Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เซ็นซู ภาค จอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 3 คำร้องขอของมิสึกิ ติดต่อทีมงาน

บทที่ 2 เสียงเพลงแห่งฤดูใบไม้ผลิ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=04-10-2011&group=19&gblog=2

บทที่ 3

คำขอของมิสึกิ

สีหน้าของยาสึฮิระเต็มไปด้วยความหนักใจหลังจากฟังโอริเอะรายงานข่าวการเคลื่อนไหวของแคว้นคาสึรางิจบลง หลังจากนั่งกอดอกใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่เจ้าเมืองโคะโตโระจึงถาม

“เจ้าแน่ใจหรือว่าคาสึรางิกำลังวางแผนกลับมาโจมตีพวกเราอีกครั้ง”

“ข้าแน่ใจขอรับ” โอริเอะตอบ ยาสึฮิระนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะสั่นศีรษะ

“คิดว่าพ่ายไปแล้วจะเลิกรา” เจ้าเมืองโคะโตโระพึมพำพลางถอนใจก่อนจะกล่าวต่อ “รู้หรือยังว่าอาซามิมีแผนอะไร”

“ได้ยินมาว่าเขากำลังติดต่อกับซาวาระ ชินโนแห่งเมืองอิวะ ข้าส่งคนไปสืบเรื่องนี้แล้ว”

เมื่อได้ยินชื่อเมืองอิวะยาสึฮิระถึงกับขมวดคิ้วด้วยความคาดไม่ถึง

“คาสึรางินับเป็นหนึ่งในแคว้นที่มีอำนาจยิ่งใหญ่พอควร ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมสมคบกับเมืองขนาดเล็กอย่างอิวะ”

“ทหารของอิวะขึ้นชื่อในเรื่องการบจนถึงขนาดได้สมญานามว่าเป็นเครื่องกลสังหารมนุษย์ ไม่ว่าจะยกทัพไปที่ใดก็ล้วนแล้วแต่ได้รับชัยชนะ ข้าคิดว่าคาสึรางิคงคิดจะใช้พวกเขาในการโจมตีพวกเรา”

“ส่งเบี้ยลงมาจัดการก่อน ส่วนตัวเองรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในภายหลัง เป็นแผนการเจ้าเล่ห์สมกับอาซามิ” เจ้าเมืองโคะโตโระกล่าวพร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปาก “สงสัยข้าคงต้องไปเยี่ยมเยือนเขาบ้างแล้ว”

“คงไม่ปลอดภัยแน่หากท่านจะไปคาสึรางิในเวลานี้” โอริเอะรีบพูดด้วยความเป็นห่วง ยาสึฮิระเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเหยียดยิ้ม

“แค่ความคิดเท่านั้นท่านแม่ทัพ” เขาวางมือลงบนแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะและจ้องด้วยสายตาครุ่นคิด

“หากคาสึรางิกับอิวะร่วมมือกันคงไม่เป็นผลดีกับโคะโตโระแน่เพราะเราต้องแบ่งกำลังพลออกเป็นสองส่วนเพื่อแยกไปคุ้มกันชายแดนทั้งสองแห่ง”

“การต่อสู้กับอุเอโนะและคาสึรางิในครั้งก่อนทำให้เราสูญเสียกำลังพลไปเกือบครึ่ง ถ้าต้องแบ่งทหารออกไปตั้งรับทั้งสองด้านคงไม่มีทางรับมือกับข้าศึกได้แน่ดังนั้น” แม่ทัพหนุ่มกล่าวและนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ”ข้าวางแผนที่จะทำกับดักจัดการกับผู้บุกรุก ถึงมันจะไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมดแต่ก็น่าจะตัดกำลังพลได้มากพอควร ข้าขออนุญาตท่านรวบรวมช่างฝีมือทั้งหมดเพื่อนำไปจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นในเร็ววัน”

โอริเอะกล่าวพลางดึงกระดาษออกมาจากเสื้อส่งให้นาย

“นี่เป็นแบบแผนโครงสร้างกับดักที่ข้าวางไว้ขอรับ”

ยาสึฮิระคลี่แผนผังออกและนั่งดูนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าแม่ทัพแห่งโคะโตโระ

“เจ้าเป็นคนคิดเองทั้งหมดอย่างนั้นหรือ”

โอริเอะค้อมศีรษะลง

“ขอรับ ไม่ทราบว่าท่านเห็นด้วยหรือไม่”

ดวงตาของยาสึฮิระเหลือบลงมองภาพวาดบนกระดาษอีกครั้งมันฉายแสงประหลาดขึ้นมาวูบหนึ่งซึ่งหากแม่ทัพแห่งโคะโตโระทันเห็นคงเย็นวาบไปทั้งสันหลังเพราะมันเป็นประกายตาที่เต็มไปด้วยความอำมหิตเยือกเย็นอย่างที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจทำได้

“คิดว่ากับดักของเจ้าจะสามารถจัดการศัตรูได้กี่คน”

“ประมาณห้าสิบหรืออาจถึงหนึ่งร้อยคน หากพวกเขาดึงดันที่จะผ่านกับดักทั้งหมดเข้ามา” โอริเอะตอบอย่างมั่นใจ ยาสึฮิระยิ้ม

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็เห็นด้วย” เขากล่าวพร้อมกับยื่นแผนผังส่งคืนให้ อีกฝ่ายรีบยื่นมือไปรับด้วยท่าทางนอบน้อมและเมื่อพับและเก็บมันกลับเข้าไปในเสื้อเรียบร้อยแล้วโอริเอะจึงพูด

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปจัดหาช่างฝีมือเพื่อจะได้เตรียมการให้เสร็จสิ้นในเร็ววัน”

ผู้นำแห่งโคะโตโระผงกศีรษะเป็นเชิงอนุญาต โอริเอะค้อมตัวลงคำนับก่อนจะถดตัวถอยไปจนถึงประตูและโค้งตัวลงอีกครั้งก่อนจะก้าวจากไป

เมื่อโอริเอะออกไปจากห้องแล้วยาสึฮิระจึงยืนขึ้นและเดินไปยืนบนระเบียงด้านที่หันออกไปทางสวน สายตาที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิดจับนิ่งอยู่ที่กิ่งซากุระ แม้ภายนอกจะดูสงบเยือกเย็นแต่ภายในใจของเจ้าเมืองโคะโตโระกลับเดือดพล่านด้วยโทสะที่แคว้นคาสึรางิยังไม่ยอมรามือหนำซ้ำยังไปคบคิดกับเมืองอิวะเพื่อถล่มโคะโตโระให้ราบในพริบตา

“พวกเจ้ายังรู้จักข้าน้อยเกินไป”

ยาสึฮิระคำรามลอดไรฟัน แสงตะวันสาดส่องกระทบร่างก่อให้เกิดเงาทอดยาวไปทางด้านหลัง แทนที่จะเป็นรูปร่างของเจ้าเมืองโคะโตโระมันกลับเป็นเงาดำทะมึนของปิศาจตัวสูงใหญ่ซึ่งมีเขาแหลมคู่หนึ่งบนศีรษะ กรงเล็บในมือขยับไปมาอย่างคั่งแค้น ระหว่างที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะใช้พลังอำนาจของตนไปข่มขวัญอาซามิแห่งคาสึรางิกับซาวาระแห่งอิวะดีหรือไม่อยู่นั้น เสียงข้ารับใช้ผู้หนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก

“ท่านหญิงมิสึกิขอเข้าพบขอรับ”

เพลิงพิโรธที่ลุกโชติช่วงคลายลงทันที เงาปิศาจที่ทาบทับบนผนังห้องแปรเปลี่ยนไปในทันใด ยาสึฮิระผ่อนลมหายใจออกมาค่อนข้างยาวก่อนจะเอ่ยปากอนุญาต

“ให้นางเข้ามา”

บานประตูเลื่อนเปิดออก มิสึกิก้าวเข้าไปในห้องด้วยท่วงท่างามสง่า จนเมื่อไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้เป็นบิดาแล้วนางจึงก้มศีรษะเพื่อแสดงความเคารพ

“ท่านพ่อ”

“มิสึกิ” ยาสึฮิระกล่าวทักทายอย่างเมตตา “มีอะไรหรือ”

“ข้าเป็นห่วงท่านพ่อ ได้ยินมาว่าหลายวันมานี่ท่านคร่ำเคร่งกับหน้าที่การงานจนแทบไม่ได้พัก ข้าเลยอยากมาเล่นโกโตะให้ฟังเพื่อเป็นการผ่อนคลาย”

คำพูดของบุตรีทำให้ผู้เป็นบิดายิ้มอย่างยินดี เขาแตะไหล่ของมิสึกิอย่างแผ่วเบา

“ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่งานข้ายังมีอีกมาก คงไม่มีเวลามานั่งฟังโกโตะของเจ้า” ยาสึฮิระพูดเสียงนุ่มและหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของบุตรี “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะรีบสะสางงานให้เสร็จ พรุ่งนี้จะได้ฟังเจ้าเล่นโกโตะทั้งวันให้เพลิดเพลิน และถ้าฟังจนเบื่อเรามาเล่นโกะกันต่อก็ได้”

มิสึกิยิ้มอย่างอ่อนหวานพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อยราวเป็นการรับคำจากนั้นนางจึงเบนสายตามองออกไปยังส่วนและจ้องกลีบซากุระซึ่งกำลังปลิวไปตามสายลมก่อนจะเลื่อนกลับมาทางบิดาอีกครั้ง

“น่าเสียดายที่ข้ามีความสามารถเพียงแค่เล่นโกโตะกับโกะเท่านั้น”

“อะไรกัน นอกจากสองสิ่งนี้แล้วเจ้ายังสามารถเขียนโคลงกลอนได้อย่างไพเราะและฝีมือวาดรูปก็งดงามไม่เป็นรองใคร ยังไม่นับความเฉลียวฉลาดในการเจรจาต่อรอง เจ้านับเป็นบุตรีที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับข้ามากที่สุดมิสึกิ”

“แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ท่านคลายความเคร่งเครียดลงได้เลย ข้าอยากเรียนรู้อะไรให้มากกว่านี้อีก”

ยาสึฮิระมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มอย่างรู้เท่าทัน

“เจ้าประสงค์จะเรียนอะไร”

มิสึกินิ่งไปชั่วขณะคล้ายกับไม่แน่ใจว่าสมควรจะพูดในสิ่งที่ตนต้องการหรือไม่ แต่ความปรารถนาที่จะได้พบชายอันเป็นที่รักที่อัดแน่นอยู่เต็มอกทำให้นางตัดสินใจ

“ข้าอยากเรียนการร่ายรำ”

บิดาของนางหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเลื่อนมือไปหยิบกาน้ำชามารินใส่ถ้วย

“เจ้ามีอาจารย์ที่สอนเรื่องนี้อยู่แล้วมิใช่หรือ”

“พวกเขาสอนแค่การร่ายรำทั่วไปเท่านั้น ที่ข้าต้องการจะเรียนคือการรำพัดโดยเฉพาะพัดคู่ของตระกูลฟูจิวาระ ท่านพ่ออนุญาตให้เขามาสอนลูกได้หรือไม่”

ถ้วยชาในมือชะงักค้างก่อนจะถูกวางกระแทกค่อนข้างแรง แม้จะไม่พอใจแต่ยาสึฮิระก็พยายามสะกดอารมณ์ที่เริ่มปะทุขึ้นพร้อมกับถามเสียงเรียบ

“อาจารย์ของเจ้าหลายคนก็มีความสามารถในเรื่องการรำพัด ทำไมต้องเจาะจงที่ตระกูล
ฟูจิวาระ”

“เพราะพวกเขามีความชำนาญในด้านนี้โดยเฉพาะ ไม่เพียงแค่การร่ายรำเท่านั้น ตระกูล
ฟูจิวาระยังมีความเชี่ยวชาญเรื่องดนตรีไม่ว่าจะเป็นบิวะ ซามิเซ็นหรือเรียวเตกิ ท่านพ่อเองก็เคยชื่นชมพวกเขามากไม่ใช่หรือ”

“ข้าอาจจะชื่นชมแต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะให้พวกเขาเข้ามาในปราสาท”

น้ำเสียงเงียบขรึมและสีหน้าจริงจังของบิดาทำให้มิสึกินึกเอะใจ

“ท่านไม่ชอบพวกฟูจิวาระ”

“ไม่ใช่ไม่ชอบแต่ข้าคิดว่าไม่เป็นการสมควรที่จะให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของข้าต้องอยู่ชายหนุ่มตามลำพัง”

ยาสึฮิระกล่าวอย่างเคร่งขรึม ใบหน้าของมิสึกิมีสีเข้มขึ้นก่อนจะแย้ง

“ไม่จำเป็นต้องให้ฮารุคาเสะมาสอนข้าก็ได้”

“นี่เจ้าสนิทสนมกับเขาจนถึงขนาดเรียกชื่อกันแล้วหรือ” บิดาย้อนถามและกล่าวต่อเมื่อเห็นบุตรสาวนั่งนิ่ง “เวลานี้คนในตระกูลฟูจิวาระเหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้นคือเจ้าบ้านกับบุตรชาย และโทอิจิโร่ก็แก่เกินไปที่จะเดินทางไกลมาสอนเจ้า”

ดวงตาคมกริบมองท่านหญิงแน่วนิ่ง นางก้มหน้าลงหลบพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก

“ถึงฮารุคาเสะจะเป็นผู้สอนข้าจริง พวกเราก็ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง”

“ยังไงเจ้าก็ยังยืนกรานที่จะเรียนกับเขาอย่างนั้นใช่ไหม” ยาสึฮิระถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดุและขยับเตรียมจะกล่าวปฏิเสธคำขอร้องแต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของมิสึกิแล้วความตั้งใจก็เปลี่ยนไป เขาระบายลมหายใจออกมาพร้อมกับกล่าวด้วนน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม

“จริงอยู่ที่เจ้าทั้งสองไม่ได้อยู่กันตามลำพัง แต่การสอนการร่ายรำจำต้องมีการแตะเนื้อต้องตัวกันด้วย ซึ่งข้อนี้แหละที่ข้าเห็นว่ามันไม่เป็นการสมควร”

“ข้าคิดว่าคุณชายฮารุคาเสะคงมีวิธีหลีกเลี่ยงในเรื่องนี้” มิสึกิรีบพูดและก้มหน้าลงเมื่อเห็นสายตาของบิดาแต่ยังไม่วายที่จะกล่าวถาม “ท่านพ่อจะอนุญาตให้ข้าเรียนใช่ไหม”

ยาสึฮิระไม่ตอบแต่กลับลุกยืนขึ้นและเดินไปยืนที่ระเบียง ใจจริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้ชิงชังรังเกียจตระกูลของฟูจิวาระเพราะหากนับกันตามฐานันดรแล้วถือว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง นอกจากนี้ยาสึฮิระเองยังรู้สึกประทับใจในความกล้าหาญของฮารุคาเสะที่กล้าเผชิญหน้ากับปิศาจร้ายเพื่อปกป้องมิสึกิแต่เพราะการกระทำเช่นนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ยาสึฮิระมองฮารุคาเสะซึ่งอยู่ฐานะนักปราบมารเป็นศัตรูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

กิริยานิ่งเงียบของยาสึฮิระทำให้มิสึกิรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องเพราะกลัวว่าสิ่งที่ตนกล่าวจะสร้างความไม่พอใจให้บิดาและกังวลว่าตัวเองจะไม่มีวันได้พบหน้าฮารุคาเสะอีกต่อไป ขณะที่กำลังตกอยู่ในความคิดสับสนอยู่นั้นจู่ๆยาสึฮิระก็ถามขึ้น

“เจ้ากับข้าไม่ได้นั่งชมดอกไม้ด้วยกันมานานแค่ไหนแล้วนะ”

มิสึกิมองบิดาด้วยความงุนงงแต่ก็ยังกล่าวตอบ

“ราวสองปี”

“สองปีเชียวหรือ” ยาสึฮิระพึมพำดวงตาจ้องต้นซากุระกลางสวนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปทางบุตรี”ป่านนี้ซากุระที่ทะเลสาบบิวะคงบานสะพรั่ง เราน่าจะไปนั่งชมความงามของมันสักวัน เจ้าว่าดีหรือไม่มิสึกิ”

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมบิดาจึงเบี่ยงเบนการสนทนาไปเช่นนั้นแต่มิสึกิก็ยังก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวรับคำ

    “เป็นความคิดที่ดี แล้วท่านพ่อตั้งใจจะไปวันไหน”

“พรุ่งนี้” ยาสึฮิระตอบพร้อมกับหันหน้าไปทางสวนอีกครั้ง “ส่วนเรื่องการเรียนของเจ้ากลับมาค่อยว่ากัน”

คำพูดเชิงตัดบทเหมือนไม่ใส่ใจคำร้องขอแต่เพราะความที่รู้ในนิสัยของบิดาทำให้มิสึกิรู้ได้ในทันทีว่านางได้รับการอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวรีบค้อมตัวลงกล่าวคำขอบคุณและกล่าวอำลากับบิดาก่อนจะเดินออกจากห้องด้วยหัวใจพองโต ส่วนยาสึฮิระเมื่อเห็นว่าบุตรสาวพ้นไปจากสายตาแล้วจึงถอนใจและทอดสายตามองท้องฟ้าพร้อมกับกล่าวพึมพำ

“หวังว่าข้าจะสะกดใจในการสังหารเจ้าได้นะ ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ”

*/*/*/*/*


เพราะน้ำแท้ๆทำให้นิยายแต่ละเรื่องถูกทิ้งห่างนานเป็นเดือน มูนนี่พยายามหาลิ้งค์กระทู้เก่าแต่ไม่พบเลยต้องขอรบกวนผู้อ่านให้ย้อนกลับไปอ่านบทต้นๆในบล็อคแทนนะคะ

ปิดท้ายกันด้วยภาพฮารุคาเสะกับท่านหญิงมิสึกิและยาสึฮิระในร่างปิศาจค่ะ

 
 

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 54 12:26:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com