เทย์กำลังเซ็งชีวิต
ว่าอีกที จะว่าเซ็งชีวิตก็ไม่ใคร่ถูกนัก เพราะตอนนี้สภาพของชายหนุ่มจะเรียกว่ามีชีวิตก็ไม่ได้ จะเรียกว่าไม่มีชีวิตก็ไม่ได้เหมือนกัน เพียงวิญญาณออกจากร่างแต่ยังไม่ได้ตายจริง อย่างไรก็ตาม เอาเป็นว่าเขาเซ็งมาก ตลอดจนกำลังคิดว่าปีนี้ต้องเป็นปีซวยของข้า ตั้งแต่ยังไม่สิ้นปีที่แล้วก็มีแต่เรื่องซวยบัดซบตลอดเวลา
ชายหนุ่มมองร่างกายตน...เขาถูกพันธนาการ ตั้งแต่คอลงไปจรดปลายเท้ามีบางอย่างคล้ายด้ายบาง ๆ พันไว้หลวม ๆ บังคับไม่ให้ใช้ทั้งพลัง และไม่ให้ขยับเขยื้อนได้ อนึ่ง นอกจากถูกมัดตราสังข์แล้ว เขายังถูกเอามาไว้บนยอดหอคอยซึ่งถูกเรียกว่าเสาค้ำโลก เสานี้ก็สูงอย่างไร้สาระยิ่งกว่าหอไอดา ทั้งยังเป็นแท่งเฉย ๆ ไม่มีทางลง คนแจวเรือที่เอาเขามาบอกว่าทางขึ้นลงได้อยู่ในหอเท่านั้น ไม่มีทางจากข้างนอกใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นประตูที่ข้างล่าง ถ้าเทย์อยากจะหนีก็เชิญกระโดดลงไปได้ เขาก็อยากเห็นเหมือนกันว่าตกจากแถวนี้แล้ววิญญาณจะแตกสลายหรือเป็นอะไร ว่าไป...คนแจวเรือท่าอยากเห็นจริงอย่างว่า เพราะตั้งแต่เอาพ่อมดมาไว้ที่นี่ เขาก็นั่งเอาพายพาดไหล่อยู่อีกด้าน ไม่ไปไหนเลย
"ว่างนักหรือไงวะ มานั่งเฝ้าข้า" พ่อมดที่โกรธเต็มทีขู่ฮื่อใส่
"วิญญาณที่ฝั่งน้ำพวกนั้นหรือ ทิ้ง ๆ ไว้เถอะ ได้สักแสนสองแสนเมื่อไรท่านจ้าวแห่งความตายคงอยากสร้างสะพานให้ข้าเอง" คนแจวเรือไม่สนใจ
"ท่านจะได้ตกงานไปเป็นผี( ^o^ )ในนรกแทนสินะ"
"ข้าจะได้เป็นคนเฝ้าสะพาน" อีกฝ่ายทำท่าอารมณ์ดี "งานสบายแถมเท่ดี"
"เท่ตายไปคนเดียวเถอะ"
"ข้าก็ตายอยู่แล้วไง"
เทย์ไม่มีอารมณ์จะเถียงต่อ เลยบูดสนิทเงียบไป
ว่ากันตามตรง...ตอนมาถึงที่นี่เขาไม่ได้มีสภาพบัดซบขนาดนี้หรอก ตอนนั้นที่ลงมาได้ เขาพบเจ้าพนักงานใหญ่ทั้งสามคนดักรออยู่แล้ว ว่าอีกอย่างคือพอโซลโทเป็นอย่างนั้นลงมา คนที่ทำงานอยู่ก็ต้องหาทางระวังไว้ เทย์จึงเพียงถูกกันไม่ให้ทำอะไรได้ ...และถูกสนใจ จริง ๆ แล้วคือถูกสนใจมากทีเดียว
"เจ้านี่หรือชื่อเทย์ เฮเบล" คนแจวเรือบอกเป็นคำแรกตอนพบหน้ากัน "ที่แม่หนูวิดาบอกว่านิสัยไม่ดี สกปรกไม่ชอบอาบน้ำ แถมยังขี้โกง"
"ฮะ" คนถูกว่าทีเดียวสามกระทงซ้อนตั้งตัวไม่ทัน
"อย่าห่วงไป พวกเรารู้จักเจ้าดี แม่หนูวิดาเผาเจ้าไว้เกรียมกรมทีเดียว"
วิดามอรีตายลงมาที่นี่ตั้งแต่เล็ก เมื่อลงมาบ่อยนักก็เห็นพวกเจ้าพนักงานเป็นท่านลุงท่านอา เธออยู่วิทยาลัยกินนอนตั้งแต่ห้าขวบ เรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถเล่าให้เพื่อน ครู หรือพ่อแม่ฟังได้ แม่มดดำก็เล่าให้พวกเจ้าพนักงานโลกแห่งความตายฟัง ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงความชั่วร้ายของเทย์ เฮเบลจึงกระฉ่อนมาตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแล้ว ไม่ว่าเรื่องโฉดชอบรังแกอะไร ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยตั้งแต่เขาชอบดึงผมเธอ เอากิ้งกือโยนใส่ ไปจนถึงเรื่องเธอรักเขาแต่ไม่รู้จะบอกอย่างไร ไม่รู้จะบอกดีหรือไม่ ล้วนแจ้งใจทุกคนแถวนี้ดี
"ฟังจากปากคำของเธอ" นายพรานลูบคาง "เจ้ายังหน้าตาดีกว่าที่พวกเราคาดไว้มากทีเดียว"
...สรุปยายเอ๋อบรรยายข้าไว้ยังไงวะเนี่ย...เทย์เริ่มคิดในใจ
เมื่อยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรมากกว่านั้นได้ พ่อมดจึงจำต้องปล่อยให้บรรดาญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง (?) ทั้งหลายสัมภาษณ์ตนจนสะใจ ตลอดเวลานั้น ชายหนุ่มพยายามจะลากเรื่องให้ไปออกที่ไอ้ขอรับให้ได้ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะคิดไม่พูดอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าพ่อมดจะเพียรลากไถเอาสีข้างเข้าถูอย่างไร ก็ไม่มีใครหลุดให้เขาได้ เจ้าพนักงานทั้งสามเพียงแต่บอกเขาว่าต้องรอ ไม่มีทางทำอะไรได้ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรล้วนขึ้นกับตัวโซลโท เอชานเอง
หลังจากนั้น...บางทีคงเพราะทุกคนไว้ใจเขาง่ายไปหน่อย เทย์จึงถูกปล่อยไว้ บอกว่าหากอยากไปไหนก็ไป เมื่อถึงควรกลับจะมีคนมาเรียกตัวกลับเอง พ่อมดเจออย่างนั้นย่อมร้อนใจ เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะพบโซลโท จึงจะลากคอไอ้ขอรับขึ้นไปด้วยกันได้ อนึ่ง เมื่อเทย์ร้อนใจแล้วย่อมชั่วขึ้นหลายสิบเท่า เจ้าพนักงานปล่อยเขาไปไม่ทันลับตา พ่อมดก็เริ่มก่อวินาศกรรมทันที
เขาอาละวาดน่าสนใจมาก ที่จริงหากไม่ใช่เพราะทำให้ปั่นป่วนกันอย่างหนัก พวกเจ้าพนักงานคงมีเรื่องเล่าไปอีกสักแสนปี พ่อมดไม่มีความเจียมเนื้อเจียมตัวว่าตายแล้วแต่อย่างใด เขาถือว่าตัวยังไม่ตาย ใครจะทำไม ไม่ว่าทำบาปอะไรไว้ รอให้ตายจริงอีกทีแล้วค่อยมาใช้แล้วกัน
เขาบรรจงไปแหกห้องสลายวิญญาณออกมา...ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แถมยังโรยเกลือใส่ตัวกินวิญญาณดูว่ามันจะหดเหมือนทากไหมอีกต่างหาก เขาเข้าไปในห้องยา ทำลายยาที่ทำให้กินแล้วลืมอดีตหมดสิ้น เขาก่อการร้ายทาสีทับผนังกำแพงโชคชะตา และสุดท้ายไม่มีใครทราบว่าชายหนุ่มหลุดเข้าไปในทุ่งวิญญาณรอเกิดใหม่ได้อย่างไร แถมยังแทบจะปลุกระดมวิญญาณในนั้นให้ก่อกบฏได้อีกต่างหาก สรุปแล้วคือพ่อมดก่อวีรเวรไว้มากพอจะตกนรกอเวจีไปอีกแปดแสนปี...ภายในเวลาไม่ถึงสองวันบนโลก พวกเจ้าพนักงานเลยใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดจับเขาพันธนาการ เอามาทิ้งไว้ที่นี่เอง
"ที่จริงแต่แรกก็คิดว่าจะพาเจ้ามาดี ๆ" คนแจวเรือกอดอก "แต่แบบนี้ไม่ไหวว่ะ รออยู่ที่นี่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวไปแล้วกัน"
คนถูกสั่งให้เจียมเนื้อเจียมตัวพองขนแยกเขี้ยวตอบทันที
แต่ต่อให้เทย์ฉลาดกว่านี้ ชั่วร้ายกว่านี้ เขาก็นึกไม่ออกว่าตนจะหนีจากพันธนาการ และลงไปจากแท่งเสานี้อย่างไรได้ พ่อมดเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ในโลกที่มีแต่ยามบ่ายแก่ ๆ เช่นนี้ เทย์เดาไม่ถูกว่าเวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว เขาทราบเพียงว่าตราบใดที่ตนยังอยู่ที่นี่ ไม่กลับไป และไม่กลายเป็นวิญญาณตายจริง ๆ ก็แสดงว่ายังไม่ผ่านสามวัน และไอ้ท่านชายยังไม่กลับมา
...ไอ้ขอรับจะเป็นอย่างไรบ้าง เกิดอะไรขึ้นกับมัน...
พ่อมดรู้สึกกลัว เมื่อสุดท้ายดิ้นรนจนไม่รู้จะดิ้นอย่างไรแล้ว เขาก็นิ่งไป ความกลัวกลับขึ้นมา...ความรู้สึกเกี่ยวกับความสูญเสียและความตาย เขาไม่รู้ว่าจากนี้จะเป็นอย่างไร ไม่รู้จริง ๆ
พอเทย์เงียบไปพักใหญ่ คนแจวเรือก็เอ่ยขึ้น
"ถ้าหากว่าทุกอย่างเป็นไปได้ดี โซลโท เอชานจะมา" เขาว่า
พ่อมดที่ใกล้จะตัวสั่นแล้วเบิกตา เงยหน้าขึ้นทันที นั่นเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงไอ้ขอรับให้เขาได้ยิน
"จ้าวแห่งความตายเพิ่งบอกพวกเรา ว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณของเขา" อีกฝ่ายบอกต่อไป "แต่เรื่องนั้นข้าคิดว่าหากโซลโทมาถึงจริง เขาจะบอกเจ้าเองว่าอะไรเป็นอย่างไร เพียงแต่ตอนนี้เจ้าเองทราบไว้ก็พอแล้ว...ดีที่เจ้ามาที่นี่ เพราะถ้าหากเจ้าไม่มา และโซลโทสามารถกลับได้ เราจะต้องใช้วิธีที่อันตรายกว่านี้ส่งเขากลับไป"
"ไอ้ขอรับ..." เทย์เอ่ยในที่สุด "มาที่นี่ได้อย่างไร"
"หากว่าโซลโทผ่านมาได้" คนแจวเรือพูดคล้ายไม่ได้ยินคำถามของชายหนุ่ม "เขาจะมาที่นี่ เจ้าจะได้กลับไปด้วยกัน แต่ถ้าหากผ่านไม่ได้ เจ้าจะกลับไปคนเดียว อีกสามชั่วโมงบนโลกก็จะครบสามวัน...ต้องดูด้วยว่าเอลาซ ลาซูลีจะกลับมาทันหรือเปล่า"
"เกิดอะไรขึ้นกับไอ้ขอรับกันแน่" ชายหนุ่มร้อง
"รอไป" คนแจวเรือบอก นำนาฬิกาทรายมาตั้ง "หากเขาไม่มาภายในเวลานี้ ก็อย่าหวังอะไรอีกเลย ไม่มีความหวังใด"
เทย์มองนาฬิกาตรงหน้าตาค้าง มันเห็นนาฬิกาเล็ก ๆ ...คล้ายกับเรือนที่เคยอยู่หน้าห้องสลายวิญญาณ ทรายในนั้นเป็นทรายหลากสีมากมาย แต่ละเม็ด แต่ละเม็ดกำลังไหลลงไป ไหลลงไป ผ่านคอคอดแคบเล็ก ลงสู่ด้านล่างช้า ๆ
เขาคิดจะพูดอะไรอีก...หลอกถาม หรือหาทางก่อการร้ายฆาตกรรมคนแจวเรือก็ได้ แต่สุดท้ายเทย์ขยับตัวไม่ได้ เขามองนาฬิกา เวลาผ่านไป ไม่รู้ว่าช้าหรือเร็วกันแน่ เพียงแต่มันชวนให้รู้สึกใกล้เสียสติอย่างช่วยไม่ได้ การรอคอยมันนำความรู้สึกแบบนี้มา
สุดท้าย ผ่านไปนาน...นานมากในความรู้สึก เทย์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า มันเบา...ไกลมากจนเกือบไม่แน่ใจว่าได้ยินหรือไม่ ครั้นแล้วฝีเท้าก็ใกล้เข้ามา ช้า ๆ ค่อย ๆ ย่ำขึ้นบันไดหิน เห็นได้ชัดว่าคนปีนกำลังลากเท้า ใกล้จะสิ้นกำลังอยู่แล้ว ทีละชั้น ทีละขั้น ใกล้เข้ามาทุกที
...
ตอนแรกโซลโทไม่เห็นแสงสว่าง เขาไม่เห็นอะไรสักอย่างตลอดทางที่ปีนขึ้นหอนี้มา แม้บางทีจะรู้สึกเหมือนอะไรแวบ ๆ เหมือนกัน แต่ไม่แน่ใจ และภายหลังก็จะไม่ได้ด้วยว่าเห็นหรือไม่เห็นอะไร
เขาว่าหอนี้ต้องสูงกว่าหอไอดา...ต้องสูงกว่าแน่ ๆ เพราะเหนื่อยกว่ามาก แต่เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่ตนเห็นหอ แล้วปีนไปถึงชั้นยี่สิบเก้าโดยไม่มีวงเวท ก็เหนื่อยเหมือนกัน ว่าไปแล้วเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหอนี้ไม่มีวงเวท ไว้คราวหน้าเขาพบนายทะเบียน หรือจ้าวแห่งความตาย น่าจะบอกไว้สักหน่อยกระมัง
เขาปีนนานมาก ปีนจนชา สุดท้ายจึงเริ่มเห็นแสงสว่างราง ๆ ชายหนุ่มใจชื้นขึ้นทั้งที่ตาลายจะตายอยู่แล้ว เขาตะเกียกตะกายไป เอื้อมมือถึงแสงสว่างจนได้ ใครบางคนคว้ามือเขาไว้ ลากขึ้นมา
"เฮ้ย ไอ้ขอรับ" เสียงคุ้น ๆ ดังอยู่ใกล้ตัว "เป็นอะไร ไหวไหม"
โซลโทหรี่ตาท่ามกลางแสงนั้น เขาว่าเขาเห็นเทย์ และก็เห็น...บันได มีบันไดโปร่งใสทอดขึ้นจากพื้นตรงยอดหอ สูงขึ้นไปถึงท้องฟ้า ลับไปในเมฆยามบ่ายของแดนแห่งความตาย
"ท...เทย์" โซลโทที่สยองชวัญเป็นกำลังหอบจนจะพูดไม่ได้ "ข้า...ข้าไม่เอาบันไดแล้ว"
"ไม่เอาน้องสาวข้าจะเป็นม่ายนะเว้ยเฮ้ย รีบลุกขึ้นมา"
พอได้ยินชื่อเรนา ท่านเจ้าของร้านที่ใกล้จะตายอีกรอบอยู่แล้วก็เกิดแรงสำรองเหลือขึ้นมา เขาตะเกียกตะกายลุกจนได้ เห็นคนแจวเรือยึดร่างตนไว้ด้านหนึ่ง และเทย์ยึดไว้อีกด้านเช่นกัน
"ข้า...ยังไม่ได้แต่งงานกับเรนา" ชายหนุ่มท้วงตะกุกตะกัก
"เออ ขึ้นไปได้จะได้แต่ง" พ่อมดถอนใจ จับแขนเขาพาดบ่าไว้ "ไป ขึ้นไปด้วยกัน จะได้เจอยายนานา"
โซลโทไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากนั้นตนขึ้นไปได้อย่างไร เพียงจำได้ว่าพอถึงขั้นสุดท้าย ก็มีใครบางคนยึดหลังคอเสื้อเขาไว้ ลากตัวขึ้นไป
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกตัวอีกทีที่ร้านเอชาน
จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ธ.ค. 54 22:24:18
|
|
|
|