Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กีฏมนตรา บทที่ 38 ติดต่อทีมงาน

มาถึงตอนที่ 38 แล้วนะครับ
ขอบคุณเพื่อน ทุกท่าน และกิฟต์จากคุณกุหลาบมอญ, คุณแก้วกังไส,คุณนุ้ย นารีจำศีล, คุณTravel to the moon, คุณมานีโอลา, คุณ รพิชา,คุณ mimny, คุณไก่kdunagin, คุณ Hermosa, คุณมนSetakan,คุณ wor_lek, คุณเรียวรุ้ง, และคุณอินทรายุธ ครับ

สำหรับตอนที่ผ่านมานะครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11493979/W11493979.html

เชิญติดตามต่อได้เลยครับ

บทที่ 38


           “เหมวดี...”


            บนเนินผาแห่งนั้น ธุมชาลอุทานเสียงแผ่วเบา ร่างนั้นคล้ายโปร่งแสงตามร่างของจันผาและคาเรนไปเรื่อยๆ เมื่อนั้นเอง เขาจึงรับรู้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญหน้ามิใช่เรือนกายแห่งมนุษย์อีกต่อไป


          ในม่านฝนพร่าขาวเย็นยะเยือกยิ่งทำให้เรือนร่างนั้นคุมสภาพเป็นเรือนกายมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้น้อยลงทุกขณะ


            อาจารย์หนุ่มพยายามควบคุมสติสัมปชัญญะตนเองเต็มที่ เพื่อจะ “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ”ในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อภาพปรากฏเบื้องหน้าค้านกับความรู้สึกของผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเขา... จนราวกับว่าศาสตร์ที่เคยสอนให้ยึดมั่นในสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ กลายเป็นนิทานหลอกเด็กไปในพริบตา


            ภูตผี... วิญญาณ ปีศาจ?


             อาจเป็นเพียงคลื่นพลังงานที่สายตาของเขาปรับจูนได้โดยบังเอิญ? หรือเป็นอำนาจของพรีออน อนุภาคมรณะที่กำลังออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท?


               “แม่ขา... เหมผิดไปแล้ว เหมผิดไปแล้ว เหมขอโทษ”


                 เรือนกายโปร่งแสงของเหมวดี ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่างกับกลายร่างเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เปล่าเปลี่ยวว้าเหว่ และหาทางออกไม่พบ นัยน์ตาฉ่ำชื้นปิดสนิท เหลือเพียงหยาดน้ำตาไหลพรากลงมาอาบสองแก้ม


              “เหมรู้ดีว่ามันผิด แต่เหมก็กล้าสารภาพกับแม่ เหมกลัว กลัวแม่จะรับมันไม่ได้”


                 บัดนี้ เขามองผ่านเข้าไปในภาพจำแลงเบื้องหน้า มันอาจจะเป็นสิ่งที่เหมวดีได้ “เห็น”มาก่อนหน้านี้แล้ว ในเวลาใดเวลาหนึ่ง


                 พบว่าเหมวดีกำลังมองเห็นภาพตัวเองกลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังสารภาพผิดกับมารดา ในวัยเยาว์แห่งชีวิตที่หล่อนมองแม่ไม่ต่างกับเทพเจ้าสูงสุด ผู้ที่สามารถดลบันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง และเทพเจ้าองค์นั้นไม่เคยรับฟังเหตุผลใดๆ จนหล่อนต้องกลายเป็น “นักสร้างเรื่อง”ขึ้นมาเองโดยตลอด


             หล่อนหลอกแม่ หลอกตั้งแต่การเรียนที่เป็นเลิศ ชนะเหนือทุกคนในห้องเรียน ทั้งที่ความเป็นจริงมันมาจากการลอกข้อสอบเพื่อน จนครูจับได้ในที่สุดก่อนจะเรียกผู้ปกครองไปพบ


              แม่ร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ไม่ว่าอะไรหล่อนเลยสักคำเดียว แต่สายตาปวดร้าวที่มองมา ไม่ต่างกับไม้เรียวที่หวดกระหน่ำจนเจ็บไปทั้งหัวใจ หล่อนสาบานกับตัวเองว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก...


                 เพราะเหมวดีเรียนรู้ที่จะ “หลอก”ให้แนบเนียนขึ้นกว่าเดิม หลอกทุกคนรอบตัวในสิ่งที่หล่อนอยากให้เป็น หลอกแม้กระทั่งการหลอกตัวเอง!


                ในเมื่อในความเป็นจริง หล่อนขาดไปหมดทุกอย่าง และไม่คิดว่าจะต้องเพียรพยายามเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ขาดมาด้วยวีธีการอันชอบธรรมใดๆ หนทางลัด นั่นต่างหากที่ง่ายกว่า สะดวกกว่า และมันคือทางเดินสำหรับคนฉลาดอย่างหล่อน


                ขอเพียงอย่างเดียว ให้คนที่แคร์ที่สุดในชีวิตอย่างแม่มีความสุข อยู่ในโลกของความเข้าใจเช่นนั้นไปโดยตลอด โดยไม่ต้องรู้อะไรเลยนั่นแหละ!


             เหมวดีเลือกใช้วิธีการเช่นนี้อย่างแนบเนียนและประสบผลมาตลอด โดยแม่ไม่เคยระแคะระคายอีกต่อไป


                   ตราบจนกระทั่งหล่อนยอมตกเป็นของบุรโชติ เป็นเครื่องมือให้กับเขา เพื่อแลกกับรสชาติทางกามารมณ์ที่ชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นปรนเปรอให้ แน่นอนว่าแม่ก็ไม่เคยรู้ เพราะแม่ตายไปด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่หล่อนเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ตายไปพร้อมกับความภาคภูมิใจว่าหล่อนสามารถหาเงินใช้ได้ด้วยตัวเอง ระหว่างการเรียนหนังสืออันแสนหนักหนาสาหัส


                  แต่ความเป็นจริงแล้ว รายได้พิเศษจำนวนมากเหล่านั้น ก็มาจากเงินอนุเคราะห์ของบรรดาชายสูงวัยทั้งหลาย ที่เหมวดียินยอมเอาตัวเองเข้าแลกมานั่นเอง


             แลกมากับกระเป๋าแบรนด์เนม โทรศัพท์มือถือราคาแพง หรือแม้แต่รองเท้าคู่สวยๆสักคู่ และที่สำคัญ แลกกับการหลอกลวงแม่ ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต หล่อนเข้าใจว่าทุกอย่างสามารถปลดเปลื้องออกไปได้หมดสิ้นแล้ว สลายลับจนไม่เหลือซากความทรงจำ เหมือนกับร่างของแม่ที่ถูกฌาปนกิจไปกับกองไฟ เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่เพียงลำพัง โดยไม่มีสิ่งใดติดค้าง ผิดบาปอยู่อีกต่อไป


                เหมวดีผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาแล้ว เมื่อเริ่มรู้จักกับบุรโชติ ต้องพยายามถนอมเนื้อตัวให้อวบอิ่มไร้ร่องรอยบกพร่อง เพื่อเติมเต็มความต้องการของเขาได้เต็มที่


              แต่แล้ว... ภาพของแม่กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้งในห้วงเวลานี้ ปรากฏเพื่อให้เชื่อว่าแม่ยังอยู่ และล่วงรู้ถึงความเลวทุกอย่างที่เคยหลอกลวงแม่มาโดยตลอด


                 เหมวดีรับไม่ได้... เพิ่งตระหนักขึ้นมาในบัดนั้น ว่าหล่อนกลัว...


               ภาพในจินตนาการแห่งอดีต กำลังถูกพลังที่มองไม่เห็น กำหนดให้เปิดเครื่องรับออก แล้วบังคับให้ชมภาพแห่งความทุกข์ทรมาน เสมือนปมบาปอันมิอาจคลี่คลาย


               สีหน้าของแม่แย้มยิ้มด้วยความสุข ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นผิดหวังสุดขีดเมื่อล่วงรู้ความจริง


             หญิงสาวสะอึกสะอื้นจนแทบไม่มีน้ำตา เป็นภาพที่เวทนายิ่งนักเมื่อธุมชาลมองเห็นในมุมของเขา และชายหนุ่มก็นึกถึงกีฏยาขึ้นมาพร้อมกัน


                  สมองของดอกเตอร์หนุ่มผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์แห่งแมลง กำลังประมวลผลทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เหตุผลทางตรรกะของตนเองจะพึงมี และเขาก็คิดว่าสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นนั้นมีที่มา...


                   แท้จริงแล้ว ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้หญิงคนนั้น กีฏยาหรือพลังอำนาจลึกลับใดๆเลย  กลไกของสมองที่ถูกดึงอดีตให้ย้อนกลับ มีผลมาจากสิ่งที่คาเรนได้สร้างมันขึ้นมานั่นเอง สิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วที่มีพลานุภาพในการแทรกสอดตัวของมันเข้าไปภายในเซลล์สัตว์เป้าหมายแล้วแปรสภาพ เพื่อควบคุมหรือผลิตสารชีวภาพขึ้นมาภายในร่างของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น


                 พรีออนสังเคราะห์!!


              เพื่อการสร้างผีเสื้อเรืองแสง...


                    บางทีมันอาจจะเกิดการกลายพันธุ์บางอย่างที่เกิดขึ้น แล้วก่อให้เกิดพยาธิสภาพแก่มนุษย์ที่ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตเป้าหมายนั้นตั้งแต่แรก...


                 ภาพหลอน ภาพมายา ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของพรีออนสังเคราะห์ ต่อเซลล์สมอง ไม่ใช่เกิดขึ้นจากวิญญาณใดๆ


                 ชายหนุ่มพยายามทบทวนด้วยสติสัมปชัญญะและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่เล่าเรียนมา แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นจะเหลือเชื่อเกินกว่าจะหาตรรกะใดมาอธิบาย


               รวมถึงอาการของเหมวดี ที่ไม่ต่างกับนงลักษณ์ เลยแม้แต่น้อย...


               “แม่จ๋า หนูขอโทษ... หนูผิดไปแล้ว”


                   ภาพในจินตนาการของเหมวดี หล่อนมองเห็นใบหน้ากราดเกรี้ยวของผู้เป็นมารดายืนชี้หน้า พร้อมไม้บรรทัดในกำมือ หล่อนเคาะมันเบาๆระหว่างหรี่ตามองเด็กหญิงที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่เบื้องหน้า


               “แก... นังเด็กสารเลว มาให้ฉันลงโทษซะดีๆ”


                “หนู.. หนู”


             “ทำไมแกถึงไปนอนกับไอ้ผู้ชายพวกนั้น? สำส่อน!”


               “หนูอยากหาเงินให้แม่ แม่ก็รู้ว่าเราต้องการเงินใช้จ่าย ตอนนี้หนูขอทุนเรียนไม่ได้ แล้วหนูก็ไม่อยากให้แม่ลำบากอีก”


            หล่อนกรีดร้องออกไป และแม่ก็ยกไม้บรรทัดขึ้นชี้หน้า


               “ไม่ต้องโกหก! แกไม่ต้องมาอ้างความกตัญญูกับฉัน แกไม่เคยมี และไม่มีวันจะมี เป็นเพราะความโลภของแกต่างหาก เหมวดี เพราะแกคนเดียวเท่านั้น!!”


              “หนู...”


              หล่อนพูดไม่ออก พยายามเอ่ยเสียงตะกุกตะกักและสั่นพร่า แตกต่างจากบุคลิก “สาวมั่น” เหมือนอย่างที่ทุกคนเคยเห็น ใบหน้าแม่อ่อนแสงลงเล็กน้อย หล่อนเคาะสันไม้บรรทัดกับฝ่ามืออีกข้างเบาๆเป็นเชิงขู่แกมปลอบประโลมไปพร้อมกัน


          “แต่เอาเถอะ... เมื่อแกยอมรับสารภาพ ฉันก็จะลงโทษพอให้ได้หลาบจำเท่านั้น”


            “แม่จะยกโทษให้หนูแล้ว ใช่ไหมจ๊ะ หนูไม่อยากให้แม่โกรธ หนูรักแม่...”


              หล่อนพึมพำด้วยความปิติกับความเวิ้งว้างของอากาศอันว่างเปล่า เห็นแม่พยักหน้า และกวักมือเรียก


               “มาสิ เหมวดี มาหาแม่ ให้แม่ตีแกแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น... มา!”


             แม่ยิ้มกระตุกที่มุมปาก


              “แม่จ๋า...”


                 และพริบตานั้นเอง ในสายตาของธุมชาล เขามองเห็นอีก “ฉาก”หนึ่งซ้อนทับขึ้นมา คล้ายภาพในฟิล์มภาพยนตร์ที่ซ้อนเหลื่อมกัน มันคือระเบียงหอพักแห่งหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นห้องของเหมวดีนั่นเอง หญิงสาวในสภาพเลื่อนลอยไร้สติ ก้าวออกไปยืนอยู่บนระเบียงแต่เพียงเดียวดาย


                  นัยน์ตาว่างเปล่าเบิ่งมองไปเบื้องหน้าสู่ภาพที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น แล้วยื่นมือออกไป ค่อยก้าวข้ามขอบปูนที่กั้นเอาไว้ จนถึงปลายสุดของพื้นซีเมนต์


                 จากนั้นก็หล่นร่วงละลิ่วลงไปสู่พื้นศิลาเบื้องล่างทันที!


               “เหมวดี อย่า!!”


                 วูบนั้นเขาเผลอร้องตะโกนออกไปหากถูกกลบด้วยสรรพเสียงอื้ออึงด้านหลัง มันเป็นเสียงปีกขยับบินประสานกันของกลุ่มผีเสื้อนับร้อยพันที่ตัวพุ่งขึ้นมาจากฐานใต้ศิลาที่เขายืนอยู่นั่นเอง หลายตัวป่ายสะเปะสะปะปะทะใบหน้าชายหนุ่มจนเสียหลัก แล้วจากนั้นก็รู้สึกถึงพื้นหินที่รองรับร่างตัวเองอยู่หลุดตามลงไปด้วยเช่นกัน

                      ************************


                   หมู่บ้านผาติ้วทั้งหมู่บ้านกลายเป็นหมู่บ้านร้างในชั่วพริบตา แสงไฟที่สว่างวอมแวมจากเรือนแต่ละหลังเริ่มทยอยดับวูบลงทีละดวง ทีละดวง ไม่ต่างกับดาวดับแสงบนฟากฟ้า ในชั่วเวลาพริบตาทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืดสนิทเหมือนอยู่ในก้นบึ้งขุมนรก


                 ทิพย์มณีหลับนัยน์ตาแน่น ร่างกายสั่นสะท้าน ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นอีกแล้ว  สังหรณ์ส่วนลึกบอกว่าเฒ่าแสงคำกำลังยืนประจันหน้าอยู่ไม่ได้หายจากไปไหน และภาพสยดสยองก่อนหน้ายังปรากฏเต็มนัยน์ตา


                   ลำแขนตลอดจนถึงข้อมือของพ่อใหญ่แสงคำเมื่อครู่ ไม่ใช่เนื้อหนังของมนุษย์ แต่เป็นเพียงโครงกระดูกโครงหนึ่งเท่านั้น


                “อย่า... เข้ามา หนูกลัวแล้ว หนูกลัวแล้ว...”


                  “ไม่มีใครทำอันตรายใดๆแก่หนูได้หรอก ยกเว้นใจของตัวเราเอง!”


                เสียงแผ่วเบาดังมาใกล้เสียจนแทบเหมือนเสียงกระซิบข้างหู แต่หล่อนไม่ต้องการฟังอีกต่อไป สติเพริดกระจายไปเสียแล้ว เมื่อตระหนักว่าอยู่เพียงลำพัง ภายในหมู่บ้านร้าง ปราศจากมนุษย์แม้เพียงสักคนเดียวนอกจากตัวเองเท่านั้น


               นักศึกษาสาวพึมพำเสียงปร่าโหย ความอ่อนเพลียและหวาดกลัวที่ปราดเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วทำให้ไม่สามารถทานรับสภาพเบื้องหน้านั้นได้อีกต่อไป


                ทิพย์มณีผู้เคยเข้มแข็งและเป็นหัวโจกให้กับเพื่อนทุกคน เพิ่งรู้ว่าตนเองมิใช่คนกล้าหาญใดๆเลยในขณะนี้ แท้จริงแล้วหล่อนมีความอ่อนแอ หวาดกลัวซุกซ่อนเอาไว้ และอำพรางเปลือกภายนอกด้วยความก้าวร้าวเหมือนแกร่ง แต่แท้จริงแล้ว คือสภาพของเปลือกนอกที่เปราะและพร้อมจะปริแตกได้ตลอดเวลา...


               เด็กสาวยืนส่ายโงนเงนอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ร่างอรชรจะเอนล้มคว่ำลงกับพื้น สติสัมปชัญญะโบยบินออกจากร่าง


                กลุ่มภูตพรายในหมู่บ้านผาติ้วเลื่อนผ่านเข้ามารวมกันรายรอบร่าง มนุษย์เพียงคนเดียวที่ยังนอนหมดสติหายใจรวยรินเบื้องหน้า เหมือนรอคำสั่งจากบุรุษชราที่นัยน์ตาโศกสลด


              “ทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว... และเรามีหน้าที่เพียงแต่ให้มันดำเนินต่อไปเท่านั้น...ในสิ่งที่พึงเป็น”


                แสงคำเอ่ยเสียงเบาหวิว น้ำเสียงที่ไม่ต่างกับสายลมกระซิบคือคลื่นที่สะท้อนผ่านเวิ้งอากาศและสดับได้เพียงเหล่าเจตภูตด้วยกันเท่านั้น


                ทุกดวงวิญญาณกำลังสงบนิ่งรอคอย ไม่ใช่คอยร่างอรชรที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นเบื้องล่าง แต่เป็นอีกร่างอีกร่างหนึ่งที่กำลังตรงปรี่ลงมาจากเนินเขาด้านบน ด้วยหัวใจอันมืดทมิฬและความกระหายอยากอันไม่สิ้นสุด


                   ของบุรุษผู้มีนามว่า บุรโชติ!!

                 ************************


             ธุมชาล เชษฐภักดีรู้สึกเหมือนร่างของตนเองถูกธรณีสูบวูบดิ่งลงไปในพริบตา!


              เขาไม่ได้สนใจเสียงปีกกระพือไหวรอบด้านระหว่างร่างหล่นละลิ่วลงมา หากแต่รีบคว้าแง่งหินที่อยู่ใกล้มือที่สุดเอาไว้เพื่อเหนี่ยวตัวเอง แต่แล้วมือข้างนั้นก็ป่ายพลาด มันตะปบถูกแง่งหินคมกริบและครูดมือจนต้องปล่อย และกลิ้งหล่นลงมาตามทางลาดชันในช่วงแรกด้วยความเร็วที่ไม่อาจคาดเดา


                 โชคดีที่ถัดจากพื้นหินเรียบชันที่มองเห็นแต่แรกลงมาสักระยะก็คือ แนวกิ่งไม้ที่ขึ้นตลอดแนวผาลดหลั่นลงไปตามลำดับ ผาหินที่เขาเข้าใจตัดตรงดิ่งลงมาในระดับเก้าสิบองศา แท้จริงยังเอนลาดโดยมีแง่งหินและต้นไม้ที่ขึ้นตามซอกหลืบคอยกันแรงกระแทกเอาไว้ในระดับหนึ่ง


                พยายามบังคับให้เคลื่อนผ่านลงมาให้ช้าที่สุด ในท่ามเสียงลมพัดอื้ออึง กิ่งไม้ที่ยื่นผ่านออกมาจากเชิงหินตีปะทะตามเนื้อตัวจนแสบชาก่อนจะเปลี่ยนเป็นความร้าวรวดเมื่อร่างหล่นลงมาปะทะ และไหลกลิ้งลงไปเป็นทอดๆตามแนวหินชันหยาบกระด้าง
ความตายมันอยู่ใกล้เสียจนแทบจะเอื้อมคว้าเอาไว้ได้ แต่ดอกเตอร์หนุ่มก็มิได้คะนึงถึงในข้อนั้น


                   พอกันที!


                    อยากให้ทุกอย่างจบสิ้นลงเสียที ชายหนุ่มหลับนัยน์ตาลง เจ็บวูบขึ้นในจังหวะหนึ่งเมื่อแรงกระแทกของศีรษะปะทะเข้ากับก้อนหินที่ขวางเอาไว้พอดี แล้วร่างก็ไหลผ่านความมืดทึบรกครึ้มของเถาวัลย์เหล่านั้นลงมาเรื่อยๆ สติของเขาดับวูบไปชั่วขณะ ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นสู่สมองจนพร่าพราย ก่อนที่จะได้ยินเสียงกรีดร้องของใครคนหนึ่งอยู่ข้างกาย เสียงที่ปลุกให้ดอกเตอร์หนุ่มแทบจะลืมนัยน์ตาขึ้นทันที


                  เกตุมาลา...

             ************************


                    “อาจารย์ชาล... อาจารย์จริงๆด้วย เกตุไม่ได้ฝันไป”


                    ร่างของอาจารย์หนุ่มในความฝันแห่งวัยสาวปรากฏขึ้นอีกครั้งต่อหน้าหล่อน ชั่วพริบตาของการเลื่อนไหลออกจากห้วงภวังค์ที่กีฏยาสร้างขึ้น ราวกับหญิงสาวผู้นั้นดลบันดาลให้ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุสำหรับทดสอบความเข้มแข็งของจิตใจก้าวเข้ามาพิสูจน์ความเป็นจริงต่อหน้าต่อตาในเวลาเดียวกัน


                  คราวนี้มิใช่เป็นความเพ้อฝันไร้สาระอีกต่อไป ใบหน้าคมคายงดงามสมชายชาตรียืนประจันอยู่ต่อหน้า บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเศษฝุ่นดิน ใบไม้และเลือดจนหมองคล้ำ มิใช่เรียบหรูภูมิฐานเฉกเดิม


                  เขาก้าวเข้ามาหา ทำเหมือนอยากจะโอบร่างหล่อนเข้ามาแนบอกด้วยความห่วงใยเต็มปรี่ แต่ก็หยุดชะงักไว้เมื่อเห็นท่าทางและสายตาที่มองตรงมา มันทำให้ธุมชาลรู้ว่า เกตุมาลาก็ได้ “เห็น”ความจริงในตัวของเขาแล้ว ความจริงที่เขาเคยอยากจะปิดบังเก็บซ่อนมันเอาไว้ ภายใต้ตัวตนอันสมบูรณ์พร้อม


                “เกตุ...”


                 ธุมชาลเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า น่าประหลาดที่สภาพของดอกเตอร์หนุ่ม ทำให้เกตุมาลาเริ่มสับสนลังเลอีกครั้ง หล่อนถอยห่างเขาไปอีกก้าวหนึ่ง แม้จะเกิดความยินดีที่ได้พบกันในห้วงเวลานี้ก็ตาม


                 ดอกเตอร์ธุมชาลกัดฟันแน่นข่มความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจนแทบคุมสติไว้ไม่ได้ เขาฝืนเพ่งสายตามองตรงมาด้วยประกายตาที่อ่านมันออกชัดเจน


            ด้วยกระแสของความห่วงหาและอาทร!


             เป็นห่วงมากกว่าอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับตัวเอง...


                  นี่ย่อมไม่ใช่เปลือกนอกของอาจารย์หนุ่มผู้ทรงภูมิ ไม่ใช่เรือนกายสง่างาม กลิ่นหอมกรุ่นด้วยอาฟเตอร์เชฟหรือเครื่องประทินโฉมเพื่อเสริมส่งบุคลิกภาพให้ประทับตาตรึงใจอีกต่อไป แต่เป็นชายหนุ่มธรรมดาๆเพียงผู้หนึ่งที่พยายามฝืนยืนหยัด เพื่อจะลุกขึ้นให้ได้ด้วยกำลังแห่งตัวเอง


             และกำลังจะเอาชนะปมที่เคยผูกมัดตัวตนในอดีต โดยที่เจ้าตัวได้แต่ซุกซ่อนเก็บสิ่งนั้นเอาไว้ให้ลึกที่สุด


             ซึ่งไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง...


             สายตาคมกล้า ไม่พรั่นพรึงบอกกับหล่อนเช่นนั้น


              “เกตุ... มาหาผม”


               ธุมชาลผายมือออก มิได้มีท่าทีคุกคามหรือเร่งเร้า แต่เป็นการรอคอยให้หล่อนเป็นฝ่ายตรงเข้ามาด้วยตัวเอง ขณะที่เกตุมาลากำลังตัดสินใจ และมองผ่านเข้าไปยังดวงตาแจ่มจรัสคู่นั้น ด้วยประกายตาเช่นเดิมที่เคยเห็นไม่แปรเปลี่ยน สายตาที่ไม่อาจหลอกลวงหรือเสแสร้งปรุงแต่งได้เหมือนกับองค์ประกอบส่วนอื่น


               และสายตาทั้งคู่ ก็เบนตรงไปยังอีกตำแหน่งหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง เกตุมาลาตระหนักขึ้นมาในทันที


                 ร่างของกีฏยา กำลังรอคอยการเผชิญหน้านั้นอยู่แล้วเช่นเดียวกัน มองเห็นเขาขบกรามเป็นสันแนบแน่นด้วยความรู้สึกภายใน


               “คุณไม่ใช่ความจริงใช่ไหมกีฏยา? จริงๆแล้วคุณไม่มีตัวตนใดๆทั้งสิ้น นอกจากเป็นเพียงภาพหลอนที่เกิดขึ้นเองในความรู้สึกเท่านั้น”


                  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มห้าว มันมีกังวานของความเยือกเย็นมุ่งมั่น อย่างมีสติระลึกรู้ ในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ใช่ “ความพยายาม”ที่จะเป็นเหมือนกับทุกครั้ง ความเยือกเย็นที่เกิดขึ้นจากการควบคุมตัวเอง รู้ทิศทางและเป้าหมายที่จะทำ เป็นสิ่งที่จิตใจส่วนลึกกำหนดขึ้นได้ด้วยตัวเองเท่านั้น


               “แต่คุณก็มองเห็นตัวของฉันไม่ใช่หรือธุมชาล เห็นเหมือนกับที่ทุกคนได้เคยเห็นมาแล้ว”


                หล่อนตอบช้าๆเป็นเชิงย้อนคำพูดนั้น เหมือนเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมเอาไว้ ร่างสูงเพรียวยืนสงบนิ่งในขณะเดียวกันก็รักษาระยะห่างจากเขาเอาไว้ในระดับหนึ่ง


                  ระหว่างการสนทนาเขาพยายามไม่กระพริบตา ไม่ต้องการให้ร่างอรชรที่มองเห็นสลายวับในทันทีที่เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พยายามจะเชื่อในสิ่งที่เห็นทั้งที่ไม่เคยมีในบทเรียนของการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ใดๆมาพิสูจน์...


                 “แต่คุณก็เป็นพียงภาพหลอนที่ถูกสร้างขึ้นจากการทำงานของพรีออนใช่ไหม? มันคือพยาธิสภาพแบบหนึ่งที่มีผลต่อกลไกของระบบประสาท ไม่ใช่ความเป็นจริงเลยสักอย่างเดียว”


             รอยยิ้มนั้นยังค้างเอาไว้บนใบหน้าเหมือนขบขันต่อข้อสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์ที่ยึดประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นสรณะ ในขณะที่ธุมชาลก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นพลางเอ่ยด้วยเสียงเข้ม


                    “คุณเป็นเพียงมายาภาพเท่านั้น กีฏยา!”

                ************************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 54 16:13:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com