Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Time Travelers ตอนที่ 2 [Fantasy] ติดต่อทีมงาน

Time Travelers
บทนำ+ตอนที่1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11505582/W11505582.html

- - - - - - -

[Rule of Time Travelers 2] กฎของการเป็นนักท่องกาลเวลาข้อที่ 2 – ชีวิตของคู่หูสำคัญเหมือนชีวิตของตนเอง



 ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ หรือทีเร็กซ์ เป็นสัตว์กินเนื้อที่มีชีวิตอยู่ในช่วงหกสิบแปดถึงห้าสิบห้าล้านปีก่อน ทีเร็กซ์เป็นหนึ่งในนักล่าที่ตัวใหญ่ที่สุดและยังเป็นนักล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร... ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสิบเก้าปี นอกจากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง ‘สวนไดโนเสาร์’ ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นสัตว์กินเนื้อยุคดึกดำบรรพ์ตัวเป็นๆด้วยสองตาของตัวเอง



และตอนนี้ทีเร็กซ์ไดโนเสาร์ขวัญใจของคุณหนูๆหลายคน กำลังจ้องมายังผมเหมือนกับผมเป็นอาหารในมื้อนี้ของมัน...



“กรร” เสียงคำรามดังจากลำคอของไดโนเสาร์ร่างยักษ์ ผมกับมันสบตากันอยู่ชั่วครู่ เหมือนเฝ้ารอว่าใครจะเป็นฝ่ายขยับตัวก่อนกัน หากพลาดเพียงชั่ววินาที...นั่นคงหมายถึงชีวิตทั้งชีวิต


ฉับ!


สัญชาติญาณสั่งให้ผมขยับร่างกายเบี่ยงหลบก่อนที่คมเขี้ยวของราชานักล่าขบลงในตำแหน่งที่เคยเป็นศีรษะของผม ดวงตาคู่กระหายหิวจับจ้องมาที่ผมไม่วางตา ผมเหลือบมองลำตัวส่วนบนของทีเร็กซ์ กล้ามเนื้อของมันขยับช้าๆ เป็นสัญญาณบอกว่ามันจะโจมตีอีกครั้ง ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์อ้า:-)ยจะกัดซ้ำลงมา ผมกระโดดหลบไปทางขวาพร้อมกับยกฝักดาบของท่านผู้อำนวยการกระทุ้งลำตัวของมันเต็มแรง แต่ร่างกายของทีเร็กซ์ไม่สั่นสะเทือน...การโจมตีของผมเบาไปจนไม่สามารถทำอะไรมันได้


จะหนีหรือจะสู้?


ผมกวาดตามองพร้อมกับประเมินสถานการณ์เบื้องหน้า ทางรอดของผมมีสองทางเท่านั้นระหว่างวิ่งหนีอย่างไร้ศักดิ์ศรีกับเข้าต่อสู้เพื่อชัยชนะอย่างไม่คิดถึงชีวิต...ที่นี่ไม่ใช่วิทยาลัยพาลลัส ผมจึงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายไปต่อสู้กับไดโนเสาร์ที่ขนาดตัวใหญ่กว่าผมหลายเท่า เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ประธานนักเรียนพึงมี


หึ...


การวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอด เป็นทางเลือกของพวกขี้ขลาดตาขาวทั้งนั้น ผู้กล้าที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงกล้าหาญในสังเวียนการแข่งขัน...แต่หมายถึงกล้าหาญในสังเวียนชีวิต แม้ความตายจะย่างกรายเข้าใกล้ก็ไม่หวั่นเกรง หากแม้จะพ่ายแพ้จนสูญเสียร่างกาย แต่จิตวิญญาณก็ยังคงอยู่ตลอดไป


นอกจากความกล้าหาญในชีวิตจริง สิ่งที่ผู้กล้าควรมีคือมันสมองที่ปราดเปรื่อง การใช้ความกล้าหาญและพละกำลังวิ่งเข้าสู้โดยปราศจากความคิดและแผนการที่รอบคอบ...ไม่ต่างอะไรกับไอ้โง่ที่นึกอยากเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งเล่นๆ


ร่างกายของผมขยับเคลื่อนไหวหลบหลีกการโจมตีของไดโนเสาร์กระหายเลือดพร้อมกับกวาดตามองสภาพภูมิทัศน์รอบข้าง เบื้องหน้าคือทิวต้นสนสูงใหญ่ที่เรียงราย ด้วยขนาดตัวที่แตกต่างกัน หากผมเข้าไปในป่าสนจะสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวที่ว่องไวผิดกับร่างขนาดยักษ์ของทีเร็กซ์ได้มากยิ่งขึ้น ผมขยับเร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปลึกในป่ามากขึ้น


ตึง ตึง ตึง


เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นดินจากไดโนเสาร์กินเนื้อร่างใหญ่ดังไล่หลัง ผมเพ่งพลังจิตสัมผัสสำรวจถึงการเคลื่อนไหวของผู้ล่า หางของทีเร็กซ์ตวัดฟาดกับกิ่งสนจนหักเป็นสองท่อน หากปลายหางนั้นฟาดโดนร่างกายของมนุษย์ มันคงทำให้กระดูกและอวัยวะภายในเสียหายหนักอย่างแน่นอน มิหนำซ้ำยังเป็นการบาดเจ็บที่เฝ้ารอได้เพียงแต่ความตาย ไม่มีการแพทย์ใดในยุคดึกดำบรรพ์ที่จะช่วยรักษาได้


คมเขี้ยวของไทแรนโนโซรัส เร็กซ์ขยับเข้าใกล้ร่างของผมมากขึ้นทุกขณะ ผมหยุดฝีเท้าลงพร้อมกับหันหน้ามาประจันกับสัตว์ล่าเนื้อมือซ้ายสอดเข้าไปใต้เสื้อคลุมและแตะเข้ากับวัตถุแข็งขนาดพอดีมือที่คาดอยู่บริเวณใต้อกด้านขวา เพื่อนคู่ชีวิตที่ไม่เคยทรยศของผม...แบล็ค อีเกิ้ล


ผมยืนสงบนิ่งพลางหลุบเปลือกตาลงทำสมาธิ ปล่อยให้พลังจิตสัมผัสแผ่ไปโดยรอบ สัมผัสถึงสายลมที่พัดอย่างแผ่วเบา พื้นแผ่นดินกว้างใหญ่ สายน้ำที่ไหลรินและป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ของโลกยุคไดโนเสาร์ เฝ้าสำรวจลมหายใจของสิ่งมีชีวิตนับร้อยนับพันบนผืนแผ่นดิน เหมือนกับทุกสัมผัสจากธรรมชาติคือส่วนหนึ่งของร่างกาย เสียงหัวใจเต้นถี่ของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า


“กรร..”


เมื่อผมเปิดตาขึ้นใบหน้าของทีเร็กซ์อยู่ห่างจากผมไม่ถึงฟุต มันอ้าปากกว้างจนเห็นโพรงปากสีแดงสด ดวงตาหิวกระหายทั้งคู่จับจ้องมาที่ผมเหมือนกับเฝ้ามองอาหาร...แต่ผมไม่ใช่เหยื่อของมัน


ปัง!!


เพียงชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะขบฟันลงมา ลูกกระสุนจากปลายกระบอกปืนพุ่งตรงไปยังโพรงปากของไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ร่างกายของมันชะงักค้างไปด้านหลังก่อนจะล้มตึงลงบนพื้นดิน ราชาแห่งนักล่าเนื้อกรีดร้องพร้อมกับดิ้นทุรนทุรายได้ไม่นาน ลมหายใจก็หมดลง ทิ้งไว้เพียงร่างไร้ชีวิตที่จะกลายเป็นอาหารแก่สัตว์กินเนื้อต่อไป


แปะ แปะ แปะ


เสียงปรบมือดังขึ้นจากมุมสูง ผมแหงนหน้าขึ้นมองตามเสียง ปรากฏร่างของเพื่อนคู่หูนั่งอยู่บนกิ่งต้นสน ความสูงกว่าสิบเมตรมากพอที่จะทำให้ปลอดภัยจากการรุกรานของบรรดาสัตว์ล่าเนื้อทั้งหลาย คิ้วของผมกระตุกเข้าหากันอย่างอัตโนมัติ เหลือเชื่อกับความว่องไวของจิงส์ ไม่รู้ว่าเขาขึ้นไปบนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และทำไมพลังจิตสัมผัสของผมที่สัมผัสได้ถึงทุกดวงจิตในรัศมีสิบกิโลเมตร ถึงไม่สามารถจับความเคลื่อนไหวของเขาได้ แต่เมื่อร่างกายของจิงส์ปรากฏขึ้นในสายตา พลังของผมก็กลับมาใช้ได้อีกครั้ง


“สมกับที่เป็นประธานนักเรียนห้าสมัยจริงๆนะครับ ฆ่าทีเร็กซ์ด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว ไม่สิ กระสุนนัดนั้นคงอาจจะมีอะไรเป็นพิเศษมากกว่ากระสุนธรรมดา” น้ำเสียงเรียบเฉยของจิงส์ดังก้องไปทั่วป่าสน ตรงกับที่เขาคาดเดากระสุนที่ผมใช้ไม่ใช่กระสุนธรรมดาอย่างที่ใช้กันทั่วไป


มันคือกระสุนบรรจุพลังเวทย์ การใช้เวทมนต์ควบคู่กับการใช้อาวุธจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการโจมตีให้เพิ่มมากขึ้น การบรรจุเวทมนต์ลงกระสุนปืนจะต้องทำก่อนที่จะยิงกระสุนและต้องใส่เวทมนต์ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ใช่ว่านักศึกษาสาขาศิลปะการต่อสู้ทุกคนจะสามารถทำได้ เพราะนอกจากควบคุมลำบากแล้ว ยังสิ้นเปลืองทั้งพลังจิต พลังเวทมนต์และพลังงาน แม้นักศึกษาสาขาการต่อสู้ส่วนใหญ่จะมีความสามารถด้านพลังจิต แต่การใช้พลังเวทมนต์ที่ไม่ถนัดจะทำให้สูญเสียพลังงานไปโดยไม่จำเป็น


“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกครับ เพราะเรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือเรามาอยู่ที่นี่กันได้ยังไง” ภารกิจของเราคือไปช่วยยูซาคุสถางป่าในช่วงเวลาหกร้อยสี่สิบเจ็ดปีก่อนศักราช และผมก็ไม่เชื่อว่าในช่วงเวลานั้นจะมีไดโนเสาร์เดินเผ่นพล่านให้ว่อนไปทั่วแบบนี้


“คือจริงๆแล้ว มันเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคเล็กๆน้อยๆน่ะครับ” คำตอบของจิงส์ทำให้ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น ผิดพลาดทางเทคนิค...ไปผิดพลาดอีท่าไหนกันแน่ ถึงต้องมาโดนทีเร็กซ์ไล่ล่าเป็นอาหารเหมือนเมื่อกี้นี้ ผมส่งสายตาถามเขาอีกครั้ง จิงส์อ้ำอึ้งก่อนจะตอบออกมาอย่างเสียไม่ได้


“อ่า พอดีผมหมุนเลขผิดหลักน่ะครับ จากหกร้อยสี่สิบเจ็ดปีก่อนศักราช เป็นหกสิบสี่ล้านเจ็ดแสนปีก่อนศักราชแทน มันก็แค่...ความผิดพลาดนิดหน่อยเองครับ”


...


นิดหน่อยตรงไหนกัน! พลาดจากหกร้อยปีมาเป็นหกสิบล้านปี จากยุคอารยธรรมโบราณมาเป็นยุคไดโนเสาร์ ดูเหมือนคำว่านิดหน่อยนั่นยังห่างไกลไปโข


ผมก้มหน้าลงพร้อมสูดลมหายเข้าใจลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ ไม่ให้ตัวเองอารมณ์ขึ้นจนเผลอไปโค่นต้นสนที่เพื่อนคู่หูนั่งห้อยขาอยู่ สายลมพัดผ่านอย่างแผ่วเบา เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดดังขึ้นขัดความเงียบงันระหว่างผมและจิงส์ เวลาแต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งผมสามารถเก็บความโกรธไว้ในใจโดยไม่ต้องแสดงออกมาได้


“เอาล่ะครับ แล้วเราจะกลับไปปฏิบัติภารกิจของเราได้เมื่อไหร่” จิงส์ยักไหล่เป็นคำตอบ ท่าทีไม่แยแสต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมนึกอยากจะโค่นต้นสนต้นนั้นอีกสักรอบ บางทีคู่หูของผมต่อมสามัญสำนึกคงจะผิดแผกกับคนอื่นเขาไปสักหน่อย


“เราย้อนเวลามาไกลไป ผมต้องใช้เวลาฟื้นพลังอีกประมาณสองสัปดาห์ พลังเวทย์ถึงมากพอที่เราจะเดินทางข้ามกาลเวลาได้อีกครั้ง”


ผมเหลือบสายตามองรอบข้าง ป่าสนที่ขึ้นทึบและสิ่งมีชีวิตโลกดึกดำบรรพ์ อันตรายรอบด้านจากสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในยุคปัจจุบัน นี่ไม่ใช่เกมผจญภัยเอาตัวรอดในยุคไดโนเสาร์ที่ตายแล้วสามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่เป็นเกมชีวิตที่ตายแล้ว...ตายเลย


แล้วจะนอนยังไงกันล่ะ ไหนจะเรื่องอาหารการกินอีก เป็นเพราะว่าเจ้าผู้อำนวยการบ้านั่นส่งมาที่นี่อย่างกะทันหันแท้ๆ ผมถึงไม่มีอะไรติดตัวมาที่นี่เลยแม้แต่น้อย ถ้าผมมีเวลาให้เตรียมตัวสักสิบนาที อย่างน้อยคงหยิบกระเป๋าบรรจุอุปกรณ์ค้างแรมกลางป่าออกมาได้บ้าง หรืออาหารกระป๋องเล็กๆน้อยๆก็ยังดี ไม่ใช่ให้มาอยู่กลางป่ากลางเขาโดยที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากแบล็ค อีเกิ้ลที่อยู่กับผมตลอดเวลา ดาบของผอ.และหนังสือคู่มือการเป็นนักท่องกาลเวลาอีกเล่มหนึ่ง


ไว้ให้กลับไปก่อนเถอะ จะเล่นงานให้อ่วมเลยเจ้าผู้อำนวยการโรคจิต!


“จิงส์แล้วเมื่อไหร่คุณจะลงมาจากต้นไม้สักที เงยหน้าคุยแบบนี้มันปวดคอนะครับ” ผมย่นคิ้วมองเพื่อนคู่หูที่ไม่ยอมลงมาจากต้นไม้สักที ไม่รู้ว่าจะนั่งหลบอยู่บนนั้นไปนานแค่ไหน หรือบางทีผมควรจะขึ้นไปนั่งข้างบนต้นสนเหมือนกันกับเขา มันคงจะปลอดภัยกว่าการยืนเป็นเป้านิ่งให้กับพวกสัตว์ล่าเนื้อบนพื้นดินแทน


“คือ...ตอนนั้นผมตกใจกับทีเร็กซ์มากไปหน่อยน่ะครับ เลยขึ้นมาบนนี้โดยไม่รู้ตัว” ใบหน้าครึ่งล่างของจิงส์ยังคงมีรอยยิ้มฉาบบางๆ “ตอนนี้ข้างบนมันสูงซะจนน่าตกใจอีกรอบ ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าจะลงไปยังไงดี ฮ่ะๆ”


ยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก ปีนขึ้นต้นไม้ไปซะสูง แล้วดันลงมาข้างล่างไม่ได้ มันควรจะน่าสมเพชมากกว่าน่าหัวเราะนะจิงส์


“คุณเรสริคซ์ช่วยผมลงไปข้างล่างหน่อยได้มั้ยครับ นี่ก็เย็นแล้ว ผมชักจะเริ่มหิวเหมือนกัน อยากลงไปหาอะไรทานข้างล่างจัง”


เดี๋ยวก็โค่นต้นสนให้ลงมานอนกองกับพื้นสมใจอยากซะเลยนี่ ผมได้แต่คิดในใจพลางขยับยิ้มสุภาพให้กับเขาตามภาพลักษณ์ของประธานนักศึกษาที่ดี จิงส์นั่งแกว่งขารออย่างใจเย็น ทั้งที่เขากำลังรอความช่วยเหลือจากผมอยู่...จิตใต้สำนึกชักเริ่มบอกว่าไม่ต้องไปช่วย ปล่อยให้เขาค้างเติ่งอยู่บนกิ่งต้นสนขึ้นมาแล้วล่ะสิ


แควก แควก แควก


เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตไม่ระบุสายพันธุ์ดังขึ้นไม่เบานักจากด้านหลัง บทสนทนาของผมและเพื่อนคู่หูจบลงในทันที ผมแผ่พลังจิตสัมผัสเพื่อหาตัวตนเจ้าของเสียงร้อง สัมผัสได้ดวงจิตขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่บนฟ้า เมื่อเพ็งพลังสังเกตถึงรายละเอียดก็พบกับสัตว์โลกยุคดึกดำบรรพ์ต้นตระกูลของสัตว์ปีกในยุคปัจจุบัน แต่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่าตัวนัก ปีกทั้งสองข้างที่กางออกมีความกว้างมากกว่าความสูงของผม จิงส์และผู้อำนวยการขาร็อคแห่งวิทยลัยพาลลัสรวมกันเสียอีก


ผมยืนนิ่งไม่ไหวติงเฝ้าจับสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของมัน ต้นตระกูลสัตว์ปีกบินขยับเข้าใกล้ขึ้นมาทุกขณะ จากท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มอ่อน นี่คงเป็นเวลาที่เจ้านกยักษ์จะบินกลับสู่รัง หลังจากหาอาหารมาแล้วทั้งวัน


“ไม่มีอะไรหรอกมั้งครับ บางทีมันอาจจะแค่บินผ่านเราไปเฉยๆ” เพื่อนคู่หูของผมส่งเสียงขึ้นขัดกับท่าทีระวังภัยของผม จิงส์ยังคงนั่งแกว่งขาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว


แควก แควก แควก แควก


เสียงของนกยักษ์ร้องขึ้นดังกว่าเดิม เบื้องหลังของจิงส์ปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตคล้ายกับนกกระจอกเทศบินได้...เพียงแต่ขนาดของมันเล็กกว่าเจ้าทีเร็กซ์ตัวเมื่อกี้ประมาณสองเมตร ดวงตาสีน้ำตาลของมันจ้องมองไปยังเพื่อนคู่หูด้วยสายตาเดียวกับราชานักล่าเนื้อที่จ้องมองผมอย่างไม่ผิดเพี้ยน


“จิงส์ระวัง!!”


ผมร้องตะโกนแต่ว่าคำเตือนของผมยังส่งไปช้าเกินไป


“ว๊ากกกก!!!”


จิงส์กรีดร้องเสียงดังลั่น เมื่อเจ้านกยักษ์หน้าตาอัปลักษณ์โฉบเข้าใช้จะงอยปากคาบคอเสื้อคลุมสีดำของเขาและบินจากไปด้วยความรวดเร็ว...


เพื่อนคู่หูของผมโดนนกโฉบไปซะแล้ว!!


เสียงร้องโหยหวนของจิงส์เบาลงทุกขณะจนเงียบหายไป นกยักษ์กระพือปีกบินเข้าไปในส่วนลึกของป่า ผมเหม่อมองรอบข้างอย่างครุ่นคิด ผมควรจะส่งเพื่อนคู่หูให้ไปผจญกับสัตว์โลกยุคดึกดำบรรพ์ดูบ้าง ด้วยเกียรติยศของนักท่องกาลเวลา เขาน่าจะเอาชีวิตรอดได้ ขนาดปีนต้นไม้สูงตั้งหลายเมตรเพื่อหลบไดโนเสาร์ยังทำได้เลย นับประสาอะไรกับเชือดนกสักตัวแล้วเดินกลับมาที่นี่ล่ะ


แต่..จะไปเชื่อใจความสามารถของเจ้านั่นได้ยังไงกันล่ะ! ถึงแม้จะมีปัญญาปีนขึ้นต้นไม้แต่กลับไม่มีปัญญาที่จะปีนลงมาข้างล่าง คนแบบนี้มันสมควรกับที่ผมจะเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงด้วยหรือยังไง แต่ถ้าหากจิงส์ไม่กลับมา หรือว่าโดนนกยักษ์เขมือบลงท้อง ประวัติศาสตร์จะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน ผมคงติดอยู่ในยุคนี้ ไม่มีสิทธิ์ได้กลับไปเยือนโลกปัจจุบัน


ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือภารกิจแรกที่ล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม! ถือว่าเป็นเรื่องความผิดพลาดที่สุดในชีวิตของผม...ตั้งแต่เข้าเรียนในวิทยาลัยพาลลัสและรับตำแหน่งประธานนักเรียนมากว่าห้าปี ผมไม่เคยทำภารกิจใดล้มเหลวมาก่อน ผลลัพธ์ของทุกภารกิจจะต้องมีแต่คำว่าสมบูรณ์แบบ ยอดเยี่ยม เหนือความคาดหมาย หรืออย่างน้อยต้องได้รับระดับดีมาก


ล้มเหลวตั้งแต่ไม่ได้เริ่ม...นั่นล่ะที่รับไม่ได้ถึงขีดสุด!!


  ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านทำให้พลังจิตสัมผัสของผมสั่นคลอน ผมค่อยๆระงับสติอารมณ์ของตัวเองเพื่อเพิ่มพลังให้สัมผัสได้ถึงแหล่งกำเนิดชีวิตของเพื่อนคู่หู แต่กลับไร้ผล...เหมือนกับมีบางสิ่งขวางกั้นไม่ให้ผมสามารถรับรู้ถึงสถานภาพและที่อยู่ของจิงส์ เมื่อไม่สามารถใช้ความสามารถที่ตัวเองมีอยู่กับเพื่อนคู่หูได้ ผมจึงตัดสินใจใช้พลังค้นหาสิ่งมีชีวิตบินได้ที่โฉบเขาไปแทน


  เจอแล้ว!


 ในที่สุดผมก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของเจ้านกยักษ์หน้าตาอัปลักษณ์ คลื่นพลังแบบนี้จะต้องเป็นตัวเดียวกับที่โฉบเพื่อนคู่หูของผมไปอย่างไม่ผิดเพี้ยน...กะจากระยะทางแล้ว ตอนนี้ต้นตระกูลสัตว์ปีกกำลังเคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือห่างจากจุดที่ผมยืนอยู่ประมาณสามกิโลเมตร มันกระพือปีกมุ่งสู่ภูเขาในอีกสิบกิโลเมตรข้างหน้าซึ่งน่าจะเป็นรังพักอาศัยของมัน


ผมร่ายเวทลมหนุนที่เท้าของตัวเอง ก่อนจะออกแรงวิ่งไปตามเส้นทางที่นกยักษ์โฉบเพื่อนคู่หูของผมไป ด้วยพลังเวทที่ช่วยเสริมความว่องไวทำให้ผมสามารถเคลื่อนกายไปได้เร็วกว่าปรกติ เพียงไม่ถึงสองชั่วโมงผมก็ขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นสน คลื่นพลังชีวิตของบรรพบุรุษสัตว์ปีกปรากฏอยู่ไม่ไกลนัก ผมค่อยๆก้าวเดินอย่างไร้เสียงฝีเท้าเพื่อเข้าไปใกล้กับมันมากขึ้น


 ขาของผมไม่สามารถก้าวต่อไปได้เมื่อพบกับภาพเบื้องหน้า เศษไม้ขนาดใหญ่ทับถมและเรียงต่อกันเป็นรังนกขนาดยักษ์ซึ่งตั้งอยู่บนแง่งหินในช่องว่างระหว่างภูเขาที่กว้างกว่าสิบเมตร ถัดจากรังก็คือเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นเหวเสียด้วยซ้ำ...


ให้ตายเถอะ! เจ้านกบ้าเอ๊ย...มาสร้างรังอะไรอยู่ตรงปากเหวกันเล่า!!!


กระแสลมพัดผ่านทำให้เส้นผมยาวปลิวสยายไปตามแรงลม ผมยกมือเสยผมอย่างหงุดหงิดใจ ความรู้สึกอย่างช่วยเพื่อนคู่หูลดน้อยลงกว่าตอนแรก ถึงแม้ผมจะสามารถกำจัดเจ้านกยักษ์ที่โฉบหมอนั่นมาได้ แต่ผมก็ยังคิดหาทางที่จะลงไปช่วยเขาให้ออกมาจากลังไม่ได้อยู่ดี เมื่อผมไม่มีปีกเหมือนนก...แล้วจะทำอย่างไรเล่าให้รอดชีวิตมาได้โดยไม่พลาดตกเหวตายไปก่อนทั้งคู่


แคว้ก! แคว้ก! แคว้ก! แคว้ก!


เสียงร้องของเจ้านกยักษ์ดังขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยร่างอัปลักษณ์ของมันที่ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ผมขยับตัวหลบเข้าพุ่มไม้เคียงข้างก่อนจะย่อตัวลง บางทีสายลมที่พัดไปเมื่อครู่อาจจะทำให้กลิ่นกายของมนุษย์ไปปะทะกับต่อมรับกลิ่นของมันเข้าพอดี ผมพยายามเบียดตัวเข้าหาต้นสนขนาดใหญ่ หวังว่ากลิ่นจากยางสนจะช่วยกลบกลิ่นสบู่และแชมพูได้บ้าง


พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ


ปีกทั้งขนาดใหญ่ทั้งสองข้างขยับขึ้นลงแรงๆจนทำให้กิ่งไม้เอนลู่ไหวไปตามแรงลม มือผมกระชับแบล็คอีเกิ้ลอีกครั้ง..ถ้ามันเข้ามาโจมตีเมื่อไหร่ ผมเองก็พร้อมที่ต่อสู้กับมันเสมอ แต่ต้นตระกูลนกหน้าตาอัปลักษณ์กลับเคลื่อนตัวไปอีกทางหนึ่ง บางทีเพียงแค่เพื่อนคู่หูของผมอาจจะยังไม่เพียงพอต่ออาหารหนึ่งมื้อ


ไม่สิ...พลังชีวิตเล็กๆนับได้ห้าจุดที่ปรากฏขึ้นในรังของนกยักษ์หน้าตาอัปลักษณ์ และยังมีพลังชีวิตแผ่วๆอีกสามดวง อาจจะเป็นไข่ที่ยังไม่ฟักของต้นตระกูลสัตว์ปีก ขนาดร่างกายตอนโตเต็มวัยของมันก็ไม่ใช่น้อยๆ ไหนจะยังลูกเล็กอีกห้า แบบนี้สินะเพียงแค่มนุษย์คนเดียวจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการด้านอาหารของนกทั้งรัง


ดีไม่ดี ตอนนี้จิงส์อาจจะถูกลูกนกจิกกินกลายเป็นซากศพไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้...


สมองของผมคิดเรื่องเลวร้ายไปโดยไม่ตั้งใจ จิตนาการด้านลบผุดขึ้นมาไม่รู้จักหยุดหย่อน ภาพของเพื่อนคู่หูที่กลายเป็นอาหารนกปรากฏขึ้นมาในมโนภาพ ก่อนจะตามมาด้วยภาพของผมที่กลายเป็นคนป่าผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเพราะติดอยู่ในยุคนี้...ผมรับไม่ได้จริงๆ


แคว้ก! แคว้ก!


เพราะสมองมัวแต่จินตนาการถึงเรื่องไร้สาระ จนรบกวนพลังจิตสัมผัสที่มี เจ้านกยักษ์อัปลักษณ์ถึงเข้าประชิดตัวก่อนที่ผมจะได้รู้ตัว ร่างของต้นตระกูลสัตว์ปีกยืนนิ่งอยู่บนพื้นห่างจากผมไปไม่ถึงเมตร ปีกทั้งสองข้างกางออกกว้างเหมือนจะโผบิน เมื่อมองดีๆแล้วจะพบว่าขนาดตัวของมันไม่ได้ใหญ่โตมากมายนัก เพียงแต่ปีกทั้งสองข้างที่กว้างยาวกว่าเป็นเท่าตัว ดูยังไงก็น่าเกลียดเพราะความไม่สมดุลอย่างถึงขีดสุด จะงอยปากของมันอ้าออกกว้างจนเห็นโพรงปากสีแดงสด นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่ยักษ์จับจ้องมาอย่างไม่วางตา ทันทีที่ผมขยับตัวมันคงจะโจมตีลงมาในทันที


ปัง!


กระสุนสีเงินจากแบล็ก อีเกิ้ลพุ่งออกไปเบื้องหน้า แต่ข้อเสียของการใช้อาวุธเป็นปืนก็ปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นกยักษ์กระพือปีกขยับตัวหลบลีกทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น  กระสุนลอยเฉียดผ่านปีกสีน้ำตาลไปเพียงเสี้ยววินาที เสียงร้องของมันดังก้องไปทั่วหุบผา...ดูท่าผมจะทำให้มันขุ่นเคืองเข้าเสียแล้ว


แคว้ก! แคว้ก!


“เฮ้ย!”


จะงอยปากยักษ์จิกลงมาด้วยความรวดเร็ว ผมขยับตัวเบี่ยงหลีกตามสัญชาติญาณ แต่ช้าเกินกว่าการเคลื่อนไหวของบรรพบุรุษนก จะงอยปากแข็งแกร่งคาบคอเสื้อคลุมสีดำขลิบทองของประธานนักศึกษาเอาไว้ได้ เป็นครั้งแรกที่ผมนึกเกลียดเสื้อคลุมเกียรติยศที่เคยภูมิใจนักหนา หากไม่มีมันตอนนี้ผมอาจจะหลบพ้นจากเจ้านกบ้านี่ก็เป็นได้


แต่จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องหลบก็ได้นี่นา...


ผมคิดขึ้นได้เมื่อปีกทั้งสองข้างของสัตว์ปีกยุคโบราณเริ่มขยับ ในเมื่อมันจะนำผมกลับรังไปเป็นอาหารให้กับครอบครัวของมัน เท่ากับเป็นการดีที่ผมจะเข้าถึงรังนกที่ชะง่อนผาเพื่อช่วยเพื่อนคู่หูโดยไม่ต้องเสียแรงและเสียเวลาวางแผน ต้องขอบคุณเจ้านกนี่แท้ๆเชียว


ร่างของผมลอยขึ้นสูงจากพื้นขึ้นเรื่อยๆจากปีกที่กระพือขึ้นลงเป็นจังหวะ จนในที่สุดก็ผ่านพ้นแนวพุ่มไม้ที่ผมใช้ซ่อนตัวเมื่อครู่ เส้นผมที่ปลิวพัดไปตามกระแสลมที่ปะทะหน้าเริ่มทำให้ผมรู้สึกรำคาญจนเริ่มคิดถึงเชือกรัดผมที่หายไปในห้วงมิติอย่างไรพิกล...


การกะระยะด้วยสายตาจากการมองที่อีกฝั่งหนึ่งของหน้าผาเทียบไม่ได้เลยกับภาพที่ปรากฏขึ้นจริง รังนกที่ปรากฏขึ้นนั้นทำให้ผมแทบไม่เชื่อในสายตาตนเอง ขนาดของมันกว้างเทียบเท่ากับสนามฟุตบอลสักครึ่งสนาม ความกว้างของแง่งหินที่ยื่นยาวออกมาจากหน้าผามีขนาดใหญ่มากกว่านั้นนัก เพราะไม่ใช่มีรังของนกยักษ์ที่คาบคอเสื้อของผมอยู่เพียงแค่รังเดียว แต่ยังมีรังนกขนาดพอๆกันถึงอีกสองรัง!


เจ้านกยักษ์โฉบลงกับพื้นรังที่ทำมาจากเศษไม้และเศษไม้ที่ประกอบเข้าด้วยกันไม่ต่างอะไรกับบ้านไม้ขนาดปานกลาง มันทิ้งผมลงบนพื้นไม้ที่ทั้งหยาบและแข็ง จนสะโพกผมระบมไปหมดเพราะแรงกระแทก แต่เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับภารกิจที่ผมเคยทำมาก่อนหน้านี้ และเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คงจะเป็นที่ว่าผมจะโดนเจ้านกนี่ย่อยลงกระเพาะไปตอนไหนเสียมากกว่า


ถือว่าโชคชะตายังเข้าข้างเมื่อต้นเหตุที่โฉบเอาผมและเพื่อนคู่หูมากระพือปีกขึ้นจากรังอีกครั้ง ผมมองพฤติกรรมของมันอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ยังไม่ทันที่จะได้วิเคราะห์อะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว ก็มีเสียงหนึ่งร้องขึ้นทักมาจากด้านหลังเสียก่อน


“คุณเรสริคซ์!” จิงส์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาใกล้พลางเอ่ยปากร้องเรียกชื่อผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่างไม่ได้มีสัญชาติญาณในการระวังภัยเอาเสียเลย ถ้าหากว่าลูกนกในรังของเจ้านกยักษ์นั่นกรูกันเข้ามาเพราะว่าได้ยินเสียงดังของเขาจะทำยังไง


“โอ๊ย!” เพื่อนคู่หูที่ดูท่าทางจะพึ่งไม่ได้สะดุดกับชายเสื้อคลุมตัวโคร่งและล้มโครมลงบนพื้นรัง ก่อนจะลุกขึ้นปัดเสื้อคลุมที่คลุกไปด้วยฝุ่นพร้อมกับเสียงหัวเราะแห้งๆที่ดังออกมาจากริมฝีปากนั้น...


แค่วิ่งธรรมดายังสะดุดล้มได้...คนแบบนี้ควรจะเรียกว่าเซ่อซ่าจนน่านับถือดีมั้ยนะ?


“ผมคิดว่าเธอจะหาคุณไม่เจอเสียอีก” ริมฝีปากบางฉีกเป็นรอยยิ้มกว้างจนดูงี่เง่า เขาจ้อประโยคต่อมาอย่างไม่มีหยุดโดยไม่สนใจสีหน้าของผมเสียด้วยซ้ำ “คุณหายไปตั้งหลายชั่วโมง ผมเป็นห่วงแทบแย่ว่าคุณจะโดนไดโนเสาร์จับกินไปหรือเปล่า”


....


ใครกันแน่นะที่โดนนกโฉบหายตัวไปและยังดูท่าจะเอาตัวรอดในยุคไดโนเสาร์ไม่ได้น่ะ!!


“จิงส์ คุณพูดเหมือนคุณสื่อสารกับนกนั่นได้” ผมเอ่ยถามสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไปเพราะคำพูดที่ชวนน่าสงสัยที่สื่อให้เห็นว่าจิงส์สามารถบอกให้เจ้านกยักษ์หน้าตาอัปลักษณ์ไปตามหาตัวผมที่พลัดหลงกับเขาได้


“ใช่ครับ..ผมพอคุยกับนกรู้เรื่องน่ะ กว่าเราจะคุยกันรู้เรื่องผมต้องตั้งใจฟังอย่างเต็มที่เลยล่ะ” ช่างเป็นความสามารถที่น่าอัศจรรย์ ผมขยับปากขึ้นจะถามว่าเขาได้ความสามารถนี้มาได้อย่างไร แต่จิงส์กลับเป็นฝ่ายล่วงรู้ความคิดและเอ่ยอธิบายขึ้นมาก่อน “ผมเคยลงวิชาสัตวภาษาตอนเรียนชั้นปีสี่น่ะครับ..เห็นว่าน่าเรียนดี”


ที่โลกอนาคตอันไกลโพ้นมีวิชาสอนภาษาสัตว์กับเขาด้วยสินะ ไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าเรียนแล้วจะได้ใช้ประโยชน์อะไร...ช่างเป็นโลกที่ดูห่างไกลจากตัวผมเสียจริงๆ


เอาเถอะ..อย่างน้อยวิชาพิลึกพิลั่นที่จิงส์เรียนมาก็ยังใช้ประโยชน์ในเวลานี้ได้ น่าเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ให้เพื่อนคู่หูลองคุยกับทีเร็กซ์ที่เจอในตอนแรกเสียก่อน ตอนนี้เราอาจจะได้ไดโนเสาร์ล่าเนื้อเป็นเพื่อนอีกตัวก็ได้


...แน่นอนว่าผมประชด


“เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่พักของเรากันนะครับ” จิงส์คว้ามือมาจับมือผมไว้แล้วพาผมเดินไปตามทางเดินที่ขรุขระไปด้วยเศษไม้ “จิบปี้บอกว่าเธอจะให้ที่พักและอาหารจนกว่าที่เราจะกลับไปทำภารกิจได้ ขอแค่ว่าให้เราช่วยปกป้องไข่ของเธอตอนที่เธอไปหาอาหารด้วย เอ่อ..คือผมไม่รู้ว่าจะเรียกเธอว่าอะไรดีเลยตั้งชื่อให้ว่าจิบปี้น่ะ”


สนิทกันถึงขนาดตั้งชื่อให้เชียวหรือ...


นิ้วมือของจิงส์ชี้ไปยังมุมหนึ่งของรังที่มีไข่ยักษ์หลากสีสันขนาดฟองประมาณลูกฟุตบอลวางเรียงเอาไว้บนเศษใบไม้ “ลูกๆของจิบปี้อยู่อีกรังกับพ่อของเขาน่ะ รังนี้เอาไว้ฟักไข่โดยเฉพาะ”


ผมพยักหน้ารับรู้กับข้ออธิบายของเพื่อนคู่หู แม้ว่าใจจริงจะไม่ได้สนใจเรื่องราวของครอบครัวนกอัปลักษณ์นั้นเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าพลังจิตสัมผัสของผมไม่ได้ผิดพลาด มีจำนวนนกตามที่ผมสัมผัสได้ เพียงแค่มันแยกรังกันอยู่เท่านั้น มีเพียงจิงส์เท่านั้นที่ยังเป็นข้อสงสัยในการอยู่นอกขอบเขตของพลังจิตสัมผัสที่ผมยังสาเหตุไม่ได้ในตอนนี้ แต่จะต้องรับรู้ให้ได้สักวันแน่ๆ..


เสื้อคลุมเกียรติยศของประธานนักศึกษาถูกปลดออกและนำมาปูวางบนกองหญ้าแห้งที่จิงส์บอกว่าจะเป็นที่พักของเราตลอดสองสัปดาห์ จนกว่าพลังของเขาจะกลับมาใช้ได้อีกครั้ง เมื่อเหลือบมองด้วยหางตาก็พบว่าเพื่อนคู่หูของผมกำลังไปคุยอะไรพึมพำกับไข่สามฟองที่ยังไม่ได้ฟัก...บางทีเขาอาจจะสื่อสารกันรู้เรื่องตั้งแต่เป็นไข่เหมือนกันที่ทารกรับรู้เรื่องราวต่างๆภายนอกระหว่างที่อยู่ในครรภ์มารดาก็เป็นได้


ผมเอนหลังพิงกับผนังรังที่สร้างขึ้นจากเศษไม้...แสงจากดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างกับโลกมายาวนานลับหายไปกับเส้นขอบฟ้า...บ่งบอกว่าจากนี้ไปจะเข้าสู่กลางคืน เปลือกตาผมเริ่มปรือต่ำเพราะความเหนื่อยยากที่ประสบมาทั้งวัน


หวังว่าจากนี้ไปทุกสิ่งทุกอย่างจะราบลื่น...อย่าให้ผมได้เจอปัญหาอะไรให้ต้องปวดหัวอีกเลย...


...โปรดติดตามตอนต่อไป...

มาลงตอนที่สองต่อแล้วค่ะ ถึงแม้ตอนที่หนึ่งยังไม่มีใครไปแสดงความคิดเห็นเลยสักคน ฮาาา
แอบเสียกำลังใจเล็กๆ แต่ไม่เป็นไรค่ะ จะลงต่อไปเรื่อยๆ คงจะมีคนเข้ามาอ่านบ้างล่ะมั้ง..

รอคอยทุกความคิดเห็นนะคะ

เรซิ่น

จากคุณ : resin_part_14
เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 54 19:22:49




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com