Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Time Travelers ตอนที่ 3 [Fantasy] ติดต่อทีมงาน

Time Travelers
บทนำ+ตอนที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11505582/W11505582.html
ตอนที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11509751/W11509751.html

- - - - - - - - -

[Rule of Time Travelers 3] กฎของการเป็นนักท่องกาลเวลาข้อที่ 3 – การหยิบฉวยสิ่งของใด ๆ จากมิติเวลาที่แตกต่างกลับมาถือเป็นเรื่องต้องห้าม


ในที่สุดเวลาสองสัปดาห์ที่ผมรอคอยก็มาถึง การอยู่ในรังนกโดยที่ไม่ต้องทำอะไรสักอย่างถือเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะโชคดีที่เจ้านกยักษ์จิตใจงามจะช่วยคอยหาอาหารสดมาให้ผมก่อไฟย่างเนื้อ...เรียกได้ว่าผมกินเนื้อย่างสามมื้อจนผมสาบานกับตัวเองว่าจะไม่เข้าใกล้ร้านเนื้อย่างไปอีกสามเดือน...ยังดีที่จิบปี้พาผมและจิงส์ไปอาบน้ำในน้ำตกวันเว้นวัน ไม่ฉะนั้นเส้นผมสีดำยาวที่ผมภาคภูมิใจคงไม่เหลือสภาพเป็นแน่แท้


ตอนนี้ผมเบื่อหน่ายเต็มทนกับการหยิบดาบของท่านผู้อำนวยการมาฟาดฟันใส่อากาศเพื่อออกกำลังกายและฝึกฝนในตัว ส่วนทางด้านเพื่อนคู่หูน่ะหรือ...ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขา จิงส์ได้แต่นั่งจ้อกับบรรดาไข่ของจิบปี้ จากนั้นก็ร่ำร้องเพ้อหากาแฟเป็นระยะ จนผมเริ่มสงสัยว่าคนอย่างเขาจะเป็นประธานนักศึกษาห้าปีซ้อนได้อย่างไรกัน


“ถึงเวลาแล้วสินะครับ” จิงส์เอ่ยขึ้นพลางจัดเสื้อคลุมสีเทาให้เข้าที่ เส้นผมสีชาที่ยาวปรกใบหน้าครึ่งบนของเขาเต็มไปด้วยเศษใบไม้ ความรู้สึกเกะกะตาเกิดขึ้นในใจ ผมเอื้อมมือหมายจะช่วยหยิบเศษใบไม้ออกจากเรือนผม แต่กลับถูกเขาปัดมือออกโดยแรงราวกับว่าไม่อยากให้ใครมาสัมผัสเส้นผมของเขา ผมเหลือบมองพฤติกรรมของเพื่อนคู่หูด้วยความสงสัย


เบื้องหลังเส้นผมพวกนั้นมีอะไรอยู่กันแน่?


“อ่ะ! ขอโทษครับคุณเรสริคซ์” เขารีบกล่าวขอโทษเมื่อแสดงท่าทีไม่เหมาะสมออกมา “ที่หน้าผมมีรอยแผลเป็นน่าเกลียด..ผมไม่อยากให้ใครเห็นน่ะครับ”


เป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้น...เพราะผมเองก็มีแผลเป็นที่ปิดบังไว้ไม่อยากให้ใครเห็นเช่นกัน


รอยแผลสีน้ำตาลตัดกับสีผิวขนาดกว้างเกือบหนึ่งเซนติเมตรที่ลากยาวพาดต้นคอด้านหลัง แผลเป็นที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ท่านพ่อและท่านแม่ที่จากไปบอกผมว่ามันเป็นรอยแผลที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิด...มันเปรียบเหมือนรอยย้ำจารึกในชีวิตว่าครั้งหนึ่งผมเคยเป็นเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า บางทีแผลนี้อาจจะเป็นรอยแผลที่เกิดจากผู้ให้กำเนิดที่แท้จริง เพียงเพราะเขาต้องการกำจัดผมออกไปจากโลกใบนี้...


ความคิดเลวร้ายหลุดหายออกไปจากห้วงความคิด แต่มันก็ยังคงถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จนกว่าวันที่ผมจะได้รับรู้ความจริงของรอยแผลปริศนา...ไม่มีทางที่ผมจะลบข้อสงสัยเกี่ยวกับชาติกำเนิดของผมไปได้อย่างแน่นอน


“จิบปี้...ผมจะไปแล้วนะ” สติของผมกลับคืนมาเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนคู่หูเพ้อรำพันกับเจ้านกยักษ์ที่หน้าตาไม่ได้น่ารักเหมือนกับชื่อเลยสักนิด จิบปี้ร้องเบา ๆ ในลำคอ พร้อมกับศีรษะขนาดยักษ์ถูไถกับเสื้อคลุมสีเทาของจิงส์ นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลกลมโตคลอเอ่อไปด้วยหยาดน้ำตา...ราวกับว่าไม่อยากจะลาจากกัน


อะไรจะสนิทกันถึงขั้นนั้น...


ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันสองสัปดาห์ ระดับความสัมพันธ์ระหว่างผมและจิงส์แทบไม่มีการพัฒนา ทั้ง ๆ ที่ปรกติไม่ว่าใครในวิทยาลัยพาลลัสก็กล่าวขานว่าผมเป็นประธานนักเรียนที่มนุษย์สัมพันธ์ดีเกินกว่าใคร แม้จะเป็นหนึ่งในภาพลักษณ์ที่ผมสร้างขึ้นมา มันกลับใช้ไม่ได้กับเพื่อนคู่หูที่มัวแต่ไปพัฒนาความสัมพันธ์กับนกและไข่นกบ้า ๆ นั่น


ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าตัวเองผิดปรกติหรือว่าเขาผิดปรกติ แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าอย่างแรกน่ะนะ

“ไปกันเถอะครับคุณเรสริคซ์” มือเย็นเฉียบของจิงส์แตะเข้าที่หลังมือของผม เป็นสัญญาณบอกว่าเรากำลังจะเริ่มเดินทางข้ามกาลเวลากันอีกครั้ง ภาวนาให้คราวนี้ผู้ถือครองกุญแจแห่งกาลเวลาจะไม่หมุนเลขผิดหลัก ผมไม่ต้องการที่จะไปเดินเล่นผิดยุคโดยปล่อยให้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายยังค้างคาไม่เสร็จสิ้นเช่นนี้


ปีกสีน้ำตาลของจิบปี้โบกไปมาพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนเหมือนสั่งลา กระแสลมพัดผ่านจนเส้นผมสีดำปลิวสยายไปทางด้านหลัง ภาพเบื้องหน้าไหววูบไปมาชวนเวียนศีรษะ มือของจิงส์ขยับกำรอบข้อมือผมแน่น ก่อนที่รังนกจากเศษไม้จะหายไปจากสายตา แทนที่ด้วยโพรงสีดำหากแต่เปล่งประกายแสงหลากสีสันออกมาเหมือนกับการเดินทางในครั้งที่แล้ว แตกต่างเพียงที่ร่างของผมกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง แรงกดดันไม่ทราบที่มากดแน่นที่ขมับจนศีรษะของผมปวดร้าวไปหมด..


ให้ตายสิ ยังไงก็ไม่มีทางชินกับไอ้การเดินทางแบบนี้แน่ ๆ !


เพียงชั่วอึดใจการเดินทางอันแสนทรมานก็สิ้นสุดลง ร่างของผมและจิงส์ร่วงลงจากโพรงมิติบนท้องฟ้า โชคดีที่เบื้องล่างเป็นหญ้าเขียวชอุ่มที่สูงถึงระดับเอว ทำให้หลังของผมไม่กระแทกกับเข้ากับพื้นจนต้องเจ็บระบมเหมือนคราวจิบปี้โยนผมลงบนพื้นรัง


ภาพท้องฟ้าสีครามปราศจากเมฆและกลิ่นของธรรมชาติช่วยทำให้อาการวิงเวียนของผมทุเลาลง มือที่กระชับแน่นของจิงส์คลายออกช้า ๆ เมื่อรู้สึกดีขึ้นจบเกือบเป็นปรกติ จิตใต้สำนึกก็เรียกร้องให้ผมกลับไปทำงานตามที่ตัวเองได้รับมอบหมายมาเสียที ผมลุกขึ้นยืนพลางกวาดมองสภาพป่าโดยรอบเพื่อสังเกตว่ามีส่วนใดจำเป็นต้องได้รับการจัดการบ้าง


จากเอกสารภารกิจของท่านผู้อำนวยการ เวลาที่โซลว์กำหนดให้เรามาถึงคือช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนยูซาคุสจะบุกป่าฝ่าดงมาถึงลุ่มแม่น้ำเอลเบอร์อันอุดมสมบูรณ์และเปี่ยมไปด้วยองค์ประกอบอันล้วนแต่เหมาะสมแก่การสร้างเมือง เรามีเวลาห้าวันสำหรับจัดการภารกิจให้สำเร็จลุล่วง บริเวณซึ่งจำเป็นต้องได้รับการเตรียมพร้อมสำหรับการสร้างอารยธรรมโบราณกินเนื้อที่ไปกว่าสิบตารางกิโลเมตร โดยจุดที่ต้องได้รับการจัดการนั้นเป็นเพียงแค่จุดศูนย์กลางเท่านั้น


ทิวทัศน์รอบข้างมีเพียงพงหญ้าสูงและต้นไม้ที่สูงใหญ่ที่ขึ้นสลับเป็นแนวยาว เมื่อประเมินจากสายตาและแผนที่ในเอกสารภารกิจตอนนี้เราน่าจะอยู่บริเวณกึ่งกลางของอาณาเขตนั้นพอดี หากแต่ตอนนี้ผมต้องการภาพจากมุมสูง เพื่อสังเกตการณ์ว่าควรจะเริ่มทำงานในจุดใดก่อน ถ้าหากในยุคนี้มีสัตว์ปีกขนาดยักษ์เหมือนจิบปี้ก็คงดี ผมจะได้ส่งจิงส์ไปสื่อสารเผื่อจะได้พวกมาช่วยทำงานเพิ่มอีกสักตัวสองตัว


แล้วหมอนั่นทำอะไรอยู่ล่ะนี่?


เสียงสวบสาบดังขึ้นมาจากทิศขวา ผมหันกลับไปหาต้นกำเนิดของเสียงก็พบชายเสื้อคลุมสีเทาหม่นขยับลากตัวไปตามพงหญ้ามุ่งสูงต้นไม้ใหญ่ที่ชูกิ่งก้านให้ร่มเงา บางทีจิงส์อาจจะเหน็ดเหนื่อยกับการใช้พลังเวทในการเดินทางข้ามการเวลาอันแสนทรมานนั่นก็เป็นได้..ปล่อยให้เขานั่งพักไปสักครู่คงจะไม่มีปัญหาอะไรกับการทำงานของผม การถางหญ้าแค่รอบบริเวณนี้เรียกได้ว่ายังสบายนักถ้าเทียบกับภารกิจขโมยไข่มังกรที่ผมเคยได้รับเมื่อปีก่อน


ผมหยิบดาบของท่านผู้อำนวยการที่คาดอยู่กับเข็มขัดขึ้นมาและปลดฝักดาบสีดำลวดลายสีเงินงดงามออก คมดาบฟาดฟันพงหญ้าบริเวณรัศมีเท่าที่ความยาวของดาบจะไปถึง กลิ่นหญ้าตัดใหม่ฟุ้งกระจายไปตามแรงลม ปริมานหญ้าที่มากขนาดน่าจะเพียงพอสำหรับการใช้ปูนอนของผู้ชายร่างสูงสองคน..


อา..ยอมรับว่าผมไม่ได้สูงมากขนาดจิงส์..แต่ส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสี่เซนติเมตรก็นับว่าสูงนะ..


“โอ๋ ๆ ...ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะปกป้องเธอเอง” เสียงพึมพำดังขึ้นมากจากเงาไม้อันเป็นที่พักพิงของเพื่อนคู่หู ตามด้วยประโยคที่ชวนน่าสงสัย “คุณเรสริคซ์น่ะหรือครับ...ถึงเขาจะดูเย็นชา น่ากลัว โหดเหี้ยมอำมหิต แถมยังดูพึ่งพาไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนดีนะครับ เขาไม่ทำร้ายเธอหรอก”


ไอ้เย็นชาน่ะรับได้หรอกนะเพราะว่านับเป็นหนึ่งบุคลิกที่จงใจแสดงออก..น่ากลัว...โหดเหี้ยมอำมหิต...ถ้านับจากตอนต่อสู้คำว่าอำมหิตก็ถือว่าพอรับได้อยู่เหมือนกัน แต่ไอ้พึ่งพาไม่ได้นี่มัน...


นิยามคำว่าพึ่งพาไม่ได้ถือว่าเป็นสิ่งแรกสุดที่ทุกคนจะตัดทิ้งออกไปหากกล่าวถึงประธานเรสริคซ์ เวย์นแห่งวิทยาลัยพาลลัส นี่ไม่ใช่การหลงตัวเอง หากแต่การเอ่ยนิยามของผมส่วนใหญ่มักจะเป็น “เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ลึกลับ” “แข็งแกร่ง” “หล่อเหลา” “อัจฉริยะ”...หรืออะไรก็ตามที่เป็นไปในทางบวก


พึ่งพาไม่ได้...ใครกันแน่ที่พึ่งพาไม่ได้!? เริ่มต้นทำภารกิจก็พาข้ามผิดยุคจนต้องเกือบเป็นอาหารของไดโนเสาร์ แล้วยังถูกนกคาบกลับรังให้ผมต้องเหนื่อยฟรีบุกป่าฝ่าดงไปหาตั้งสองชั่วโมงกว่า..ในขณะที่เขาเอาแต่นั่งสบายจ้อกับนกบ้าบอนั่น!!


เดี๋ยวนะ...ที่นี่มีเพียงผมและจิงส์ ไม่มีทางที่เขาจะหาบุคคลที่สามหรือไข่นกหลากสีให้นั่งคุยเล่นเหมือนกับตอนที่อยู่ในรังของจิบปี้ หมอนั่นคุยกับใครอยู่กันแน่??


“จิงส์ คุณคุยกับใครอยู่?” เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงพร้อมดันวัตถุสีฟ้าเข้มไปไว้เบื้องหลัง ผมหรี่ดวงตาคู่สีเทาเข้มของตัวเองลงมองเพื่อนคู่หู แม้จะมองไม่เห็นดวงตาภายใต้เส้นผมยาวปรกหน้าแต่จิงส์ก็มีท่าทีลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด มือผอมที่โผล่พ้นเสื้อคลุมสีเทาพยายามซุกซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในพงหญ้าใกล้ ๆ กัน


“มะ...ไม่มีอะไรหรอกครับคุณเรสริคซ์ ผมแค่พึมพำกับลมฟ้าอากาศน่ะครับ อย่าสนใจผมเลยนะ ไปทำงานต่อเถอะครับ” ชายหนุ่มโบกมือไปมาเหมือนปฏิเสธ แต่ท่าทีชวนสงสัยนั่นก็ไม่สามารถทำให้นักศึกษาผู้สอบวิชาการจับโกหกได้คะแนนเต็มทุกครั้งอย่างผมหลงเชื่อได้ง่าย ๆ ต่อให้ไม่ต้องถึงขั้นผม..ท่าทางของจิงส์ก็ดูเชื่อถือไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ


“แน่ใจหรือครับว่าไม่มีอะไรจริง ๆ น่ะ ผมเห็นนะครับว่าคุณซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในพงหญ้าข้างหลังนั่น คุณคงไม่อยากให้ผมเดินเข้าไปดูเองหรอกนะครับว่ามันคืออะไร”


ใบหน้าครึ่งล่างของชายหนุ่มผมสีชาสีเผือด ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากันราวกับบอกว่า ต่อให้ตายอย่างไรเขาก็จะไม่ปริปากบอกออกมาว่าเขาซ่อนอะไรไว้ เรียวคิ้วของผมกระตุกเข้าหากันแน่น คำขู่ไม่ได้ผล..แบบนี้ต้องใช้ไม้แข็งเสียแล้ว...


เรียวขาภายใต้กางเกงสีเข้มก้าวไปทางเพื่อนคู่หู เพียงชั่วพริบตาผมก็ยืนอยู่เบื้องหลังของชายหนุ่มร่างสูง ผมกระชับดาบของโซลว์แน่น ดูจากน้ำหนักและประกายความคมกริบที่ส่องสะท้อน ดาบเล่มนี้คงจะสามารถรองรับพลังจิตจำนวนมหาศาลของผมได้ ไม่แตกสลายไปเหมือนกับดาบคุณภาพต่ำที่ใช้ในวิชาการใช้ศาตราวุธอย่างแน่นอน ด้วยสิทธิพิเศษของประธานนักศึกษาทำให้ผมไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือโดนทำโทษเหมือนกับนักศึกษาคนอื่น ๆ ...นี่ล่ะความสะดวกสบายของประธานนักศึกษาที่ไม่ว่าใครก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็น


ผมกำหนดลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอเหมือนกับตอนใช้พลังจิตสัมผัสในบริเวณกว้าง คลื่นพลังจิตจากใจกลางจุดกำเนิดที่สมองไหลเวียนไปทั่วร่างเพื่อสะสมปริมาณพลังให้มากขึ้นกว่าเดิม ผมกำหนดจิตให้ส่งผ่านไปยังสองแขน..ไปจนถึงคมดาบที่กระชับแน่นอยู่ในมือ ก่อนที่ผมจะยกอาวุธที่หนักอึ้งด้วยพลังของผมเองขึ้นแล้วฟาดฟันใส่อากาศลงมาในแนวเฉียง...


ฟรึ่บ! ฟรึ่บ! ฟรึ่บ!


พงหญ้าที่เคยสูงถึงระดับเอวบัดนี้โล่งเตียนไปสุดลูกหูลูกตา ทิ้งไว้แต่เพียงเศษหญ้าที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศและตกลงบนพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก จากพงหญ้าสูงกลับกลายเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่อย่างที่มันสมควรจะเป็น เพียงชั่วพริบตาผมสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทั่วบริเวณที่ผมและจิงส์ยืนอยู่ ทั้งหมดล้วนเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีพิษร้ายแรง...งูจงอาง


ความคิดที่จะไล่ต้อนคู่หูถึงวัตถุสีฟ้าเข้มนั้นถูกจัดอันดับไปไว้เป็นอันดับที่สองรองจากภารกิจที่ผมได้รับ ตอนนี้ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องถูกส่งมาให้ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือยูซาคุสที่หนึ่งในการสร้างอารยธรรมโบราณ เหตุด้วยว่าหากปล่อยให้พวกเขาบุกเบิกพื้นที่นี้กันเองมีหวังประวัติศาสตร์คงได้เปลี่ยนแปลง...เพราะพื้นที่นี้คือรังขนาดใหญ่ของงูจงอางน่ะสิ!


ถือว่าเป็นโชคอันดีที่ผมไม่ได้เหยียบถูกมันในขณะที่ใช้ดาบของท่านผู้อำนวยการตัดหญ้าด้วยพลังกาย มิเช่นนั้นวินาทีนี้อาจไม่มีชายหนุ่มที่ชื่อว่าเรสริคซ์อีกต่อไป ผมคงจบสิ้นชีวิตลงในยุคโบราณด้วยพิษงูที่ไม่มีทางแก้ในยุคนี้อย่างแน่นอน!!


“จิงส์ ผมขอแนะนำให้คุณขึ้นไปบนต้นไม้พร้อมกับไอ้ลูกกลม ๆ สีฟ้านั่นด้วย เพราะผมไม่รับประกันในความปลอดภัยของคุณเลยสักนิด” ชายร่างผอมแห้งเปิดปากขึ้นเถียง แต่ก่อนที่เขาจะได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาผมก็กล่าวตัดความเสียก่อน “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณยังอยากมีชีวิตรอดกลับไปถึงยุคของคุณพร้อมกับของที่คุณคุยด้วย คุณต้องหลบขึ้นไปบนต้นไม้ซะ นี่ไม่ใช่คำขอร้องแต่เป็นคำสั่งจากผม”


เจ้าของเรือนผมสีชาพยักหน้ายอมรับด้วยความงุนงง เขาขยับตัวไปช้อนเจ้าสิ่งกลมกลิ้งสีฟ้าเข้มเหมือนไข่หากแต่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตขึ้นมาและกอดแนบไว้กับอก จิงส์ปีนขึ้นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ใช้พักพิงอย่างว่าง่าย ผมส่งพลังจิตสัมผัสเพื่อสำรวจโพรงไม้ที่ลำต้น โชคดีที่โพรงไม้นี้เป็นที่อาศัยของสัตว์ขนาดเล็กจำพวกกระรอกมิใช่สัตว์ประเภทอันตรายเหมือนที่ผมเพิ่งสัมผัสถึงเมื่อครู่นี้


พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเอลเบอร์มีทั้งความอุดมสมบูรณ์และความอบอุ่นกำลังดี ไม่ใช่เพียงจะเหมาะแก่การสร้างบ้านเมือง แต่ยังเหมาะสมแก่การเป็นที่อยู่อาศัยของงูอีกด้วย เพราะเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ และต้นไม้สูงใหญ่ที่ขึ้นสลับกันตามที่ธรรมชาติสรรสร้าง


งูจงอางเป็นงูพิษขนาดใหญ่ ความยาวที่ผมเคยเห็นในวิชาสัตวศึกษามันมีขนาดโดยเฉลี่ยสองเมตรครึ่งถึงสี่เมตร นิสัยค่อนข้างดุร้าย มันอาจจะไม่เป็นโจมตีอีกฝ่ายก่อนหากไม่ถูกทำอันตรายหรือถูกรุกราน แต่การบุกเบิกพื้นที่เพื่อสร้างเมืองของยูซาคุสที่หนึ่งย่อมเป็นการรบกวนที่อยู่อาศัยของมันอย่างแน่แท้


หากกล่าวถึงความน่ากลัวของงูจงอางคงไม่พ้นพิษของมันที่ส่งผลต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง แม้จะไม่ได้มีฤทธิ์รุนแรงเทียบเท่ากับงูเห่า แต่ด้วยความที่มันพ่นพิษจากเขี้ยวออกมาเป็นจำนวนมากก็สามารถคร่าชีวิตของคนหรือสัตว์ที่ถูกมันฉกได้มากราวเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ และในยุคที่ไร้ซึ่งเซรุ่มแก้พิษงูเช่นนี้ ไม่แปลกเลยหากจะนับงูจงอางเป็นสัตว์ที่น่ากลัวเป็นอันดับหนึ่งในบริเวณนี้


ด้วยคมมีดและอาวุธอาจจะฆ่าเสือหนึ่งตัวได้ด้วยความยากลำบาก แต่การต่อสู้กับฝูงงูนับร้อยนั้นเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด ยิ่งในตอนนี้เป็นช่วงเดือนมิถุนายนซึ่งตรงกับเวลาที่ลูกงูจะถูกฟักออกมาจากไข่ ปริมาณของงูทั่วบริเวณสิบตารางกิโลเมตรนั้นไม่ใช่เพียงแค่จำนวนน้อย ๆ เสียแล้ว


จากประสบการณ์ในการเป็นประธานนักเรียนในวิทยาลัยพาลลัสมาถึงห้าปี ผมเรียนรู้ได้ว่าการกระทำโดยปราศจากการวางแผนนั้นไม่เรื่องเข้าท่าเลยสักนิด หลายครั้งหลายคราที่เหล่านักศึกษาพุ่งโจมตีผมโดยไม่ได้วางแผนหรือวางแผนแล้วแต่ไม่รัดกุมพอ ผลคือการโดนผมเล่นงานกลับเสียไม่มีชิ้นดี  ฉะนั้นแล้วการฆ่างูจงอางทีละตัวไม่ใช่ความคิดที่เลยในการล้างเผ่าพันธุ์ของมัน หากจะต้องเหนื่อย..สู้เหนื่อยฆ่าล้างบางตั้งแต่ต้นตอที่รังใหญ่ไปทีเดียวคงจะดีกว่า


ผมกำหนดจิตเพ่งสมาธิเพื่อเปิดให้พลังจิตสัมผัสทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การหาต้นตอของเหล่างูจงอางนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเชื่อว่าภายในพื้นนี้ไม่ได้มีรังของมันเพียงแค่ห้าหรือหกรัง อีกทั้งร่างกายของผมยังคงวิงเวียนจากการเดินทางข้ามมิติอันแสนหฤโหดและยังเริ่มเหนื่อยล้าจากการใช้พลังจิตเมื่อครู่ ผมจึงไม่สามารถใช้พลังจิตสัมผัสได้ในรัศมีสิบกิโลเมตรดังเดิม คงทำได้แค่เพียงไม่เกินรัศมีหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น ผมกำหนดลมหายใจอีกครั้งและแผ่พลังจิตสัมผัสออกกว้างกว่าเดิม..


“เขาทำอะไรของเขาก็ไม่รู้เนอะมอนมอน...ท่าทางเครียดมากเลยล่ะ” เสียงรบกวนสมาธิดังขึ้นจากข้างบน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร พลังจิตสัมผัสกระตุกสั่นไหวเล็กน้อย การรับรู้ที่ผิดเพี้ยนทำให้ความรู้สึกหงุดหงิดก่อตัวขึ้นในจิตใจ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์ของตนเองไม่ให้เอาแบล็ค อีเกิ้ลยัดปากคู่หูไปเสียก่อน


เดี๋ยวนะ...ไอ้มอนมอนที่ว่านี่มันตัวอะไรกันแน่?


ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไปจากสมอง พยายามไม่สนใจเพื่อนคู่หูที่เริ่มพึมพำกับเจ้าวัตถุทรงกลมสีน้ำเงินอีกครั้ง เพียงไม่นานผมก็สัมผัสถึงคลื่นชีวิตจำนวนเกือบห้าสิบชีวิตในโพรงดินบริเวณเลียบแม่น้ำเอลเบอร์ห่างจากจุดที่ผมยืนอยู่ประมาณสามกิโลเมตร หากใช้เดินเต็มที่คงใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาที...


ก่อนอื่น..ต้องเก็บกวาดงูแถวนี้ก่อนสินะ...


คมดาบของท่านผู้อำนวยการส่องเป็นประกายเจิดจ้าเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ในยามเที่ยง ผมเพ่งพลังจิตลงไปที่ปลายดาบอีกครั้งก่อนจะตวัดดาบฟาดรอบตัวเป็นวงกลม..ปล่อยให้คมมีดพลังจิตได้ทำงานตามหน้าที่ของมัน


กระแสลมพัดวูบไปตามแรงดาบ คมมีดพลังจิตเป็นกระบวนท่าที่ผมค้นพบขึ้นจากการใช้พลังจิตร่วมกับการใช้ดาบในการฝึกฝนเหมือนดั่งเช่นทุกวัน มันแตกต่างกับคมมีดแท้จริงตรงที่ว่าสามารถควบคุมได้ดั่งใจคิด ทั้งประสิทธิภาพการทำลายล้างทุกสิ่งที่มันสัมผัสจากภายในก็มีเหนือกว่ามากนัก แม้ไม่ปรากฏบาดแผลภายนอกร่างกายแต่อวัยวะภายในล้วนบอบช้ำ หากโดยเข้าไปในปริมานมากอาจทำให้อวัยวะภายในฉีกขาดจนถึงตายได้


พลังชีวิตหลายสิบดวงค่อย ๆ ดับสูญไป ทิ้งไว้เพียงร่างที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีเข้มไว้บนพื้นหญ้า ทั้งรังที่อยู่ใต้ดินก็อยู่กวาดล้างไปด้วย เท่านี้การเดินทางไปยังรังใหญ่ของเจ้างูจงอางพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


“ลงมาจากต้นไม้ได้แล้วครับจิงส์” ผมร้องเรียกเพื่อนคู่หูที่นั่งแกว่งขาสบายอยู่บนต้นไม้ในขณะที่ผมต้องใช้พลังจิตในการทำงานอย่างเต็มที่ ก็สมกับเป็นนักศึกษาสาขาเวทมนต์ศึกษาที่ทำได้เพียงตั้งรับอยู่เบื้องหลังของนักศึกษาสาขาศิลปะการต่อสู้ เพราะถ้าปล่อยให้นักเวทไปเป็นแนวหน้า..มีหวังได้แตกทัพตั้งแต่เริ่มสู้ได้ห้านาทีแน่ ๆ


“ฮ้าว...” จิงส์ยกมือขึ้นปิดปากหาว “ผมกำลังง่วงเลยนะครับนี่...ต้องไปอีกแล้วหรือครับคุณเรสริคซ์ ขอนอนพักตรงนี้เดี๋ยวนึงไม่ได้หรือครับ ผมขี้เกียจลงไปอ่ะ..” ชายหนุ่มปรือตามองผมด้วยสายตาง่วงงุนที่มองแล้วชวนอารมณ์ขึ้นอย่างแปลกประหลาด คนเหนื่อยแทบตายอย่างผมยังเอาแต่คิดแต่งานที่ต้องทำเบื้องหน้า ในขณะที่คนสบายอย่างจิงส์กลับขอนอนพัก..


โครม!


ตุ้บ!



ผมยกเท้าขึ้นยันต้นไม้โดยแรงตามด้วยเสียงของเพื่อนคู่หูที่กลิ้งตกลงมากระแทกกับพื้น...แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมของประธานนักศึกษาแต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำ ตอนนี้ผมชักคิดถึงเตียงนอนนุ่มและอ่างอาบน้ำอุ่นในห้องพักประธานนักศึกษาเหลือเกิน...ผมอยากทิ้งตัวลงนอนโดยปราศจากเพื่อนคู่หูสักคืนสองคืน


“ผมเจ็บนะครับคุณเรสริคซ์...”ชายหนุ่มผมสีชาบ่นอุบอิบ “ดีนะที่ไข่มอนมอนไม่แตก..ไม่อย่างนั้นแย่แน่เลย...”


มอนมอนอีกแล้ว...แต่..ไข่?...อย่าบอกนะว่า....


“จิงส์...คุณคงไม่ได้หยิบไข่ในรังของจิบปี้มาหรอกใช่มั้ย” น้ำเสียงของผมเฉยชาจนตนเองก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกชวนขนลุก ใบหน้าครึ่งล่างของเพื่อนคู่หูซีดจางเท่านั้นก็ยอมรับได้แล้วว่าเรื่องที่ผมคาดเดาไว้เป็นเรื่องจริงโดยไม่ต้องนึกกังขา


“แหะ ๆ ก็จิบปี้บอกว่าให้ผมเอามาได้นี่นา..” ชายหนุ่มยอมรับเสียงอ่อย...เส้นเอ็นที่ขมับของผมปูดโปนด้วยแรงอารมณ์ทันทีที่ได้ยิน


จะบ้าหรือไงกันเล่า! ไปเอาลูกนกยักษ์ขนาดนั้นมาแล้วจะเอาไปเลี้ยงยังไงกัน แล้วไอ้การนำสิ่งของจากอดีตกลับคืนสู่โลกปัจจุบันมันก็ผิดกฎชัด ๆ !!


“เรื่องนี้...เราจะคุยกันทีหลังอีกที” ผมระบายลมหายใจออกมาเพื่อระงับสติอารมณ์ ตอนนี้ถ้าขืนมัวแต่เล่นงานจิงส์เรื่องไข่ของจิบปี้คงไม่ได้ทำอะไรกันพอดี “ผมว่าเรารีบทำภารกิจแล้วกลับกันดีกว่า..คุณต้องใช้เวลาเท่าไหร่พลังเวทถึงจะมากพอสำหรับการกลับยุคของผม”


“ระยะเวลาแค่สามพันปีผมใช้ฟื้นพลังเวลาประมาณสามชั่วโมงก็ได้แล้วครับ” รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าครึ่งล่าง ก่อนที่เขาจะกลับไปสนทนากับเจ้าไข่สีฟ้าเข้มนั่นอีกครั้ง “เห็นมั้ยครับมอนมอน คุณเรสริคซ์น่ะใจดีออกจะตายไป..”


ผมสั่นหัวอย่างเอือมระอาให้กับพฤติกรรมของเพื่อนสนิท ร่างผอมแห้งและไหล่ที่คุดคู้ชวนน่าหดหู่สาวเท้าขยับตามผมอย่างใจเย็น โชคดีที่ผมล้างบางงูจงอางไปเป็นระยะทางสามร้อยเมตร...มิฉะนั้นคนเอื่อยเฉื่อยที่จ้อกับไข่นกอยู่อาจจะได้ไปเดินเล่นอยู่ในยมโลกแทน


กว่าจะมาถึงพื้นดินที่เป็นรังของเจ้างูจงอางพวกผมก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง ดาบของโซลว์ได้ลิ้มรสเลือดงูไปไม่รู้จักกี่ตัวที่ขวางทางเข้ามาในระหว่างทาง...ไหนจะต้องต้องเสียเวลากับการเดินชมนกชมไม้ของจิงส์ที่เอื่อยเฉื่อยจนผมอยากจะให้ดาบที่ถืออยู่ได้ลิ้นรสเลือดจิงส์ไปบ้างเหมือนกัน


โพรงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นให้เห็นแก่สายตา มันเป็นโพรงลึกใต้ต้นไม้ขนาดสิบคนโอบซึ่งอยู่ห่างจากแม่น้ำเอลเบอร์ไปเพียงไม่ถึงเมตร แม้จะเป็นบริเวณที่งูชุกชุมแต่ก็ยังพอให้เห็นสัตว์ชนิดอื่น ๆ เนื่องด้วยความอุดมสมบูรณ์จากแหล่งน้ำที่ไหลเวียน


ตรงนี้สินะ...รังใหญ่ของงูจงอาง ถ้าหากว่าผมสามารถล้างเผ่าพันธุ์มันได้..ก็เท่ากับว่าผมจะได้กลับสู่ยุคสมัยของผมเร็วขึ้น ก่อนที่ผมจะได้สาวเท้าจากเนินดินที่ยืนอยู่ตรงไปยังปากโพรงซึ่งห่างไปเกือบห้าเมตร มือผอมแห้งของจิงส์ก็รั้งแขนเสื้อผมไว้เสียก่อน เขายกมือขึ้นแนบกับริมฝีปากเหมือนกับว่าให้ผมเงียบเสียงแล้วชี้ไปยังพื้นที่ราบลุ่มบริเวณโพรงต้นไม้


งูจงจางเลื้อยขึ้นมาจากโพรงตัวแล้วตัวเล่า...ไม่ว่าจะเป็นตัวลูกที่เพิ่งฟักจากไข่หรือตัวขนาดโตเต็มไว้ ผมเพ่งไปพลังจิตสัมผัสเพื่อสำรวจถึงจำนวนของงูที่ยังเหลืออยู่ในโพรง ก่อนจะพบว่างูทั้งหมดทั่วบริเวณที่จะกลายเป็นศูนย์กลางอารยธรรมมารวมกันอยู่ที่พื้นที่ตรงนี้เพียงจุดเดียว ผมหรี่ตามองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่เข้าใจ


ความน่าสะอิดสะเอียนเริ่มต้นขึ้นเมื่อเหล่างูจงอางเริ่มกัดกินกันเอง หลายตัวเข้าฟัดกันเป็นกลุ่มก้อนสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ลูกงูตัวเล็กที่เพิ่งฟักถูกงูที่โตกว่ากลืนกินไปทั้งตัว น้ำเลือดจากคมเขี้ยวของงูสาดกระจายไปทั่วบริเวณ กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นชวนทำให้คลื่นเหียน...ภาพเบื้องหน้าทำให้ผมเกือบทำให้ผมอาเจียนออกมาด้วยความขยะแขยง หากแต่จิงส์ช่วยดึงตัวผมออกจากจุดตรงนั้นเสียก่อน


“มันคือการกัดกิน...เป็นวิวัฒนาการแบบเร่งด่วนของสิ่งมีชีวิตโดยมีเวทมนต์เป็นตัวกระตุ้น งูพวกนี้ต่างก็มีเวทมนต์ในตัวของมันเอง มันคงจะรับรู้ได้ตามธรรมชาติว่าอีกไม่นานจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่อยู่เหนือมันมาบุกเบิกพื้นที่นี้และจะทำให้มันไม่สามารถอยู่อาศัยในถิ่นของมันได้อีกต่อไป...การกัดกินเลยเริ่มต้นขึ้น”


เสียงของจิงส์อธิบายขึ้นพร้อมกับลูบหลังผมเหมือนปลอบใจ แม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้ความรู้สึกคลื่นไส้นั้นจางหายลงไปได้ เพราะกลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งอยู่ในอากาศมันกระตุ้นให้ผมรู้สึกแย่อยู่ตลอดเวลา มือผอมแห้งข้างหนึ่งที่ว่างของชายหนุ่มผมสีชาช่วยโบกพัดไล่กลิ่นเหม็นนั้นออกไปให้...เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นประโยชน์ของเพื่อนคู่หู เขารอบรู้และห่วงใยผมกว่าที่คิด บางทีเขาอาจจะสื่อสารกับงูจงอางพวกนั้นและเจรจาให้มันย้ายออกไปจากพื้นที่ก็เป็นได้


“คุณไม่คิดจะลองไปคุยกับงูพวกนั้นหน่อยหรือครับ...เผื่อว่ามันอาจจะยอมย้ายไปดี ๆ โดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ” เจ้าของสื่อสั่นหัวเป็นคำตอบก่อนจะหัวเราะเสียงเบา


“หน้าตาผมเหมือนพ่อมดน้อยใส่แว่นที่มีแผลเป็นรูปสายฟ้าฟาดที่หน้าผากหรือไงครับคุณเรสริคซ์ถึงได้ให้ผมไปคุยกับงูน่ะ ผมพูดภาษางูไม่ได้หรอกครับ..มันไม่ได้อยู่ในหลักสูตรน่ะ”


ไม่น่าเชื่อว่าจิงส์จะรู้จักหนังสือชุดพ่อมดน้อยซึ่งโด่งดังไปทั่วสี่ดินแดนนั้นด้วย...แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ว่าความคิดการเจรจาใช้ไม่ได้เสียแล้ว สุดท้ายก็ต้องลงเอยด้วยการฆ่าฟันอยู่ดี...


กฎธรรมชาติ...ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดบนโลกใบนี้ได้และมนุษย์ก็ถือว่าตนเองเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุด สัตว์อื่นต้องถูกกำจัดออกไปเพื่อให้การสร้างอารยธรรมของมนุษย์เสร็จสมบูรณ์ เมื่อตรึกตรองดูแล้วนี่ช่างเป็นความคิดที่แสดงได้ถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี...


“จบแล้วการกัดกิน...ตอนนี้เหลือเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีชีวิตอยู่รอด” เสียงของจิงส์ที่ดังขึ้นผ่านกระแสลมที่เบาบางหลังจากการกัดกินดำเนินมาตลอดสี่ชั่วโมง พระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงต่ำจากขอบฟ้าบ่งบอกถึงเวลาของวันนี้ที่จะหมดสิ้นลงไปภายไม่กี่ชั่วโมง กลิ่นคาวเลือดในอากาศเริ่มเจือจางจากตอนแรกเริ่ม ผมค่อย ๆ หันหน้ากลับไปมองพื้นดินราบทางเบื้องหลังอีกครั้ง


ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้ผมอดตื่นตะลึงไปไม่ได้ งูยักษ์เกล็ดสีดำมันขลับชูคอขึ้นจากลำตัวที่ขดซ้อนทับกันหลายชั้น ลำตัวของมันอาบไปด้วยหยาดเลือดและเศษเนื้อจากพวกพ้อง ผมไม่สามารถคาดคะเนได้ว่ามันมีขนาดยาวเท่าไร...แต่ความกว้างของลำตัวนั้นมีขนาดราวหนึ่งเมตร มันเป็นงูยักษ์ที่ขนาดใหญ่กว่าจิบปี้หลายเท่าตัวนัก


นัยน์ตาคู่สีแดงก่ำดุจดั่งทับทิมจับจ้องมายังผมและเพื่อนคู่หูอย่างไม่วางตา แม้ว่ามันจะไม่มีท่าทีที่จะโจมตีดั่งเช่นงูจงอางดุร้ายทั่วไป เหมือนกับมันต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างที่ผมไม่อาจรับฟังมันได้ หน้าที่ของผมในภารกิจนี้คือการทำทุกวิถีทางเพื่อให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือสุดของห่วงโซ่อาหาร มิฉะนั้นผู้ครอบครองดินแดนราบลุ่มแม่น้ำเอลเบอร์คงไม่ใช่ยูซาคุสที่หนึ่งอย่างแน่นอน


ผมดึงแบล็ค อีเกิ้ลที่คาดอยู่กับอกออกมาพร้อมบรรจุพลังเวทลงไปในกระสุน...เตรียมพร้อมที่จะกำจัดมันในทันที เพราะประวัติศาสตร์ไม่ได้กล่าวถึงการวิวัฒนาการของงูจงอางเอาไว้ ฉะนั้นมันไม่มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป...


ปัง!


กระสุนพุ่งออกจากแบล็ค อีเกิ้ลตรงไปยังร่างที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีดำวาว หากแต่สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ขยับเบี่ยงตัวหลบได้ในทันท่วงที ปลายหางของมันเหวี่ยงสะบัดเข้าหาผมและเพื่อนคู่หู ผมกระโดดหลบก่อนจะหันไปมองเพื่อนคู่หู จิงส์ใช้ทักษะปีนขึ้นไปหลบบนต้นไม้อย่างรวดเร็วไม่สนใจซะด้วยซ้ำว่าผมกำลังจับปืนสู้กับงูยักษ์อยู่


เพื่อนคู่หูผมจะหนีได้เก่งเกินไปแล้ว!


ฟ่อ!


เสียงร้องคำรามดังขึ้นผ่านซี่เขี้ยว หยดน้ำสีดำสนิทถูกพ่นออกมาจากปากของเจ้างูยักษ์หมายพุ่งตรงมาทางผม ซึ้งกระโดดหลบตามสัญชาติญาณทันที ด้วยสีอันเข้มข้นจนน่าขนลุกของมันทำให้ผมไม่อยากคาดคิดเลยว่าพิษของงูจงอางที่เหลือรอดเป็นตัวสุดท้ายตัวนี้จะร้ายแรงเพียงใด


พิษของงูที่ได้รับวิวัฒนาการอย่างเร่งด่วนโดยการกัดกินสามารถทำให้พื้นหญ้าเขียวขจีแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแห้งกรอบเมื่อหยาดพิษกระทบลงพื้นดิน ก่อนจะแตกสลายเป็นผุยผงและปลิวไปตามสายลมที่โหมพัด...ผมไม่อยากจะจินตนาการเอาซะแล้วสิว่าถ้ามันโดนตัวผม ผลจะออกมาได้น่ารันทดขนาดไหน


ฟ่อ!


พลาดเข้าให้แล้ว!!


มันพ่นพิษเพื่อให้หลอกล่อให้ผมขยับหลบไปยังบริเวณปลายหางที่ซ่อนไว้ในพงหญ้า กว่าผมจะรู้ตัวว่าตกอยู่ในกับดักของงูยักษ์ก็เมื่อลำตัวสีดำที่เต็มไปด้วยเกล็ดขดรัดร่างกาย ไล่ตั้งแต่ต้นขาจนถึงแผ่นอก ผิดที่ผมไม่ได้ใช้พลังจิตสัมผัสตั้งแต่แรกเพราะมัวย่ามใจ...เรื่องแบบนี้ไม่มีวันจะเกิดขึ้นอีกเด็ดขาด!


“อึ้ก”


เสียงร้องหลุดออกมาจากลำคอของผมเมื่อลำตัวหนาบีบรัดร่างกายแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ผมพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถสู้แรงของอีกร่างได้ มุมเกล็ดคมจนรู้สึกได้นั้นเริ่มบาดเข้าที่ผิวเนื้อ เสียงร้องที่ส่งออกไปเหมือนว่าจะทำให้เจ้าของแรงรัดนั้นรับรู้ว่าใกล้จะถึงขีดสุด..งูยักษ์คลายลำตัวที่รัดตรึงออกเล็กน้อย มันโน้มหัวเข้ามาใกล้ผมในระยะเพียงไม่ถึงเมตร ดวงตาคู่สีแดงก่ำจ้องมองมาที่ผมเหมือนครุ่นคิด เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมสามารถขยับแบล็ค อีเกิ้ลขึ้นเล็ง...


ปัง! ปัง! ปัง!


กระสุนสีเงินบรรจุพลังเวทไฟพุ่งทะยานจากปลายกระบอกปืนคู่ใจของผม เจ้างูยักษ์ไม่แม้แต่จะขยับเบี่ยงหลบ นัยน์ตาทั้งคู่ทำเพียงจ้องมองผมอย่างสงบ แม้ว่าผมจะลั่นไกปล่อยลูกกระสุนที่จะพรากชีวิตมันออกไปจากโลกกลม ๆ อันโหดร้ายใบนี้ก็ตาม..จนกระทั่งกระสุนทั้งสามนัดพุ่งทะลุเจาะเกล็ดสีดำเข้าไปและเวทไฟกำลังเริ่มทำงานด้วยการเผาผลาญจากภายใน ลำตัวที่ขดรัดร่างกายผมแน่นค่อย ๆ ผ่อนออก นัยน์ตาคู่สีทับทิมทั้งคู่ก็ยังคงส่องให้เห็นเงาสะท้อนของผม...


ไม่มีการดิ้นรน ไม่มีการหลบหนี...แม้ว่าเปลวเพลิงจะลุกไหม้ไปทั่วลำตัวดำละเมื่อม ก่อนที่พลังชีวิตของเจ้างูยักษ์จะดับสูญไป...เหมือนกับว่าผมได้ยินเสียงเฉกเช่นชายชราผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญาเอ่ยขึ้นเป็นคำถาม


“มนุษย์เอ๋ย...เหตุใดเจ้าจึงต้องแย่งชิง..”


...


มันเป็นคำถามที่แม้แต่ผมผู้ซึ่งใครก็กล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะในรอบหลายสิบปีไม่กล้าเอ่ยตอบ เหตุใดมนุษย์ต้องแย่งชิง...ทำไมผมถึงต้องลงมือฆ่าสัตว์ที่ไม่ได้เป็นภัยอันตรายต่อตัวผมเอง เพียงเพราะว่าหน้าประวัติศาสตร์ไม่มีมัน หรือเป็นเพราะมนุษย์ต้องการแย่งชิงที่อยู่จากมันกันแน่...


ดวงตาทั้งคู่ร้อนผ่าวราวกับว่าจะมีน้ำตาเอ่อล้นออกมาโดยที่ผมไม่รู้สาเหตุ...น่าอับอายจริง ๆ ประธานนักเรียนแห่งพาลลัสไม่ควรจะเผยความอ่อนแอให้ใครได้เห็น ผมยกมือขึ้นเช็ดหางตาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำไหลออกมาจริง ๆ ..


“ไม่เป็นไรนะครับคุณเรสริคซ์” เสียงของจิงส์ดังขึ้นที่ข้างใบหู มือร้อนของเขาจับมือผมไว้แน่น “จับมือผมแน่น ๆ นะครับ...เราจะได้กลับบ้านกัน”


 อา...กลับบ้านกันเถอะ...


....โปรดติดตามตอนต่อไป....


มาลงตอนที่สามต่อแล้วค่ะ ^ ^

@คุณทะเลเดือดพันธุ์ร็อค ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจ

@คุณPsycho man
ขอบคุณมากเลยค่ะสำหรับกำลังใจ คำติชมและความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์อย่างมาก
สำหรับเรื่องความสมจริงและความไม่สมเหตุสมผลซิ่นจะพยายามปรับแก้ไขนะคะ
เพราะส่วนที่ผิดพลาดบางส่วนก็ไม่ได้กระทบกับเนื้อเรื่องหลักเท่าไหร่อยู่แล้ว
สำหรับเรื่องที่เกริ่นในบทนำนั่นจะเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องหลักๆค่ะ เกือบๆกลางเรื่องได้เลย

ส่วนเรื่องที่คนน้อยซิ่นค่อนข้างจะทำใจแล้วค่ะ ลงที่ไหนก็ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก(?)
ตอนประกวดในเด็กดีคนยังงงๆกันด้วยซ้ำว่าได้ที่สามมายังไง (นอกกระแสสุดๆ ขนาดคนเขียนเองยังงงเองเลยค่ะ)
ขอแค่มีคนลงชื่ออ่านสักคนสองคนซิ่นก็ดีใจแล้วค่ะ ^ ^
แล้วก็ขอบคุณมากๆเลยนะคะสำหรับคำชมที่ว่าไม่ธรรมดา เขียนนิยายมาแต่หกปี ยังไม่มีใครชมเลยค่ะ (ฮา)


ขอบคุณทุกท่านนะคะที่เข้ามาอ่าน ซิ่นอาจจะหายหน้าหายตาไปสักวันสองวันนะคะ
พอดีวันที่สามสิบนี้มีสอบรับตรงธรรมศาสตร์ค่ะ ชีวิตเด็กม.หก(ที่ยังไม่มีที่เรียน)ลำเค็ญเช่นเคยค่ะ

แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 54 17:41:20

จากคุณ : resin_part_14
เขียนเมื่อ : 28 ธ.ค. 54 17:38:11




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com