันทิปในห้องถนนนักเขียน อยากให้ทุกๆท่านลองช่วยอ่านดูและขอน้อมรับคำวิจารณ์ทุกความคิดเห็นค่ะ


ซ่อน..หา


รถซิตี้สีขาวคันนั้นแล่นเข้าสู่บริเวณบ้าน และจอดสงบนิ่งหน้าโรงจอดรถ สีของรถดูจะถูกขับให้สว่างยิ่งขึ้นจากต้นไม้ใหญ่ที่แผ่ใบสีเขียวปกคลุมล้อมรอบตัวบ้าน ”บ้านสวน” คงเป็นคำกล่าวไม่ไกลเกินจริงจากทัศนียภาพที่แวดล้อม แต่บรรยากาศแห่งความสงบก็อยู่ได้เพียงไม่นานเมื่อเหล่าเด็กสาวก้าวออกจากตัวรถแล้วส่งเสียงร้องแข่งกันด้วยความตื่นเต้น

“โห ไอ้มลนี่บ้านแกเหรอเนี่ย มีที่ดีๆแบบนี้ก็ไม่บอก รู้อย่างนี้นะฉันขอตามแกมาเชียงใหม่ทุกซัมเมอร์เลยดีกว่า” นงพงาส่งเสียงดังบอกกับเจ้าของบ้านที่เป็นเพื่อนซี้กันเมื่อครั้งไปเรียนที่กรุงเทพฯ

“เฮ้ย แก ลดๆเสียงหน่อยสิวะ เกรงใจพ่อกับแม่มันบ้าง เดี๋ยวก็ได้ออกมาเตะก้นพวกคนกรุงเห่อบ้านนอกอย่างพวกเราหรอก” จริงใจเตือนเพื่อนสาวบ้าพลังให้สงบเสงี่ยมเจียมตัวบ้าง

ก่อนที่จะมีการต่อปากต่อคำมากไปกว่านี้ กมลวรรณเจ้าของบ้านสาวก็รีบตัดบทพร้อมหัวเราะขบขัน
“ไม่เป็นไรหรอกใจ ไอ้นงมันก็อย่างงี้ตลอดแหละ ตื่นเต้นโอเวอร์ได้ทุกๆเรื่อง อ่าวแล้วฝนแกเป็นไร ยืนนิ่งระลึกชาติเชียว”

ฉันที่มัวแต่ยืนชื่นชมบ้านสีขาวขนาดกลางที่อยู่กลางดงต้นไม้น้อยใหญ่จนครึ้มเขียวไปหมด หันไปทางเจ้าของเสียงคนสวย ตอบพร้อมรอยยิ้มแบบอายๆ

“แหม ก็บ้านฉันที่กรุงเทพก็เป็นแค่ตึกแถว แถมคนเยอะแออัดอย่างกับรังหนู มาเจอบ้านแกเข้าไปก็อึ้งเป็นเหมือนกันนะยะ กี่ไร่เนี่ย”

“อืม ไม่เยอะหรอก 4 - 5 ไร่น่ะ พอดีได้ที่ที่มันอยู่นอกเมืองก็เลยถูกหน่อย เออ พวกแกอย่ามัวยืนคุยกันอยู่เลย เอาข้าวของเข้าบ้านแล้วไปสวัสดีพ่อแม่ฉันกันเถอะ” มลพูดพลางยกข้าวของท้ายรถหิ้วนำเข้าตัวบ้านพะรุงพะรัง

หลังจากที่เด็กๆได้เข้าไปสวัสดี พูดคุยสารทุกข์สุกดิบกับพ่อแม่ของเพื่อนรักแล้ว ก็มานั่งๆนอนๆรวมตัวอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น โดยมีข้าวของขนมนมเนยออกมากองอยู่เต็มโต๊ะ ไม่นานมลก็ขี่จักรยานคู่ใจออกไปจ่ายตลาดเพื่อนำมาทำอาหารเย็น ระหว่างนั้นฉันก็เตือนให้นงพงาโทรหาเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางออกจากกรุงเทพฯพร้อมกันแต่กลับยังมาไม่ถึง

“พวกมันใกล้ถึงแล้วล่ะ แกไม่ต้องกังวลไปหรอก คงอีกซักชั่วโมงสองชั่วโมงนี่แหละ มันบอกว่าออกโคตรเช้าตั้งแต่ตีห้า มันง่วงเลยค่อยๆขับมา” นงพงาร่ายยาวตามประสาหลังจากวางหูโทรศัพท์ พวกเรานั่งฟังเพลง บ้างก็อ่านการ์ตูน กินขนมซักพัก เสียงกระดิ่งจักรยานก็ดังขึ้นเบาๆ ก็รีบกระวีกระวาดออกไปช่วยมลหอบกับข้าวของสดนำมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าวที่อยู่ใกล้ๆ

“ตอนนี้สี่โมงอยู่เลย ไว้ใกล้ๆกินข้าวค่อยช่วยกันทำละกันเนอะ” มลบอกเพื่อนพร้อมกับยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากไปพลาง ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธข้อเสนอนี้เลย

“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอะไรกันดีล่ะ” จริงใจถามขึ้นมาหลังจากหยิบขนมเข้าปาก

“อืม... เล่นซ่อนหากันไหม แบบถ้าแตะตัวได้ก็แพ้อะไรเงี้ยะ ดีป่ะ” ไอเดียบรรเจิดจากเพื่อนในกลุ่มเริ่มขึ้น

“โหย แก เด็กไปป่าว ใครรู้เข้าอายเขาตาย สาวคณะบัญชีปีสองลูกแม่โดม มาเล่นซ่อนหากันเนี่ยนะ” จริงใจทำปากยื่นบ่นอุบกับความคิดของเพื่อนในกลุ่ม

“ใช่ โตๆกันแล้ว อย่าเล่นเป็นเด็กเลย มาเหนื่อยๆนั่งพัก นอนพักกันยังดีกว่าอีก” ฉันรีบผสมโรง

“เล่นๆๆ จะเล่น เด็กหญิงจริงใจคะ แกไม่ต้องลีลามากมายเลย ช่วงก่อนสอบฉันยังเห็นแกนั่งวาดรูป ออกแบบตัดเสื้อให้ตุ๊กตากระดาษของแกที่ใต้คณะอยู่เลย” นงพงารัวใส่จริงใจเป็นชุดและเหมือนจะกลัวโดนแย้ง มันรีบหันมาขู่ฟ่อใส่ฉันทันที

“ฝน แก ต้อง เล่น เข้าใจ๊” นงพงานางพญาของกลุ่มพูดเน้นทีละคำทิ้งคำถามเสียงสูงแบบไม่ต้องการคำตอบพร้อมกับตัดสินใจให้ทุกคนเสร็จสรรพ ซึ่งแน่นอนไม่เคยมีใครในกลุ่มเคยแย้งเจ้าหล่อนได้

  เราจึงตกลงที่จะเล่นซ่อนหากัน โดยมีกติกาบ้าบอที่ไอ้นงคิด คือถ้าโดนเจอตัวแล้วยังไม่ถือว่าแพ้ ต้องแตะตัวได้ก่อนถึงจะแพ้อย่างสมบูรณ์แบบเอากะมันสิ ฉันก็งงๆกับกติกาการเล่นซ่อนหาบวกวิ่งไล่จับของเพื่อนอย่างมันมาก แต่ก็เออออไปตามเรื่องจากนั้นเกมก็เริ่มขึ้น

มลโชคร้ายได้เป็นคนหาก่อน จึงหลับตานับ 1-100 อย่างช้าๆเพื่อให้เราไปหาที่ซ่อนตัว ฉันรู้ว่านงต้องซ่อนในบ้านแน่นอน ฉันเห็นมันวิ่งผลุบๆโผล่ๆอยู่ระหว่างห้องครัวกับห้องน้ำ ส่วนไอ้ใจเดาคนรักษาภาพพจน์อย่างมันไม่ออกว่าจะไปซ่อนที่ไหนได้ ตัวฉันเองกลับวิ่งเตลิดออกไปอยู่ในสวนอย่างรวดเร็ว

“98.....99....100 ” เอาล่ะนะ เสียงมลตะโกนบอกเพื่อน

ฉันแอบอยู่หลังต้นมะขามใหญ่ทางหลังบ้าน ใจเต้นตึกตัก เหงื่อชุ่มตัวเหมือนอาบน้ำมาใหม่ๆ ฉันมักมีอาการแบบนี้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเวลาเล่นซ่อนหา วิ่งไล่จับ หรืออะไรก็ตามที่สร้างความรู้สึกตื่นเต้น เพราะฉันไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้จึงพยายามหลีกเลี่ยงเกมดังกล่าวอยู่ตลอด คิดไปก็เคืองไอ้นงไปดันมาขู่แกมบังคับกันซะได้

ยืนแอบอยู่ไม่นาน ฉันก็ได้ยินเสียงร้อง “ว้าย” จากนง พร้อมเสียงหัวเราะชอบใจของมล แล้วก็ตามติดมาด้วยเสียงโวยของนงพงาดังลั่น

“แก ขี้โกงอ่ะนับเร็วเกิน โธ่ นี่ฉันโดนคนแรกหรอเนี่ย” มันคร่ำครวญเหมือนชีวิตจะสูญสิ้นซะอย่างนั้น

ฉันอมยิ้มและแอบโผล่หัวออกมาจากหลังต้นไม้ เห็นมลกำลังใส่รองเท้าแตะเพื่อเดินมาหาในสวน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเข้าไปหาต่อในบ้าน

“อืม ฉลาดแฮะ ใครหน้าไหนจะออกมาซ่อนกลางสวน บ้านตัวเองก็ไม่ใช่” ฉันพึมพำในลำคอ แล้วก็คิดได้ว่าฉันนี่แหละประหลาดและกล้ามากที่ดั้นด้นมาซ่อนซะกลางสวนบ้านเพื่อน แต่ฉันก็ทำสิ่งที่เหลือเชื่อมากกว่านั้นอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันเพราะเมื่อมลหันกลับเข้าไปหาไอ้ใจในบ้าน ฉันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตจากที่ซ่อนเผ่นออกจากประตูรั้วหน้าบ้าน วิ่งๆๆเต็มฝีเท้า วิ่งไปในซอยที่ฉันเพิ่งนั่งรถเข้ามาเมื่อไม่กี่ชั่วโมง พอได้สติหัวใจหยุดเต้นโครมครามแล้วฉันก็ชะลอฝีเท้าลงและหยุดวิ่งพร้อมกับก้มตัวลงด้วยความเหนื่อยหอบ

“นี่แน่ะ” ฉันเอามือเขกกะโหลกตัวเอง

“เป็นบ้าอะไรเนี่ย ไม่หายซักที” ฉันบ่นด่าตัวเองด้วยความโกรธ ตั้งแต่เด็กๆ พอเล่นเกมแบบนี้ทีไรฉันจะวิ่งแบบลืมโลกทุกที เพราะฉันรู้สึกกลัวที่จะถูกพบ ถูกแตะ ถูกจับได้ ฉันจะพยายามวิ่งหนีสุดชีวิต แอบซ่อนให้ดีที่สุดไม่ให้คนอื่นเจอทั้งๆที่มันเป็นแค่เกมเด็กๆ แต่คราวนี้คงอาการหนักกว่าเก่าเยอะเพราะฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะวิ่งหนีเพื่อนออกมานอกบริเวณบ้านจนไกลขนาดนี้

“เฮ้อ.. กลับดีกว่า ให้ไอ้มลเจอโต้งๆ ไปเลยดีกว่า แบบนี้หัวใจจะวาย ดีไม่ดีพวกมันจะว่าเราจิตซะอีก” ฉันบ่นพร้อมหันหลังกลับไปยังทางที่วิ่งมา สายตาเพิ่งจับภาพทุ่งนาที่เต็มไปด้วยต้นข้าวสูงเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาทางฝั่งซ้ายมือ ส่วนอีกฝั่งถนนก็มีต้นไม้ใหญ่และต้นหญ้าขึ้นหนาแน่น

ลมเย็นๆ พัดมาทำให้รู้สึกสดชื่น ฉันสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด ฉันชอบบรรยากาศที่นี่ธรรมชาติที่ไม่สามารถหาได้ง่ายๆในเมืองหลวง ขณะกำลังชื่นชมธรรมชาติที่งดงาม ฉันเหลือบเห็นคนสองคนลิบๆอยู่กลางดงไม้ใหญ่พร้อมกองดินจำนวนหนึ่ง ฉันพยายามเพ่งดูว่าพวกเขากำลังทำอะไรกัน แต่สิ่งที่ล้มอยู่ใกล้พวกเขานั้นมันสะท้อนเข้าตาทำให้ตัวฉันเย็นเฉียบ สมองมึนงง ใจหล่นวูบลงไปถึงฝ่าเท้า เมื่อฉันดึงสติกลับมาและคิดจะออกวิ่ง รถคันหนึ่งก็เข้ามาจอดแนบข้างอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย แกมายืนทำอะไรอยู่นี่วะ ฝน” เสียงทุ้มใหญ่ที่คุ้นเคยดึงความรู้สึกฉันกลับมาและทำให้อุ่นใจ ดีใจแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าเป็นเสียงใคร

“โย ชัย อ้อม” ฉันพึมพำออกมา เพื่อนทั้งสามยืนทำหน้ามึนงง โดยเฉพาะชัยที่เกาหัวแกรกๆกับอาการแปลกประหลาดของฉัน เมื่อได้สติฉันก็รีบคว้าแขนเพื่อนขึ้นรถอย่างรวดเร็ว

“อะไรของแกวะ เป็นอะไร ” อ้อมละล่ำละลักถามเมื่อปิดประตูรถหลังคนขับแล้ว

“ชัยแกขับไปก่อนเลย ไปเลย เร็วๆ เร็วสิ” ฉันพูดรัวจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ ชัยเข้าเกียร์ และเตรียมเหยียบคันเร่งเพื่อไปยังจุดมุ่งหมาย

“แต่ต้องไปที่อื่นก่อนนะ” ฉันพูดเสียงสั่น พร้อมหลบสายตาที่จ้องมองมาด้วยความฉงนสงสัยอย่างบอกไม่ถูกของเพื่อนทั้งสาม

..............................................................

“นี่ พวกแกกว่าจะมากันได้จะหกโมงเย็นแล้วนะเฟ้ย แกรู้ไหม ไอ้ฝนมันหาย.... อะ..อ่าว” เสียงนงพงาขาดหาย เมื่อเห็นเพื่อนทั้งสามคน ชัย โย อ้อม รวมทั้งฉันลงมาจากรถที่จอดตรงลานหน้าบ้านสีขาวสวย ฉันมองไปยังโรงรถเพื่อมองหาสิ่งหนึ่งแล้วก็ก้มหน้านิ่ง

“ไอ้ฝน แกหายไปไหนมา แล้วทำไมมาด้วยกันได้...แล้วนั่น” นงพงาเริ่มพูดติดๆขัดๆ ไม่จบประโยค เพราะรู้สึกสับสนระคนสงสัยกับรถที่ขับตามหลังเข้ามาอีกคัน

ผู้ชายในชุดคุ้นตาสองคนลงมาจากรถ หน้าบอกบุญไม่รับ เดินตรงเข้าสู่ตัวบ้านอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น” จริงใจที่ยืนงงอยู่ข้างๆ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรเลย

ฉันโผเข้าไปกอดเพื่อนทั้งสอง กระซิบข้างหูพวกเขาแล้วเริ่มร้องไห้จนตัวโยน จากนั้นเสียงสะอื้นไห้ ก็ดังระงมทั่วบริเวณนั้น พวกเราทั้งหกคนกอดกันและร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ

...............................................................

กลิ่นควันธูปตลบอบอวล บริเวณลานกว้างที่วัดแห่งหนึ่ง พวกเราทั้งหกคนหลังจากกุลีกุจอช่วยเสิร์ฟน้ำ ต้อนรับแขกตลอดทั้งวัน ก็มานั่งหลบมุมอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรอยู่นาน จนหัวโจกกลุ่มเราเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“ฉันไม่อยากเชื่อเลยแก” นงพงาซึ่งตอนนี้เหมือนนางพญาหมดฤทธิ์ สีหน้าแววตามีร่องรอยบอบช้ำจากการร้องไห้มาอย่างหนัก

“แล้วที่เราเจอมันคืออะไรวะ ทำไมมันต้องเกิดขึ้นด้วย” นงถามขึ้นอย่างเลื่อนลอย

“อีแค่ของกิน ทำไมมันต้องทำร้ายกันด้วย ทำไม” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของอ้อมพร เข้าไปบีบหัวใจพวกเราจนทำให้ทุกคนน้ำตาซึม

“ตอนนั้นพวกแกไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” ชัยมองมายังพวกฉันสามคน

“ไม่” นงพงาพูดสวนทันที แล้วนิ่งไปครู่หนึ่งจึงพูดต่อ “แค่รู้สึกเย็นๆเวลา..... โดนแตะ” บรรยากาศที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบขึ้นไปอีก จริงใจยกมือสองข้างปิดหน้าเหมือนไม่อยากรับรู้

“แล้วแกวิ่งออกไปทำไม แกเป็นอะไร” ชัยซักฉันอีก ฉันจำใจต้องเล่าพฤติกรรมในวัยเด็กของฉัน ความรู้สึกต่างๆที่มักเกิดขึ้นเมื่อต้องเล่นเกมพวกนี้ จากที่ไม่อยากเล่ามันเริ่มพรั่งพรูออกมาเหมือนสายน้ำ ฉันเล่าพร้อมหยดน้ำตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ ไม่เข้าใจ และไม่อยากเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น จนอ้อมต้องลุกมานั่งข้างๆโอบกอดเพื่อปลอบใจฉัน

“เราว่ามลคงรู้ว่าแกเป็นอย่างนี้ เลยอยากบอกแกทางอ้อมว่ะ” สิ้นเสียงโย ทุกคนก็หันไปมองเขาเป็นตาเดียวทำให้ชายหนุ่มตีสีหน้าไม่ค่อยถูก แต่ก็ยังคงพูดต่อ

“จริงๆนะ ถ้าแกไม่เป็นแบบนี้ แกจะวิ่งออกไปไหม แล้วถ้าไม่มีคนชวนเล่นเกมนี้ แล้วเราจะพบศ..เอ่อ...พบเพื่อนเราไหม” ประโยคสุดท้ายเขากลืนมันลงไปในลำคออย่างยากเย็น

“ถ้าอย่างนั้น ตอนนั้นใครชวนเล่นเกมล่ะ”

สิ้นคำถาม ฉัน นง ใจ นั่งตัวแข็งแทบลืมหายใจเมื่อนึกประโยคนั้นและภาพช่วงเวลาดังกล่าวก็ซ้อนเข้ามา

“อืม... เล่นซ่อนหากันไหม แบบถ้าแตะตัวได้ก็แพ้อะไรเงี้ยะ ดีป่ะ” มลเสนอความคิด พร้อมยิ้มหวานให้เพื่อนทั้งสาม

แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 54 03:33:32

แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 54 03:31:57

จากคุณ : เด็กดื้อถือลูกชิ้นหมู
เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 03:29:47




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com