ขอนำตอนที่ 37 มาลงชิมลางดูก่อนนะครับ คราวก่อนพยายามนำลงได้มากที่สุดเท่านั้นจริงๆครับ อย่างไรตอนที่ 35 และ 36 ติดตามในบล็อกอีกทีนะครับ ไม่รู้ว่าไฟล์เรื่องนี้ถูก "ไวรัสกีฏยา"เล่นงานเอาหรือเปล่า! อยู่ๆที่โพสไว้ก็หายเกลี้ยงเกลา ไร้ร่องรอยใดๆทั้งสิ้น
ขอบคุณกิฟต์จากทุกท่านนะครับ คุณ อินทรายุธ, กุหลาบมอญ, wor_lek, มานีโอลา, Hermosa, นารีจำศีล, Mnemosyne, kdunagin, Setakan, กาแฟเย็นเพิ่มช็อต, เรียวรุ้ง, npuiy, ฉันน่ะนางฟ้าอยู่แล้ว, mimny และคุณนวลน้ำผึ้งด้วยครับ
สำหรับตอนที่ 35 ที่ผ่านมาบางส่วนครับ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11472689/W11472689.html
บทที่ 37
เกตุมาลาหมดแรงจนต้องทรุดกายลงนั่งข้างศพของอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยชิ้นเอก ใบหน้าคาเรนสงบนิ่ง นัยน์ตาหลับพริ้มเหมือนคนกำลังอยู่ในห้วงนิทรา ไม่มีร่องรอยของบาดแผลหรือรอยจ้ำเลือดใดๆบนผิวหน้าซีดขาวปนรอยกระนั้นอีกต่อไปแล้ว
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เหมือนการหลอนขึ้นของจิตใต้สำนึก จนทำให้ขาดใจตายในความฝัน จากพิษของเชื้อโรคร้ายที่เข้าจู่โจม เกตุมาลาก็สัมผัสได้จากภาพนิมิตเมื่อครู่... มันเป็นความตายที่ทนทุกข์ทรมานเหนือกว่าความตายอื่นใดยิ่งนัก
นี่ฤาคืออานุภาพของพรีออนสังเคราะห์?
และดวงวิญญาณนั้นก็ยังมิได้ไปผุดเกิดหรือสู่ภพภูมิที่ควรจะเป็น หากกลับเวียนว่ายอยู่ในรูปสัมภเวสี อำพรางตาแก่ผู้พบเห็น เหมือนต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง โดยมิอาจเอ่ยเป็นวาจาออกมาได้
คาเรนเดินทางกลับมาที่เพชรพยัต แต่อยู่ในสภาพดวงวิญญาณที่ยังยึดเหนี่ยวกับพันธสัญญาบางอย่าง มีเพียงบางคนเท่านั้นที่สัมผัสได้
เพราะอะไร?
คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในสมองของหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากก็ไม่ได้รับคำตอบที่แท้จริง นอกเหนือจากเรื่องของความตายที่เกิดขึ้นกับแต่ละคน ความตายอันมีที่มาจากปมซ่อนเร้นภายในจิตใต้สำนึก ที่ต่างเก็บซุกซ่อน ความลับ ความผิดบาปของแต่ละคนเอาไว้
แล้วถูกนำกลับขึ้นมาลงทัณฑ์ด้วยมโนธรรมของตนเอง ในสภาพกึ่งความฝัน วูบนั้นเกตุมาลาเริ่มแน่ใจว่าตัวเองก็ได้สัมผัสกับละอองเรณูอนุภาคนรกผ่านผีเสื้อพาหะแล้วเช่นกัน
เธอเป็นใครกันแน่? กีฏยา?
หล่อนเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับอีกฝ่ายด้วยน้ำตานองหน้า
แล้วเธอต้องการอะไรจากฉัน?
ร่างของกีฏยาคล้ายจะโปร่งใสประดุจแก้วผลึกเรืองแสง ใบหน้าที่เผยยิ้มปริศนาแย้มคลี่ออกจากกันจนเห็นไรฟันขาวเรียบเป็นประกายในแสงจันทร์
แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นอะไรล่ะ เกตุมาลา? เป็นร่างจำแลงในรูปมารดาของคาเรน เป็นมัทนียาในจินตนาการของบุรโชติ หรือเป็นภาพจำลองอันบิดเบี้ยวในจิตใต้สำนึกของทุกคน!
กีฏยาหยุดนิ่งไป นัยน์ตาเพ่งมองมายังหล่อนจนรู้สึกขนลุก
แล้วเธอเองล่ะเห็นว่าฉันเป็นอะไร
พร้อมกันนั้นเอง ก็รู้สึกเหมือนถูกดึงรั้งด้วยพลังอำนาจนั้นอีกครั้ง มันกำลังเคลื่อนตัวย้อนกลับเข้าไปยังจุดอ่อน อันเป็นสถานที่ที่ ซุกซ่อน อยู่ภายใต้ดวงจิตอันลึกล้ำ สิ่งนั้นกำลังควานหาและขุดค้นคำตอบอย่างหิวกระหาย เหมือนกับที่คาเรนและคนอื่นได้ประสบมาแล้ว
มันกำลังทดสอบตัวหล่อน เฉกเดียวกับที่คาเรนได้เผชิญและสุดท้ายก็ประสบกับความพ่ายแพ้มาแล้ว
ไม่ม์ม์ม์ม์!!
**************************
ธุมชาล เชษฐภักดี ยืนประจันหน้ากับร่างทั้งสามที่ปรากฏขึ้นในเงาตะคุ่มเหนือลานผาหินกว้างท่ามกลางสายลมเย็นยะเยือกพัดเป่าจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ละอองฝนโปรยปรายเบาบางหากดูเหมือนจะหนาเม็ดขึ้นในไม่ช้า
บัดนี้สายตาดอกเตอร์หนุ่มเริ่มปรับสภาพได้ชัดเจนแล้ว นอกจากเหมวดีกับอาจารย์คาเรน หนุ่มน้อยในชุดพื้นเมืองที่ยืนสงบงันอยู่เบื้องหน้า ก็ทำให้ต้องขยี้นัยน์ตามอง พยายามทบทวนความทรงจำที่เริ่มคลี่คลายขึ้นทีละน้อย
ใช่แล้ว! เป็นเด็กหนุ่มที่เคยเข้ามาพบคาเรนก่อนเหตุการณ์เลวร้ายทั้งหลายจะเกิดขึ้นนั่นเอง เขาจำสีผิวขาวจัดประหลาดตาได้ชัดเจน เพียงแต่มิได้ติดใจสงสัยใดๆและนำมาโยงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เท่านั้น นัยน์ตาเด็กหนุ่มแฝงประกายเศร้าสร้อย ไม่ต่างกับบุคคลทั้งสอง
จันผา... ผมคือจันผา
เสียงนั้นแผ่วหวิวไม่ต่างกับสายลมรอบด้าน ร่างทั้งหมดคล้ายลอยเลื่อนมิได้ยืนอยู่เหนือพื้นดินเฉกปกติ และมิได้แผ้วพานกับปรายฝนที่เริ่มหนาเม็ดขึ้นทุกขณะ เขาเบนสายตาไปยังร่างของเหมวดี ต้นเหตุที่ทำให้รีบวิ่งตามลงมา ใบหน้าของหญิงสาวที่เคยตกแต่งจนเข้มจัด บัดนี้ซีดเซียวหม่นหมองและอมทุกข์ ผิดไปจากเหมวดี สาวมั่นคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก
ช่วยฉันด้วยค่ะ อาจารย์ธุมชาล ช่วยด้วย ฉันทรมานเหลือเกิน
เสียงแผ่วหวิวเศร้าสลด สะท้อนสะท้านไปมาในความสงัดเงียบรอบด้าน
เหมวดี
ชายหนุ่มพยายามกระซิบเรียกอีกฝ่าย ในขณะที่ร่างของคาเรน และ จันผา ขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกขณะ
ธุมชาล...
น้ำเสียงคาเรนชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใดที่เขาเคยได้รับฟัง ไม่ใช่เสียงที่แสดงอำนาจเฉียบขาด มิสนใจความรู้สึกใดๆของผู้ฟัง นอกจากให้บรรลุความต้องการของตัวเองแต่เพียงผู้เดียวเหมือนเคย
ไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะช่วยเหมวดีหรอก ผู้หญิงคนนั้นได้เลือกหา หนทาง ของตัวเอง ด้วยการตัดสินใจ แต่เพียงผู้เดียว และมันก็สายไปเสียแล้ว...
หมายความว่ายังไงครับ? ผมไม่เข้าใจ คาเรน คุณ...
ใบหน้านั้นสลับไปมาระหว่างใบหน้าของมนุษย์ที่บิดเบี้ยวคล้ายทนทุกข์ทรมานกับขาวซีดไม่ต่างกับซากศพที่เริ่มเน่าเหม็น เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงข้าง ร่างทั้งสองร่างพยายามควบคุมการกลายสภาพนั้นอย่างสุดความสามารถ ทำให้สิ่งที่คุมขึ้นเป็นเรือนกาย ปรากฏสลับไปมาระหว่างสภาพจำแลงและสภาพที่เป็นจริง...
และตัวคุณเองก็เหมือนกันธุมชาล คุณก็อยู่บนเส้นทางของการเลือก... ในสิ่งที่เหมาะสมถูกต้อง ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เสียงแหบพร่าของเด็กหนุ่มผิวขาวเผือดซีดผู้นั้นดังขึ้น
ชะตากรรมทุกอย่าง อยู่ในกำมือของตัวคุณเอง ไม่ต่างกับนงลักษณ์ ไม่ต่างกับคาเรน ไม่ต่างกับเหมวดี ผมเอง หรือแม้แต่เกตุมาลา...
ประโยคสุดท้ายนั้นเองที่ทำให้ดอกเตอร์หนุ่มถึงกับชะงักงัน หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาด้วยสังหรณ์อย่างที่กำลังหวั่นเกรง เขาตะโกนถามออกไปอย่างลืมตัว
เกตุมาลา... เกิดอะไรขึ้นกับเกตุมาลา?
************************
เกตุมาลามองเห็นตัวเองย้อนกลับไปเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆอีกครั้ง เด็กหญิงตัวเล็กหัวใจซื่อบริสุทธิ์สดใส เป็นชีวิตที่ควรจะเกิดมาอย่างพรั่งพร้อม มีความสุขภายใต้ครอบครัวอันอบอุ่นของพ่อและแม่ที่มีฐานะปานกลางคนหนึ่งในสังคม
อาจเหมือนกับในหนังสือเทพนิยายแสนสุขสันต์ เมื่อเจ้าชายและเจ้าหญิงได้แต่งงาน และครองคู่ร่วมกันภายในปราสาทหลังงาม ก่อนที่เจ้าหญิงจะให้กำเนิดพระธิดาองค์น้อยๆผู้เป็นดั่งดวงหฤทัยของทั้งคู่
แต่นั่นก็เป็นเพียงนิทานเหลวไหลไร้สาระ ในความเป็นจริง ต้องคอยแอบเบือนหน้าหนีทุกครั้งเมื่อได้ยินเรื่องราวเพ้อฝันแบบนี้ในภายหลัง
นิทานหลอกเด็ก! นิทานที่เคยทำให้เด็กหญิงเกตุมาลาถึงกับอ้าปากค้าง นัยน์ตาเป็นประกายวาววับด้วยความตื่นเต้น ระทึกใจไปกับจินตนาการอันฝันเฟื่อง เพื่อจะได้ค้นพบว่าแท้จริง เรื่องราวทั้งหมดก็ไม่เคยเป็นความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
ปราสาทหลังงามในเทพนิยาย ก็คือบ้านไม้รั้วสังกะสีผุๆขนาดสองชั้น บนพื้นที่เกือบห้าสิบกว่าตารางวาในตัวจังหวัดภาคกลางแห่งหนึ่ง เจ้าชายกับเจ้าหญิงผู้โสภา ก็คือคู่สามีภรรยาที่ใช้การทะเลาะเบาะแว้งเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างกันเป็นประจำ ไม่ต่างกับมหรสพแสนสำราญสักเรื่องหนึ่ง ที่เล่นให้หล่อนเพียงคนเดียวเป็นผู้ชมซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทั้งปีทั้งชาติ โดยผู้แสดงคนเดิม พลอตเรื่องเดิมๆ และไม่เคยเบื่อหน่ายกับการแสดงบทบาทเดิมๆ
จริงอยู่ฐานะที่ค่อนข้างปานกลาง ทำให้ไม่เคย ขาด ข้าวของวัตถุต่างๆที่พ่อแม่หามาให้ แต่เกตุมาลาก็ยังรู้สึกอยู่ดี ว่าหัวใจน้อยๆดวงนั้น ไม่เคยถูกเติมเต็มเลยสักนิดเดียว มันพร่องและขาดหายบางสิ่งบางอย่าง นั่นคือสิ่งที่หล่อนมารู้ภายหลังว่ามันคือ ความรัก!!
ใช่ เด็กหญิงโหยหาอ้อมแขนอบอุ่นของพ่อ เสียงปลอบประโลมใจหรือนิทานแสนสนุกที่ได้ยินจากปากของแม่ ไม่ใช่หนังสือนิทานปกแข็ง รูปสวยงามอาบมันอย่างดี ที่ถูกประเคนมาให้นับสิบนับร้อยเล่ม โดยที่หล่อนต้องเป็นฝ่ายอ่านมันด้วยตัวเองจนผล็อยหลับไปบนเตียงนอน
ด้วยการเติบโตขึ้นมาจากเด็กหญิงขี้อาย แอบซ่อนความขมขื่นหนาวเหน็บในหัวใจ ไว้ภายใต้ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานและด้วยผลการเรียนยอดเยี่ยมตั้งแต่เยาว์วัย เป็นที่เชิดหน้าชูตา ทั้งที่ภายในส่วนลึกแล้ว ก็รู้สึกไม่ต่างกับตนเองเป็นตุ๊กตาสำหรับให้ท่านทั้งสองใช้ตกแต่ง หรืออวดโชว์ต่อคนภายนอกเพื่อสร้างความภาคภูมิใจสำหรับตัวเองเท่านั้น!
หนูเกตุ ลูกของคุณเรียนเก่งจังเลย น่าอิจฉานะคะ ไม่เหมือนลูกของดิฉันเอาซะเลย รายนั้นเอาแต่เล่นซนทั้งวัน
แม่และพ่อก็จะยิ้มรับคำชมเหล่านั้นด้วยความปลาบปลื้ม แต่มันก็เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้นเอง หลังจากนั้น ละครฉากเดิมๆก็จะเริ่มต้นขึ้นและเด็กหญิงก็จะเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งที่วางประดับเอาไว้ในบ้าน โดยที่เจ้าของบ้านไม่เคยรู้ว่าวัตถุชิ้นนั้นจะรู้สึกอย่างไร สิ่งที่สู้พากเพียรเพื่อแลกกับรอยยิ้มเสียงหัวเราะไม่เคยมีค่าอะไรขึ้นมาเลย! เกตุมาลาเพิ่งตระหนักว่า...
ลึกๆแล้วหล่อนรู้สึกเกลียดทั้งพ่อและแม่จับใจ!
เกลืยดความโหดร้ายของพ่อ และความอ่อนแอของแม่... ที่ตัวเองต้องเป็นผู้ รองรับห้วงอารมณ์ทั้งสองด้าน!!
ทันทีเมื่อทั้งสองกลับจากงานเลี้ยงสังสรรค์ ที่ต่างปั้นสีหน้าอ่อนหวานรักใคร่ หรือกลมเกลียวเข้าหากัน เกตุมาลารู้ว่า บทบาทเหล่านั้นจะถูกโยนทิ้งไว้ที่หน้าประตูบ้านแทบจะทันที และจากนั้น คือสภาพความเป็นจริงของ ครอบครัวอบอุ่นในสายตาเพื่อนบ้าน
พ่อ... ในบทบาทชายผู้สุภาพอ่อนโยน รักใครภรรยา ก็จะกลายเป็นคนฉุนเฉียว ผรุสวาทใส่มารดาด้วยคำเผ็ดร้อน ในขณะที่อีกฝ่ายก็จะร้องห่มร้องไห้ หรือไม่ก็คร่ำครวญอย่างไม่มีเหตุผล โดยมีเด็กหญิงผู้ไร้เดียงสายืนเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบแต่เพียงเดียวดาย
เสียงขว้างปาทุบตีข้าวของ เสียงแผดร้องด่าหยาบๆคายๆ เมื่อต่างดึงสันดานดิบจากตัวเองขึ้นมาสาดรดใส่กันโดยไม่เหลือความคิดคำนึงถึงเด็กหญิงที่เอาแต่ซุกเงียบและตัวลีบติดผนังห้อง ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเด็กหญิงคนนั้น ค่อยๆเร้นกายหนีกลับขึ้นไปสู่ห้องด้านบน ยกหมอนขึ้นกดศีรษะ ต้องการปิดกั้นเสียงเหล่านั้นมิให้แผ้วพานเข้ามาทำร้ายหัวใจน้อยๆให้เจ็บปวด
แต่ดูเหมือนเสียงเหล่านั้นจะไม่เคยเลือนหายไปได้เลย
จนหล่อนเริ่มเรียนรู้ถึงหัวใจอันด้านชา สร้างเกราะแข็งห่อหุ้มตัวตนอันอ่อนแอเอาไว้ ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกเมื่อเริ่มเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่คาดหวังในภาพลักษณ์ของพ่อและแม่ในจินตนาการอีกต่อไป แปรความรู้สึกโหยหาความรัก ความอบอุ่นไปยังตัวแทนใหม่ ที่ไม่ใช่บิดา หรือมารดาของตัวเอง
ราวกับโชคชะตาเข้าข้าง เมื่อเกตุมาลาสามารถเข้ามาเรียนในสถาบันการศึกษาแห่งนี้ ด้วยทุนการศึกษาฟรีตลอดหลักสูตร หล่อนจากบ้านมาอย่างไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ใดๆ แทบจะไม่ได้ติดต่อกลับไปด้วยซ้ำถ้าไม่จำเป็น รู้สึกเหมือนนกที่ถูกปลดปล่อยออกจากกรงขัง ได้บินสู่อิสรภาพที่โหยหามานาน และที่สำคัญก็คือได้พบกับเขาคนนั้น
ดอกเตอร์ธุมชาล เชษฐภักดี คือบุรุษหนุ่มในฝันอย่างแท้จริง ผู้ชายสมบูรณ์แบบที่ฝังใจรักตั้งแต่แรกเห็น บุคลิกเช่นนี้คือความฝันแต่วัยเยาว์ เป็นตัวแทนบุรุษเพศผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น อ่อนโยนและทรงภูมิรู้อย่างนักวิชาการ ไม่ต่างกับภาพบิดาในอุดมคติที่อยากให้เป็น
ไม่ใช่ชายชราอารมณ์ร้ายที่พ่นผรุสวาจา หรืออาละวาดโวยวายใส่แม่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เกตุมาลามองเปลือกทองที่ห่อหุ้มตัวของดอกเตอร์หนุ่มผู้นั้นอย่างชื่นชม คิดแต่เพียงว่าเนื้อในแห่งหัวใจของเขาก็คงจะเป็นทองคำเช่นเดียวกัน
หล่อนหนีจากความรักของพ่อ แสวงหารักใหม่ที่งดงามและสมบูรณ์แบบกว่าได้แล้ว...
เสียงหัวเราะแหลมเล็กดังขึ้น ปลุกภวังค์ให้คืนมาอีกครั้ง เป็นน้ำเสียงของกีฏยา
และบัดนี้ เกตุมาลาก็รู้แล้วว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้เห็นคืออะไร จุดอ่อนในจิตใจหล่อนย่อมไม่ใช่ความผิดบาปใดๆที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่มันคือภาพสวยงามของธุมชาลที่สร้างมันขึ้นมาต่างหาก
เพราะมันคือความลวง!!
ภาพในอดีตของดอกเตอร์ธุมชาลที่ไม่เคยคิดว่าจะเคยเห็นมาก่อน ปรากฏขึ้น เหมือนกับถูกเตรียมฉายเอาไว้แล้ว เพื่อทดสอบ ความเข้มแข็งของหัวใจ เกตุมาลาไม่อาจปิดนัยน์ตาลง เมื่อแต่ละภาพ แต่ละเฟรม ในอดีตอันโหดร้ายของอาจารย์หนุ่มจะถูกดึงย้อนมาฉายให้เห็นเต็มตา
ระหว่างเปลือกนอกอันสวยงามที่นับถือศรัทธาเขา กับตัวตนในอดีตล้ำลึกที่มีด้านมืดมิดอย่างที่ไม่เคยคาดคิด หัวใจเกตุมาลาโลดทะยานขึ้นเรื่อยๆระหว่างที่เหตุการณ์เหล่านั้นกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ไม่ต่างกับการชมภาพยนตร์ระทึกขวัญ ที่ผู้ชมรับรู้ตลอดเวลา ว่ามันไม่ใช่การแสดง แต่มันคือความจริง!
ความจริงภายใต้หน้ากากอันหลอกลวงและกลบเกลื่อนให้งดงามของบุรุษในฝัน ผู้เป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาคนนั้น
อนุสาวรีย์อันกอปรด้วยรูปทรงสวยงามในทุกเหลี่ยมมุม และสมบูรณ์แบบ แท้จริงมันมีรอยบิ่นร้าวแทรกซึมอยู่ในทุกด้านทุกพื้นผิว และเผยให้มองเห็นความอัปลักษณ์ที่ไม่เคยคิดว่าจะมีอยู่
พยายามสั่นศีรษะเพื่อสลัดภาพเหล่านั้นออกไปจากศีรษะ แต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งมันดำเนินมาถึงภาพของบุรุษหนุ่มทั้งสองที่ร่วมมือกัน วางแผนทำให้มัทนียากลายสภาพเป็นหญิงพิการอัปลักษณ์ ด้วยหัวใจอำมหิต และเต็มเปี่ยมด้วยความแค้น
นี่ไม่ใช่เทพบุตรหรือพระเอกในความฝันอีกต่อไปแล้ว ธุมชาลก็ไม่ต่างจากพ่อ จากผู้ชายคนอื่น ที่ฉาบหน้าเอาไว้ด้วยบุคลิก การพูดจา หรือท่าทางอันดูดี ปกปิดหัวใจที่บอดมืดเอาไว้อำพรางตา
ไม่ม์ม์ม์...
หัวใจดวงน้อยกำลังจะแตกสลาย สูญสิ้นศรัทธา และความงดงามในหัวใจที่เคยคิดว่ามันมีอยู่โดยตลอด พยายามหักใจนึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าคือภาพจำแลงจากมายาการของอีกฝ่ายหนึ่ง ภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาหลอนความรู้สึกของตัวเอง มันมิใช่ความจริง แต่ก็รับรู้ด้วยสัญชาตญาณและสังหรณ์ของตัวเองด้วยเช่นกัน
สังหรณ์นั้นแหละที่ทำให้หล่อน... เชื่อ!!
อาจารย์ชาล...
พึมพำกับตัวเองด้วยความปวดร้าว มีสายสัมพันธ์แนบแน่นโยงใยระหว่างชายโฉดทั้งสองคนนั้น!
บุรโชติที่เคยรู้สึกแปลกแปร่งกับพฤติกรรมของเขา และท่าทางของคันธรสที่มีต่อแฟนหนุ่ม หากก็ไม่เคยคิดว่า บุรุษผู้นั้นและธุมชาล คือเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาก่อน
และมีหัวใจวิปริตอำมหิตเหมือนกัน!!
ในความปวดร้าว สูญเสียพลังแห่งศรัทธา รู้สึกเหมือนตนเองยืนอยู่ท่ามกลางพายุอันหนาวเหน็บโหมกระหน่ำซ้ำเติม แรงพายุนั้นพร้อมจะพัดให้ปลิดปลิวไปในทิศทางที่มันต้องการ ร่างกีฏยายังยืนเด่นเป็นสง่าในความมืดสลัวด้วยรอยยิ้มน้อยๆเหมือนล่วงรู้ความเจ็บปวดและกำลังเสพย์รสแห่งความกำสรดนั้นเป็นภักษา
โดยมีศพของคาเรนไม่ต่างกับผ้าขี้ริ้วกองทิ้งเอาไว้อยู่ข้างๆกาย
มนุษย์เพศชาย... พวกมันก็มีความต้องการในตัณหากามารมณ์เหมือนกันหมดนั่นแหละ เกตุมาลา และเมื่อไม่สมความปรารถนา ก็กลายเป็นความอับอาย ความแค้น จนน้ำไปสู่การทำลาย... แม้แต่ผู้หญิงที่มันบอกว่ารักนักหนา
เสียงกีฏยาแว่วมากับสายลม ราวกำลังขับกล่อมด้วยท่วงทำนองแห่งความวิปโยค ชัดเจนยิ่งนักในโสตประสาท เพราะเจือปนไปด้วยน้ำเสียงหัวเราะเยือกเย็น เหมือนสาสมใจกับความจริงที่ทำให้ได้รับรู้
ใช่ไหม เกตุมาลา สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่เหลือใครให้ยึดเหนี่ยวเลยสักคนเดียว ไม่มีเลยสักคนเดียว...
คล้ายคลื่นบางอย่างพยายามเข้ายึดครองและควบคุมความคิดในจังหวะที่กำลังจิตใจบอบช้ำ อ่อนแออย่างถึงที่สุด มันถูกส่งผ่านมาจากร่างที่ตระหง่านเงื้อมของสตรีเบื้องหน้า ที่หล่อนรู้แล้วว่ามิใช่มนุษย์...
เกตุมาลาพยายามต่อสู้กับพลังที่ไม่อาจมองเห็นนั้นสุดชีวิต แต่ก็รู้ดีว่า จิตใจของตัวเองก็อ่อนแอลงไปทุกขณะ พิษของความผิดหวังไม่ต่างกับคลื่นมหาศาลที่โถมเข้าปะทะปราสาทแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจหลังงาม ปราสาทที่เคยคิดว่ามั่นคงแข็งแกร่งตลอดชั่วกาลนาน เพื่อจะรับรู้ว่าแท้จริงแล้วมันก็เป็นเพียงกองทรายที่สูญสลายลงได้ในพริบตา
หญิงสาวมองเห็นความพ่ายแพ้กำลังรอคอยอยู่ไม่ไกลนักจาก ณ เวลานี้ และเมื่อถึงจุดนั้น ก็ไม่อาจคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองต่อไป...
ฤาว่าชะตากรรมของหล่อน จะต้องเป็นเหมือนกับคาเรน... เหมือนกับทุกคน?
*************************
จากลานหน้าผาที่ธุมชาลยืนอยู่ ผ่านม่านฝนริน เรืองดาวมองเห็นอาจารย์หนุ่มยืนอยู่เพียงลำพัง เขากำลังขยับถอยห่างออกไปเรื่อยๆ สู่ปลายชะง่อนผาที่ยื่นออกไปในความเวิ้งว้างเบื้องนอก ท่าทางนั้นผิดปกติ เหมือนสื่อสารอยู่กับใครบางคน จนทำให้รู้สึกขนลุกซู่ เรืองดาวรีบขยับกาย หมายจะตะโกนเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ แต่คุณพระช่วย!
ร่างของหล่อนเหมือนกับถูกสาปให้แข็งนิ่งค้างอยู่ในอิริยาบถนั้น โดยไม่อาจขยับแม้แต่ปลายเล็บ เด็กสาวกลัวจนแทบสิ้นสติ สายตาที่มองตรงไปเบื้องหน้าก็เบิ่งค้าง เมื่อเห็นผีเสื้อสีขาวโพลนหลายตัวกำลังบินฉวัดเฉวียนกรูกันขึ้นมาจากชะง่อนผาด้านล่าง
ผีเสื้อขาวราวหิมะ หากสะท้อนประกายแสงจันทร์เป็นสีเหลือบเงินยวงน่าพิศวง
ธุมชาลเสียอีกที่มิได้มองเห็น ชายหนุ่มมัวแต่ยืนหันหลังให้กับเชิงผา เหมือนมิได้ครณาต่อความสูงชันที่อยู่ถัดออกไปเพียงชั่วคืบนั่นแม้แต่น้อย และหล่อนก็มองเห็นว่าพื้นที่เขายืนอยู่กำลังทรุดตัวลงจากน้ำหนักที่กดทับลงไป
อาจารย์ขา ระวัง!
************************
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ธ.ค. 54 14:10:05
|
|
|
|