เสียงของรถบนสะพานแห่งนี้ เมื่อเทียบกับเสียงหัวใจของภาพฝัน แทบจะดังไม่ได้สักครึ่งหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าทำให้เธอหยุดนิ่งไปชั่วครู่ สองเท้า ค่อยๆ ก้าวออกทีละก้าว ทีละก้าว เสียงเดินเริ่มถี่ขึ้น ถี่ขึ้น จนกลายเป็นเกือบวิ่ง
ภาพที่เห็นคือเด็กชายตัวน้อยที่ตามหานั่งชันเข่าอยู่บนฟุตบาทกลางสะพาน สายตาของเขาเหม่อลอยไปยังแม่น้ำเบื้องล่าง มองไปแทบเหมือนรูปปั้น ที่ไม่ไหวติงใดๆ
“คี...” น้ำเสียงเจือไปทั้งความเศร้าและความยินดี
อย่างน้อยวันนี้ก็ยังไม่สายเกินไป สิ่งที่เธอกลัวยังไม่เป็นความจริง ภาพฝันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ไม่อยากให้เวลาเลยผ่านไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“คี เป็นอะไรไป” เธอทรุดตัวลงนั่ง ก่อนขยับเข้าไปโอบกอดไว้
“พี่ฝัน” เสียงคีรัชแหบพร่า
“เกิดอะไรขึ้น เราเคยสัญญากันแล้วไง ไม่ว่าได้ยินอะไรมา คีจะอยู่รอจนพี่ฝันกลับ” สายตาแห่งความห่วงใยมองไปยังน้องชายต่างสายเลือด
“พี่ฝัน คีไม่อยากอยู่ที่นั่น คีรู้แล้ว คีเป็นตัวซวยเพราะคีไม่ใช่ลูกใช่ไหม”
“คี!” ประโยคนี้ทำเอาภาพฝันแทบจุก รู้มาตลอดว่าเพราะเหตุใด
และประโยคนี้ ก็ทำเอาอีกคนที่กำลังเดินเข้ามา ต้องหยุดแล้วนั่งลงเพียงตรงนั้น เขาเริ่มจะเข้าใจ ‘อะไรๆ’ ชัดเจนขึ้น หลังจากได้ฟังเธอเล่าเรื่องราว เหมือนจะเป็นอีกมุมหนึ่งที่เขาไม่เคยได้สัมผัส
‘น้องฝันบอกเองไม่ใช่เหรอ คีไปไหนได้ไม่ไกลหรอก’
หลังจากก้าวขึ้นรถ เขาก็หันมาชวนเธอคุยอีกครั้ง รู้ว่า อาจมีเรื่องราวบางอย่างที่เลวร้าย แต่การเห็นน้ำตาเธอ กลับเป็นเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่า
‘ป้าไพบอกว่า คีได้ยิน...’ เธอพยายามพูด แต่ก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น
‘ได้ยิน ได้ยินอะไร’
‘จริงๆ แล้ว...’ อีกครั้งที่เธออยากจะพูด แต่เสียงแหบเบากลับเลือนหายไปอีกเช่นเคย
‘ไม่เป็นไรครับ’ เขาหันมาบอกเธออีกครั้ง ถ้าพูดแล้วน้องฝันยิ่งร้องไห้...พี่ก็ไม่ต้องการจะฟัง ‘ก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้น พี่ไม่รู้ พี่รู้แค่ว่า ตอนนี้ เราสองคนจะตามหาน้องคีเจอแน่ๆ ถ้าไม่ขึ้นยานไปดาวอังคารซะก่อนนะ’
คนปลอบได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ อย่างพีรภาสคงปลอบใครได้แค่นี้
‘จริงๆ แล้วป้าไพเป็นแค่อาของคีค่ะพี่ปูน ไม่ใช่แม่ พ่อกับแม่ของคีรถคว่ำตั้งแต่คียังไม่เริ่มเดินเลย’ เล่าไปได้แค่นั้น ภาพฝันก็หยุดอีกครั้ง นึกถึงภาพของเจ้าตัวน้อย ที่ทำให้วันนั้น เธอไม่หนีออกจากบ้าน
‘แต่ป้าไพแกเป็นห่วงเจ้าคีนะ’
‘ค่ะ แต่ป้าแกก็ทะเลาะกับลุงดอนบ่อยเพราะเรื่องรับคีมาเลี้ยง ลุงดอนเคยมีเรื่องกับพ่อของคีมาก่อน ถึงขั้นประกาศไว้เลยค่ะว่าจะไม่ยอมเผาผี ยังไงซะแกก็ไม่ยอมรับคีเป็นลูก ป้าไพบังคับให้แกเรียกตัวเองว่าพ่อมาตลอด แต่เมาทีไร คีก็กลายเป็น ‘ไอ้ตัวซวย’ ประจำ’
‘ซะงั้น...’
‘พี่ปูนจำวันที่พ่อฝันเข้าโรง’บาลได้ไหมคะ’
‘จำได้สิ’ เขาหันมาตอบทันที คุยกันแบบนี้ดูเหมือนเธอจะผ่อนคลายขึ้น แม้จะมีความกังวลอยู่เต็มดวงตาสวยคมคู่นั้นก็ตาม
‘วันนั้น พ่อฝันดันไปล้อแกว่า ไม่มีน้ำยา ต้องเอาลูกคนที่เคยโกรธกันมาเลี้ยง ก็เลย...’
‘โดนซะ...’ พีรภาสพูดต่ออย่างอดไม่ได้ เพราะวันนั้นคงไม่ใช่พ่อของคนข้างๆ ที่โดนเสียเละ แต่กลับเป็นเขาเอง ที่ถึงกับไปต่อไม่เป็น
แล้วก็วันนั้นเอง ที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาไม่ไปงานเลี้ยง ที่มีเพื่อนสนิทอีกเกือบสิบคนตั้งตารอ กลับต้องมานั่งตากยุง เพื่อรอใครอีกคนเดินลงมา เพียงเพื่อยื่นเสื้อผ้าที่ยืนเลือกเสียตั้งนาน...ให้กับเธอ
มีคำพูดตั้งมากมายที่อยากจะบอก แต่พอเห็นหน้า กลับพูดได้เพียงแค่สองประโยค ‘พี่ซื้อมาให้’ กับประโยคที่อยากจะเขกกะโหลกตัวเองมากที่สุด ‘พี่ไปนะ’
‘พี่ปูน จอดค่ะ’
การบอกกะทันหัน ในขณะที่ความคิดของพลขับกำลังย้อนกลับไปไกล ทำให้การจอดไม่นิ่มนวลสักเท่าไร ทั้งๆ ที่ความเร็วในการขับแทบจะไม่ต่างจากปั่นจักรยานชมวิว
‘น้องฝัน เป็นอะไรหรือเปล่า’
‘ฝันไม่เป็นไรค่ะ พี่ปูนคะ คีอยู่ตรงนั้น’
แทบฟังไม่ทันว่าอีกคนบอกอะไร เธอก็รีบเปิดประตูรถออกไปเสียก่อน แต่สาวเจ้าก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อีกพัก ก่อนจะค่อยๆ ก้าวไปยังเด็กชายตัวน้อย ที่นั่งขดอยู่กลางสะพาน
จากคุณ |
:
pormare
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ธ.ค. 54 22:39:34
|
|
|
|