Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กีฏมนตรา บทที่ 39 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าแด่เพื่อนนักอ่านทุกท่านนะครับ ขอให้มีความสุข ปราศจากโรคาพยาธิและรื่นรมย์กับการอ่านหนังสือตลอดปี ตลอดไปนะครับ

สำหรับกีฏมนตรา บัดนี้ดำเนินมาถึงบทที่ 39 แล้วครับ

สำหรับตอนที่ผ่านมานะครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11509146/W11509146.html

ขอขอบคุณกิฟต์และข้อคิดเห็นจากทุกท่านด้วยครับ
คุณ  นุ้ย นารีจำศีล, คุณปุ้ย npuiy,คุณ กุหลาบมอญ, คุณ Travel to the moon, คุณเรียวรุ้ง, คุณอิน อินทรายุธ, คุณ มน Setakan ครับ
ติดตามต่อได้เลยครับ

บทที่ 39


           “ฉันคือมายาภาพ?”


            รอยยิ้มน้อยๆแกมขบขัน ยั่วเย้า แย้มขึ้นบนใบหน้าที่มีองค์ประกอบอันแตกต่างกัน หากเมื่อรวมแล้วกลับเป็นส่วนผสมอันกลมกลืนกันในทุกส่วน จนทำให้เป็นรูปหน้าของมนุษย์ที่ทรงโฉมขึ้นมาได้อย่างประหลาด


              “ไม่มีประโยชน์หรอกคุณธุมชาลที่จะเสาะหาคำตอบได้ทุกคำตอบ หลายสิ่งหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อรอคอยให้เสาะแสวงหาคำตอบ สนองความอยากรู้อยากเห็นเพียงอย่างเดียว แต่บางสิ่งเกิดขึ้นเพื่อให้เราได้เกิดความตระหนักรู้ ขึ้นมามากกว่า”


            “ตระหนักรู้?”


            เขาทวนคำพูดนั้นคล้ายละเมอ มือเรียวยาวในอาภรณ์ประหลาดตาผายกว้างออก ไม่ต่างกับการขยับปีกพลิ้วไสวของผีเสื้อเพื่ออวดแผงปีกอันสวยงามของมัน


               “เหมือนกับที่คาเรน นงลักษณ์ เหมวดี หรือคนอื่นๆรู้ ฉันเพียงช่วยให้คุณได้เข้าไปมองเห็นตัวเองได้ชัดเจนขึ้นไงล่ะธุมชาล เห็นสิ่งที่คุณเคยเป็นและพยายามที่จะเป็น และตระหนักในสิ่งที่ตนเองกระทำลงไป เพื่อที่จะเลือก...”


               “แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตให้กับคนอื่น”


                “ตัดสินชีวิตหรือ? น่าขัน พวกเขาทุกคนตัดสินตัวของเขาเอง โดยไม่มีใครบังอาจไปพิพากษาชีวิตของเขาได้เลย ถ้าเขาไม่เลือกแล้ว ด้วยตัวของเขาเอง”


                 เสียงหัวเราะสดใสราวระฆังแก้ว หากทำให้เกิดอาการร้อนรุ่มบังเกิดขึ้นทั่วทั้งร่างกายราวเป็นไข้ ภาพกีฏยาพร่าเลือนไปชั่วขณะ ดอกเตอร์หนุ่มพยายามควบคุมสติตัวเองเอาไว้มั่นคง รับรู้เหมือนในร่างกายตนเอง กำลังมีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างค่อยคืบคลานบุกรุกเข้ามาเพื่อเอาชนะ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งภายในร่างกายก็กำลังต่อสู้กับมันอย่างไม่ยอมพรั่นแพ้


                แพ้เหมือนกับที่หลายคนได้ประสบชะตากรรมมาแล้ว!


                  “ธุมชาล... คุณเองก็เช่นเดียวกันกับคนอื่น คุณเลือกที่จะตัดสินชีวิตตนเอง เลือกเส้นทางต่างๆในชีวิต โดยไม่อาจโทษใครคนอื่นได้ทั้งสิ้น”


                 “เธอ...”


               “จะอธิบายในแง่วิทยาศาสตร์ของคุณก็ได้ ว่าฉันเป็นเพียง “พาหะ”ที่นำความจริงขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก แต่ผลลัพธ์ชะตากรรมของแต่ละคน ย่อมขึ้นอยู่กับตัวของเขาเท่านั้นที่เป็นคนเลือก”


                 สายตาคู่นั้นเลื่อนผ่านไปยังเกตุมาลา หญิงสาวไม่ต่างกับคนที่กำลังเดินทางมาถึงทางแยกสองแพร่ง และกำลังตัดสินใจที่ก้าวเดินไปสู่เส้นทางใดเส้นทางหนึ่งเบื้องหน้า


                “แล้วเธอล่ะ เกตุมาลา ตอนนี้เธอก็ได้เห็น “ธาตุ”ของเขาแล้วนี่นะ ผู้ชายคนที่เธอเคยรักเคยชื่นชม เป็นตัวแทนของพ่อที่ไม่เคยมีอยู่จริงในโลก”


                 ใบหน้าเกตุมาลาแดงระเรื่อขึ้นและร้อนผ่าวจนตัวเองรู้สึก ไม่ประหลาดใจในสิ่งที่อีกฝ่าย “ล่วงรู้”อีกต่อไป หล่อนเผลอลูบใบหน้าโดยไม่ได้หันไปมองบุรุษหนุ่มต้นเหตุ คนที่รู้ว่าเขาก็กำลังจ้องมองมาที่หล่อนด้วยเช่นเดียวกัน


              “เธอจึงทำทุกอย่างเพื่อเขา นั่นเป็นแรงขับของสัญชาตญาณทางเพศในอีกด้านหนึ่ง แม้แต่การเลือกที่จะมาศึกษาเรื่องของผีเสื้อพวกนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นเพราะธุมชาล แท้จริงแล้วเธอไม่เคยชอบมัน... ผีเสื้อเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับนำไปสู่ธุมชาลเท่านั้น”


             “ไม่จริง ฉัน...”


              เผลอตะโกนโต้ออกไปสุดแรง แม้จะรู้ว่านั่นเป็นวิธีการแบบหนึ่งที่กีฏยาพยายามจะนำมาใช้ เพื่อค้นหา... จุดอ่อนภายในใจ ไม่ต่างกับการต่อสู้ภายในตนเองเช่นเดียวกับชายหนุ่มในดวงใจผู้นั้น


               “ถ้าเช่นนั้น บรรดาซากผีเสื้อทั้งหลายที่แอบสตาฟฟ์มันเอาไว้ขายล่ะ? เธอมองผีเสื้อไร้ชีวิตเหล่านั้นเป็นเพียงวัตถุสำหรับผลิตขึ้นเพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้นหรือเปล่า?  จริงอยู่ ส่วนหนึ่งอาจจะอ้างว่าเพื่อไว้ศึกษาในงานวิจัยของเธอ แต่อีกส่วนหนึ่งล่ะ? ในเวลาที่ขายซากผีเสื้อเหล่านั้นแลกกับเงินตราจำนวนหนึ่งที่ได้รับมา มันมีเหตุผลเพื่ออะไรมารองรับ?”


                   คำพูดของฝ่ายนั้นจี้ลงมากลางใจพอดิบพอดี ในจุดอ่อนที่พยายามหลอกตัวเองมาตลอด จริงหรือที่เป็นความหลงใหลผีเสื้อ รักในสีสันสวยงามตามธรรมชาติสร้างมาเหล่านั้น หรือเป็นเพราะอาจารย์ธุมชาล? มันเป็นความรักหรือความลุ่มหลงกันแน่?  


               เกตุมาลารู้สึกเหมือนขนาดของตัวตนลีบเล็กลงไปจนแทบจะเท่ามดปลวก ไม่กล้าหันกลับไปเผชิญกับสายตาดอกเตอร์หนุ่มผู้นั้น ความรู้สึกอัปยศอดสูเกิดขึ้นและผ่านเข้ามาปะทะครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต่างกับคลื่นปั่นป่วนในมหาสมุทร


                โดยไม่ปล่อยให้มีโอกาสแม้แต่จะตั้งตัว รู้ดีว่าอาจารย์ธุมชาลก็กำลังรับรู้ความจริงที่ไม่เคยเปิดเผยกับเขามาก่อนเช่นเดียวกัน นี่คือเนื้อในของเกตุมาลา ไม่ใช่เด็กสาวที่ฝักใฝ่การเรียน มุ่งมั่นกับการทำวิจัยอย่างที่ธุมชาลปรารถนาอีกต่อไป ภายใต้เปลือกนอก เพียรสร้างเอาไว้อย่างที่รู้ว่าเขาต้องการจะเห็น มันคือความโลภที่เกิดขึ้นภายในหัวใจแท้จริง


                 หล่อนขายซากผีเสื้อสตาฟฟ์เหล่านั้น เพราะเห็นว่ามันทำรายได้เล็กๆน้อยๆ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามออร์เดอร์ที่ได้รับมาเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกลายเป็นความเคยชินและหลอกกับตัวเองว่าไม่ใช่สิ่งที่ผิด


               ใครๆเขาก็ทำกัน!


               สำหรับผีเสื้อแสนสวยเหล่านั้น เกตุมาลามองว่าพวกมันเป็นเพียง “วัตถุ”...  ก็แค่แมลงหลากสีที่มีอยู่มากมายบนโลกใบนี้ แมลงที่มีค่าแค่การได้อวดโชว์รูปกายของมัน เพื่อผลิตเม็ดเงินให้ไหลออกมาสู่กำมืออย่างง่ายดาย โดยแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย


             คุณค่าของพวกมัน ก็เพียงเท่านี้เอง!!


                “ใช่ไหมล่ะ เกตุมาลา? ตอบออกมาสิ ตอบให้ดอกเตอร์ธุมชาล คนที่เธอหวังให้เขาศรัทธา เชื่อมั่น ได้รับรู้ในสิ่งที่เป็นความจริงของตัวเธอเอง เหมือนกับที่คาเรน เหมวดี หรือนงลักษณ์ ได้ตอบออกมาแล้ว!”


            เสียงนั้นก้องกังวานไปรอบบริเวณด้วยกระแสอันท้าทาย แล้วเคลื่อนผ่านเข้าสู่โสตประสาทครั้งแล้วครั้งเล่าโดยมิอาจปิดกั้นด้วยอำนาจใดๆ


               “ใช่! ฉันเป็นคนทำมันเอง เป็นความคิดของฉันเอง ฉันต้องการเงิน จากพวกผีเสื้อสตาฟฟ์เหล่านั้น ฉันมาเรียนที่นี่ก็เพราะอยากจะอยู่ใกล้กับอาจารย์ ฉัน...”


           หญิงสาวกรีดเสียงร้องตอบออกมาเมื่อถึงจุดระเบิด พร้อมก้อนสะอื้นแล่นขึ้นจุกลำคอจนเอ่ยคำใดออกไปอีกไม่ได้ ในม่านน้ำตาพร่าพรายเมื่อหันกลับไปเผชิญหน้ากับสายตาของอาจารย์หนุ่ม คาดว่าจะเห็นความผิดหวัง สูญสิ้นความภาคภูมิใจในตัวลูกศิษย์เอกที่เขาเคยวาดหวังเอาไว้


            เหมือนกับที่หล่อนรู้สึกสูญเสียศรัทธาต่อเขาในห้วงเวลาก่อนหน้านั้นมาแล้ว


                “อาจารย์ชาล... เกตุ... เกตุ... เกตุผิดไปแล้ว”


               น้ำตาขังคลอที่ปลายหน่วยตาเจียนหยด และเมื่อเบนสายตาประสานกับชายหนุ่มก็พบว่า...

           *************************


              คนอย่างบุรโชติไม่เคยเป็นฝ่ายยอมแพ้ใคร ในม่านสลัวแห่งภาพอดีตอันพร่าจาง ณ เวลานั้น  มันอาจจะเป็นเพียงไอ้บุที่ถูกทุกคนดูถูกเหยียดหยามเหมือนคนไร้คุณค่า แต่มันก็ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อคำพูดสบประมาทของไอ้คนพวกนั้น


             ตราบจนเมื่อถึงวันที่ไอ้บุรีคนนี้สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ จนก้าวขึ้นมายืนอยู่ตรงจุดสูงสุดในชีวิตเช่นนี้ได้สำเร็จ นั่นก็ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถที่แท้จริงของมันแล้วไม่ใช่หรือ?


                 เพราะมันคือบุรโชติคนใหม่ รูปโฉมใหม่ ไม่เหลือเค้าของไอ้บุรี เด็กผอมกระหร่องขาดความมั่นใจคนนั้น ไม่เหลือตัวตนเดิมแท้จริงอีกต่อไป


              ไม่ต่างกับผีเสื้อสวยงามที่ถือกำเนิดขึ้นจากตัวหนอนอันน่าเกลียด น่าขยะแขยง


              ร่างกำยำสูงใหญ่หอบหายใจหนักหน่วงจนแผงอกเต็มไปด้วยมัดกล้ามไหวกระเพื่อม เมื่อก้าวเขาบุกพงหญ้าหนาทึบระคายผิวลงมาจากเนินเขาด้านบนได้สำเร็จ เส้นทางเล็กๆนั้นคดเคี้ยวจนเขาหลงอยู่ในดงไม้หนาทึบจนแทบอ่อนแรง ฟ้ามืดสลัวจนกลายเป็นสีขาบเข้มตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ ความต้องการ ความกระหายในตัว “เหยื่อ”ที่เล็ดลอดหนีออกไป ทำให้เขาลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ความหิว


               เกตุมาลา... เขาต้องหาตัวหล่อนให้พบ “เสียง”ในหัว ซึ่งดังมาจากมัทนียา บอกกับเขาว่าหล่อนยังมีชีวิตอยู่ แน่นอน ถ้าพบตัวเมื่อไร จะต้องลงโทษให้สาสมที่สุด!!


               เมื่อนั้นชายหนุ่มผู้บ้าคลั่งมองเห็นแสงไฟจุดประกายวอมแวมอยู่ตามหมู่อาคารบ้านเรือนเหล่านั้น นั่นคือจุดหมายปลายทางที่พวกมันต้องการให้เขามาถึง?


               มือข้างหนึ่งเผลอกำกระชับปืนลูกโม่เอาไว้แนบแน่น ลมหายใจที่หอบหนักหน่วงตลอดเวลาทำให้รู้ว่าสภาพร่างกายที่เคยคิดว่าแกร่งกล้าจากการระดมเสริมด้วยฮอร์โมนเพศชาย โปรตีนที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อนานาประเภท รวมถึงยาบางชนิดที่บ่งสรรพคุณของการเสริมสมรรถนะ สรรพปัจจัยที่เขาพากเพียรเสาะหามาด้วยความเหนื่อยยาก... กลับหาใช่ความแข็งแกร่งในอุดมคติอย่างแท้จริงไม่


                  เมื่อต้องเผชิญกับการเดินทางอย่างทรหดในสภาพภูมิประเทศทุรกันดารเช่นนี้ อาการเมื่อยล้าเริ่มปรากฏจนแทบก้าวขาไม่ออก ทำให้ตระหนักความอ่อนแอของตัวเองขึ้นมาในวูบหนึ่ง


              อ่อนแอ? ขี้โรค?


            ไม่! เป็นไปไม่ได้!!


              ไอ้บุ ไอ้ขี้โรค!!


               รีบขจัดความคิดนั้นทิ้งไป รับไม่ได้ที่จะต้องยอมรับสภาพเช่นนั้น เพราะเขาคือนายบุรโชติ ผู้ภาคภูมิกับความแกร่ง ความแข็งแรงและความสวยงามแห่งมัดกล้ามในทุกสัดส่วนของบุรุษ ด้วยเรือนกายกำยำงดงามที่พากเพียรปั้นมันขึ้นมาด้วยตัวเอง


                 กลบคำว่าอ่อนแอ ปวกเปียก...และพ่ายแพ้!!


                 ชายหนุ่มยกมือปาดเหงื่อที่ผุดพร่างออกมาตามใบหน้าและร่างกายจนชุ่มโชก ความเหงื่อผสมผสานกับเศษฝุ่นดินและแมลงที่เริ่มมาไต่ตอมตามเนื้อตัว ยิ่งสร้างความหงุดหงิดงุ่นง่านมากขึ้น นี่ไม่ใช่การออกกำลังกายในฟิตเนสเย็นเฉียบ มีแอร์คอนดิชันในระดับอุณหภูมิเหมาะสมคอยเป่าเหงื่อให้ระเหยแห้งไปในเวลาอันรวดเร็วเมื่อการ “เบิร์น”ไขมันสิ้นสุดลง แต่ไม่ใช่เกิดขึ้นในสภาพความเป็นจริงเช่นนี้


              ทุกอย่างมีแต่ป่า ป่า และก็ป่า ที่รกทึบเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน


                   ชั่วขณะหนึ่งกิ่งไม้ก้านหนึ่งที่ถูกเหนี่ยวแล้วดีดตัวพุ่งตวัดกลับมา ตามแรงรั้งดึงระหว่างการเดินบุกตะลุยลงมา มันตีเข้ากระทบใบหน้าอย่างจังจนบุรโชติถึงกับผงะ เมื่อนั้น เขาสัมผัสกับความแสบชาและเจ็บแปลบขึ้นมาบนผิวแก้มจนต้องยกมือขึ้นแตะ หัวใจแทบหล่นวูบ


               กลิ่นคาวเลือดระเหยสัมผัสจมูก รู้ทันทีว่ามีรอยแผลกรีดเป็นทางยาวบนผิวเนื้อเรียบเนียนที่เพียรบำรุงรักษามาเป็นอย่างดี


            เลือด!


               บุรโชติกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวดในใจยิ่งกว่าสิ่งใด นี่คือใบหน้าหล่อเหลาปราศจากริ้วรอยที่เขาสร้างมันขึ้นมาพร้อมกับกล้ามเนื้อทุกมัด  ยิ่งเมื่อนึกถึงใบหน้ายิ้มเย้ยเยาะของกีฏยาและมัทนียาที่หลอมรวมจนเป็นร่างเดียวกัน พวกมันต้องการหลอกให้เขากลับคืนไปสู่ห้วงความทรงจำที่เจ็บปวดในอดีตอีก แต่ไม่ว่ามันจะเป็นคนหรือปีศาจ เขาก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญกับมัน


             และกำจัดมัน!!


              ชายหนุ่มผู้หมกมุ่นกับเรือนกายและรูปโฉมออกแรงผลักม่านใบไม้รกเรื้อเบื้องหน้าให้แหวกออกจากกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วพ่นลมหายใจออกมาทางปากด้วยความเหนื่อยอ่อนจนแทบก้าวเดินไม่ไหว พริบตานั้นเขาแสยะยิ้มให้กับตัวเอง ดูเหมือนพลังที่ลดถอยเมื่อครู่จะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง...


               ไกลไม่เกินห้าสิบเมตรข้างหน้า บัดนี้มองเห็นร่างของพวกมันกำลังยืนสนทนากันอยู่ในเงามืด ไอ้ชาญและเกตุมาลา พวกมันทั้งคู่อยู่พร้อมหน้ากันทั้งสองคนพอดี!


                ความเหนื่อยล้าปลาสนาการไปในพริบตา เมื่อเขาย่องใกล้เข้าไปเรื่อยๆ รอยยิ้มฉีกขึ้นแล้วกระตุกที่มุมปากอย่างพึงใจ


                  สดับเสียงบางอย่าง ดังก้องกังวานอยู่ในศีรษะ เสียงที่เขาเท่านั้นเป็นผู้ได้ยิน มันบ่งถึงการปลดปล่อยในสิ่งที่เขาแสวงหามาทั้งชีวิต และนี่จะเป็นโอกาสเดียวที่จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด


                 เพื่อที่จะได้แลกเปลี่ยนกับอิสรภาพทางจิตวิญญาณจากมัทนียา...

              *************************


                 ธุมชาล เชษฐภักดีรู้สึกถึงพลังอ่อนโยนจากอีกภาคหนึ่งภายในร่างกาย มันกำลังเคลื่อนผ่านเข้าครอบคลุมความร้อนรุ่มทุรนทุรายให้บรรเทาเบาบางลงทีละน้อย เขารับรู้ถึงชัยชนะของมันที่มีอยู่เหนืออำนาจอีกฝั่งหนึ่งที่กำลังล่าถอยออกไปอย่างจำนน


                 ความร้อนรุ่มพล่านทุรนที่เกิดขึ้นจากอำนาจฝ่ายต่ำในตัวตนของเขานั่นเอง บัดนั้นเมื่อหัวใจเริ่มเปิดกว้างออกยอมรับในสิ่งที่เป็นจริง พร้อมจะแก้ไขในความผิดบาปที่เคยก่อขึ้นอย่างบริสุทธิ์ใจ มิใช่ด้วยความหวั่นกลัว หรือด้วยทิษฐิมานะเฉกเดิม


                 ย่อมไม่มีพลังอำนาจใดจะครอบงำเขาได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะจากตัวเขาเอง กีฏยา หรือสิ่งลึกลับเหนือเหตุผลพิสูจน์ทั้งหลาย ความหนักหน่วงที่แผ่คลุมลงมาเริ่มคลี่คลายไปทีละน้อย


              รับรู้ถึงความปลอดโปร่งและว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนกับก้อนหินหนาหนักที่เคยแบกรับเอาไว้ ถูกวางลง


                นี่กระมังคือความหมายของการ ปล่อย... วาง


                    เมื่อนั้น จึงเข้าใจสิ่งที่ทุกคนต่างกระทำและนำมาสู่ผลลัพธ์ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทุกอย่างขึ้นกับการยอมรับและตระหนักอย่างที่กีฏยาพูดเอาไว้ไม่มีผิด


               ผลลัพธ์หรือนัยหนึ่ง ก็คือชะตากรรมของแต่ละคน ย่อมอยู่ที่การตระหนักในชั่วดีแห่งตัวตน การตระหนักจะนำไปสู่ความเข้าใจและยอมรับในที่สุด


               ในเมื่อทุกคนต่างมีเหตุผลเป็นของตนเอง แต่เหตุผลเหล่านั้นจะสอดคล้องกับความจริง หรือความถูกต้อง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละคน


                 เขาจึงเข้าใจเกตุมาลา เข้าใจความรู้สึกที่หญิงสาวมีต่อเขา และเหตุผลในสิ่งที่หล่อนกระทำลงไป เมื่อความเข้าใจนั้นเกิดขึ้น ก็ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะเคียดแค้น รังเกียจ หรือสูญสิ้นความรู้สึกที่ดีที่มีให้กัน นอกจากความสงสาร เห็นใจและยอมรับในตัวตนความบกพร่องของอีกฝ่าย


                   มือแข็งแรงของชายหนุ่มแตะลงอย่างอ่อนโยนที่ช่วงบ่าบอบบางของอีกฝ่าย รู้ดีว่าหล่อนเทิดทูนและศรัทธาเขามากเพียงใด แต่แล้วก็ได้มองเห็นเนื้อแท้ในความอ่อนแอ ความบกพร่องในตัวของเขาแล้วเช่นเดียวกัน หากธุมชาลไม่ได้สนใจในข้อนั้นอีกต่อไป


                 ทำไมต้องปกปิด คอยหวั่นเกรงระมัดระวังเพื่อสร้างภาพลักษณ์ชายหนุ่มคนที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ตลอดเวลา? ทุกอย่างย่อมมีทั้งด้านสวยงามและน่ารังเกียจในความเป็นมนุษย์ปุถุชนมิใช่หรือ?


            สิ่งสำคัญกว่า ย่อมมิใช่การเกลื่อนลบรอยบาดแผลเสมือนมองมิเห็นปัญหาเหล่านั้น และปล่อยให้โลหิตแห่งความความผิดบาปไหลนองเนืองสร้างความทุรนทุรายใจเอาไว้อยู่ตลอดเวลา เป็นการซุกซ่อนแผลร้ายให้กลัดหนองอยู่ภายใต้ผืนผ้าแห่งความหวาดกลัวและอ่อนแอที่กดทับและปิดซ่อนมันเอาไว้


               แต่การเปิดผ้าปิดแผลเหล่านั้นออกไปแล้วชโลมด้วยโอสถแห่งความเป็นจริง แม้จะต้องเจ็บปวดในขั้นตอนแรก แต่เพื่อสมานรอยบาดแผลฉกรรจ์มิให้ลุกลามเกินเยียวยา ย่อมเป็นทางเลือกที่เหมาะสมยิ่งกว่า


              นั่นก็คือการยอมรับในสิ่งที่ตนเองเป็น และแก้ไขเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีงาม ซึ่งมีความสำคัญเหนือกว่า การ “เปลี่ยน”เป็นตัวตนใหม่ ที่ไม่ใช่ตัวของตัวเอง


                  เพราะมันคือการหลอกตัวเอง!


               หลอกลวงและเก็บกักความทุกข์เอาไว้ภายใต้เปลือกทองอันสวยงามที่สร้างขึ้น ต้องทนทุกข์ว่าวันใดเปลือกงดงามนั้นจะปริแตกออกจากกัน ให้เห็นเนื้อในที่ไม่ได้สวยสดงดงามเหมือนกับภาพลวงตาภายนอก


              ทุกข์ว่าต้องระมัดระวัง เพื่อดำรงสภาพแห่งเปลือกทองนั้นเอาไว้ โดยรู้อยู่เต็มอกว่าทุกอย่างย่อมต้องมีวันอวสานสิ้นสุดในวันใดวันหนึ่ง


                 ทุกข์ ทุกข์ และทุกข์!!


               “ผมเข้าใจเกตุ ผมเข้าใจคุณ เข้าใจดีที่สุด”


               ไม่ได้สนใจอีกต่อไปว่าเกตุมาลาจะมองเขาในรูปแบบเช่นใด สนใจเพียงแค่ความรู้สึกของหญิงสาวผู้นั้น ไม่ต้องการให้หล่อนต้องเกิดปริเวทนาการต่อผิดบาปของตัวเอง จนตกอยู่ในทัณฑ์แห่งความทุกข์ เหมือนกับที่เขาเคยเป็นมาก่อน และต้องการให้อีกฝ่ายได้ปลดเปลื้องมันออกจนหมดสิ้นแล้วในเวลานี้


                “อาจารย์ขา เกตุขอโทษ เกตุทำให้อาจารย์ผิดหวัง”


                ร่างน้อยบอบบางโผผวาเข้าหาอ้อมแขนที่เปิดรับด้วยอารมณ์ร้าวรานและหวั่นกลัว ธุมชาลโอบกระชับร่างสั่นเทานั้นเข้ามาแนบกาย แนบศีรษะลงกับกลุ่มผมรุ่ยร่าย แล้วปลอบประโลมอย่างสุภาพ แม้จะรู้สึกตื้นตันอยู่ในทรวงอกด้วยความรู้สึกบางอย่างที่สวยงาม ค่อยๆผลิบานขึ้นทีละน้อยในหัวใจ


               ไม่ต่างกับเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านลงไปบนพื้นดินที่ตระหนักว่าแห้งแล้งกันดารมาก่อน ตราบจนมันเริ่มเติบโตขึ้นทีละน้อยโดยผู้เป็นเจ้าของมิทันได้สังเกต ผ่านแดดลม พายุฝน และมรสุมต่างๆนานัปการ พฤกษาต้นน้อยก็ยังพากเพียรเติบตนจนเจริญงอกงามขึ้นมาเรื่อยๆ จนรับรู้ถึงความงดงามของมันได้ในวันนี้


                    ชายหนุ่มหลับนัยน์ตาลง โสตสดับเสียงสะอื้นไห้ มิใช่จากความเสียใจโทมนัส แต่เกิดขึ้นจากความสุข และซาบซึ้งที่ได้ยอมรับ “ความจริง”


                เกตุมาลากำลังปลดโซ่ตรวนที่เป็นปมบ่วงคล้องความรู้สึกของตนเองออกเช่นเดียวกัน เขาเงยหน้าขึ้น มองเห็นกีฏยากำลังมองตรงมาด้วยสายตาอันเฉยเมย เหมือนไร้ความรู้สึกใดๆ ด้วยความหมายที่เขาอ่านมันไม่ออก


           พอใจ เสียใจ สมเพช หรือแม้แต่ความผิดหวัง?


                คำตอบมาถึงในเวลาพริบตา ก่อนที่เขาจะผละออกจากร่างของหญิงสาว เมื่อได้ยินเกตุมาลาหวีดเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก และความเจ็บปวดก็แล่นปราดขึ้นกระจายทั่วไปทั้งร่าง


            เปรี้ยง!!

            **************************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 19:35:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com