Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Time Travelers ตอนที่ 4 [Fantasy] ติดต่อทีมงาน

Time Travelers
บทนำ+ตอนที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11505582/W11505582.html
ตอนที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11509751/W11509751.html
ตอนที่ 3
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11513558/W11513558.html

- - - - - - - -


[Rule of Time Travelers 4] กฎของการเป็นนักท่องกาลเวลาข้อที่ 4 – อย่าใช้ความรู้สึกในการทำภารกิจ



“ภารกิจสมบูรณ์แบบสมกับที่เป็นเรสริคซ์ที่รักของฉัน” น้ำเสียงชวนเลี่ยนจากผู้อำนวยการดังขึ้นหลังจากที่ผมรายงานผลภารกิจ ทำเอาผมเกือบจะอาเจียนจริงๆเพราะความรู้สึกคลื่นเหียนจากการเดินทางและความบ้าบอของชายหนุ่มผมขาวเบื้องหน้า ส่วนเพื่อนคู่หูนั้นกระโจนเข้าหาเครื่องชงกาแฟในห้องของโซลว์ตั้งแต่วินาทีแรกที่ข้ามเวลามาถึง ความอยากกาแฟของจิงส์คงพุ่งถึงขีดสุดจริง ๆเข้าแล้ว


“ค่าตอบแทนจากภารกิจครั้งนี้เธอสองคนจะได้เงินโอนเข้าบัญชีคนละสองร้อยเหรียญ แต่ด้วยความที่หลงไปผิดยุคทำให้ภารกิจล่าช้าลงไปถึงสองสัปดาห์ เพราะฉะนั้นต้องโดนหักเงินคนละห้าสิบเหรียญ เบ็ดเสร็จแล้วก็เหลือคนละร้อยห้าสิบเหรียญพอดี...ประหยัดไปได้ตั้งร้อยเหรียญแน่ะ”


นั่นมันความผิดของผมที่ไหนกันเล่า!! ถ้าจะหักเงินก็หักเจ้าตัวสาเหตุที่ย้อนเวลาไปผิดยุคนั่นสิ แถมไอ้ที่บอกว่าประหยัดเงินไปได้น่ะหมายความว่ายังไงกันแน่เจ้าผู้อำนวยการหัวหงอก!


“แหม...ไม่ต้องสรรเสริญฉันในใจขนาดนั้นก็ได้นะที่รัก เป็นคู่หูกันก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของคู่หูตัวเองด้วยสิ ตอนนี้เธอไม่ได้ฉายเดี่ยวเหมือนปรกติแล้วนะเรสริคซ์ เธอพ่วงจิงส์ไปด้วยอีกหนึ่งเธอก็ต้องรับผิดชอบจิงส์ด้วย” ริมฝีปากของเขาฉีกกว้างเป็นรอยยิ้มชวนหงุดหงิด...ผมเกลียดโซลว์ที่อ่านความคิดของคนอื่นออกไปเสียทุกเรื่องแบบนี้ที่สุดเลยให้ตาย


ว่าแต่เรื่องไข่ของจิบปี้ที่จิงส์หยิบมาจากโลกดึกดำบรรพ์ก็ถือว่าเป็นการทำผิดกฎต้องห้ามตามที่นักท่องเวลาคนแรกได้ระบุเอาไว้ แบบนี้ก็หมายความว่าถ้าผมบอกโซลว์ไปเรื่องนั้นผมก็ต้องซวยไปกับคู่หูด้วยใช่มั้ยนี่?


แย่ชะมัด! คนหนึ่งก่อเรื่องแต่อีกคนต้องรับผลกระทบด้วย เทียบกันแล้วการมีคู่หูเลวร้ายกว่าการทำภารกิจคนเดียวเป็นไหน ๆ...ถ้ารู้ว่าประธานนักศึกษามีสิทธิ์ที่จะได้เป็นนักท่องกาลเวลา ผมน่าจะลงเรียนสาขาเวทมนตร์ศึกษาไปเสียตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องมีคู่หูให้ปวดสมอง


“ถ้าดื่มกาแฟเสร็จแล้วจะกลับไปเลยก็ได้นะจิงส์ ถ้ามีภารกิจเมื่อไหร่ทางฉันจะติดต่อไปเอง” เจ้าของเรือนผมสีชาในมือมีถ้วยกระเบื้องเคลือบบรรจุกาแฟหอมกรุ่นพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะหายตัวไปในทันทีพร้อมกับเสียงตะโกนต่อท้ายจากผู้มีตำแหน่งเป็นเจ้านาย “เฮ้ย! ครั้งหน้าเอาถ้วยกาแฟกลับคืนมาด้วยนะ!!”


ผมมองเจ้าของห้องทำงานพลางสั่นหัวอย่างเอือมระอาใจ อายุอานามของท่านผู้อำนวยการคนที่ยี่สิบสามคนนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว แต่บางครั้งก็ยังแสดงอารมณ์และนิสัยที่เหมือนกับเด็กวัยรุ่นออกมา ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบนี้จะเป็นทั้งประธานนักเรียนห้าสมัยและผู้อำนวยการสถานศึกษาอันดับหนึ่งของดินแดนเวสท์เอนด์


หลังจากเสร็จสิ้นในภารกิจแรกในการฝึกงานอาชีพนักท่องเวลา คำถามมากมายก็ก่อเกิดขึ้นในจิตใจ จุดประสงค์ของอาชีพนี้มันคืออะไรกันแน่ ใครเป็นผู้กำหนดความถูกต้องของประวัติศาสตร์ รู้ได้อย่างไรว่าประวัติศาสตร์ในส่วนไหนที่ขาดหายและจำเป็นต้องถูกเติมเต็มและนักท่องกาลเวลาได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทนจากการทำงานนี้กันแน่นอกจากความภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เพราะแค่ความภูมิใจนั้นไม่พอเพียงพอที่จะจูงใจให้คนทำงานได้...ผมไม่เชื่อว่าคนเราจะทำงานได้โดยที่ไม่ได้รับผลประโยชน์อื่นใดตอบแทน        


“เหมือนเธอจะมีหลายคำถามที่ต้องการถามฉันนะเรสริคซ์” ยังคงสมกับที่เป็นผู้อำนวยการหูผีจมูกมดเหมือนเดิม ชายหนุ่มร่างสูงปัดเอกสารบนโต๊ะทำงานออก แล้วขยับกายขึ้นนั่งบนโต๊ะไม้สีเข้ม มือหนาผายไปยังเก้าอี้มีพนักสีดำเบื้องหน้าโต๊ะทำงานของเขา “นั่งลงก่อนสิ.. ฉันคิดว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการคุยกัน”


“คุณคงจะรู้อยู่แล้วสินะครับว่าผมจะถามอะไรบ้าง คุณมักจะคาดเดาสิ่งที่ผมคิดอยู่ได้ถูกต้องเสมอ” ผมเอนกายนั่งลงบนเก้าอี้ตามที่เจ้าของห้องชักชวน โซลว์ตอบคำถามของผมด้วยการสั่นศีรษะ ผมอดรู้สึกเสียใจเล็ก ๆไม่ได้...ในบางครั้งผมก็คิดว่าผมคาดหวังในตัวเขามากเกินไปเหมือนกัน


“เรสริคซ์ที่รัก..แม้ว่าฉันจะพอเดาได้ว่าเธอคิดเรื่องอะไรอยู่แต่ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะรับรู้เรื่องที่อยู่ในใจของเธอทั้งหมดได้หรอกนะ” มือหนาของท่านผู้อำนวยการวางบนเรือนผมสีดำสนิทของผมพลางขยับลูบอย่างแผ่วเบา ผมไม่ชอบสัมผัสแบบนี้นัก เพราะว่ามันทำให้ผมดูเหมือนเป็นเด็กเล็ก ๆอย่างไรพิกล


“ผมอยากรู้เรื่องนักท่องกาลเวลาให้มากกว่านี้ มากกว่าที่ในเอกสารคู่มือบอก คุณรู้ได้ยังไงว่าประวัติศาสตร์ที่แท้จริง...ที่ถูกต้องมันควรจะเป็นอย่างไร” ภาพการตายของเจ้างูยักษ์ที่เหลือรอดจากการกัดกินยังคงตราตรึงอยู่ในสมอง มันไม่มีแม้แต่การโจมตีกลับหรือดิ้นรนหลีกหนี ถ้าหากปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่จะส่งผลอย่างไรต่อหน้าประวัติศาสตร์กัน?


อา...ทำไมผมต้องเก็บเรื่องเหลวไหลพวกนี้มาคิดด้วยนะ มันก็เป็นเพียงแค่การกำจัดงูตัวหนึ่งโดยเสียกระสุนไปเพียงแค่สามนัด...ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมถึงลบเลือนดวงตาสีทับทิมคู่สงบนิ่งเหมือนน้อมรับความตายคู่นั้นออกไปจากใจไม่ได้เสียที


“หื้ม...เป็นคำถามที่น่าสนใจใช้ได้” ผมปัดมือของโซลว์ที่เริ่มไล้มือลงมาตามเส้นผมยาวสยายถึงกลางหลังออกไปอย่างนิ่มนวลตามมารยาทอันพึงมี ท่านผู้อำนวยการวัยยี่สิบปีตอนปลายสั่นหัวเบา ๆพลางขยับยิ้มบาง


“ประวัติศาสตร์ไม่มีคำว่าถูกหรือคำว่าผิด จริงอยู่ที่มันดำเนินได้ด้วยตัวมันเอง แต่บางครั้งมันก็มีปัจจัยเล็กๆที่ขัดขวางไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้ อาจจะเป็นคำพูดของใครสักคนที่มีอิทธิพลต่อผู้สร้างประวัติศาสตร์ จนเขาเลือกดำเนินชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง อะไรทำนองนั้นล่ะ”


“แล้วศีลธรรมล่ะครับ..ถ้าการฆ่าคนนับหมื่นเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้สมบูรณ์ แล้วมันเรียกว่าความถูกต้องแล้วหรือครับ?”


นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างใสจ้องมองมายังผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก รอยยิ้มบนใบหน้าคมนั้นขยับฉีกออกกว้างขึ้น มือหนาที่ผมปัดออกไปเมื่อครู่กลับมาไล้เรือนผมของผมเล่นอีกครั้งอย่างไม่รู้จักหลาบจำเอาเสียเลย เจ้าผู้อำนวยการเด็กโข่งเอ๊ย


“ไม่มีใครรู้หรอกเรสริคซ์ว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกต้อง เพราะแต่ละคนก็มีเหตุผลในการบ่งบอกว่าการกระทำของตนเองถูกต้องที่สุด เธออาจจะคิดว่าถ้าผู้นำเผด็จการไม่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวผิวสี โลกก็คงดีกว่านี้..แต่ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้นจะมีผลกระทบอื่นที่เกิดขึ้นแทน และโลกของเราก็คงจะไม่ได้เป็นไปเหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้”


“แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าจุดไหนของประวัติศาสตร์ต้องได้รับการกระตุ้นหรือการแก้ไข” คิ้วสีเข้มของผมขยับแน่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจเล็กๆ ในขณะที่ผมกำลังเคร่งเครียดกับการตั้งคำถามชวนโลกแตก แต่โซลว์กลับสนุกกับการใช้นิ้วเรียวสางเส้นผมซึ่งไม่ใช่เส้นผมตัวเองอย่างแผ่วเบา..ถ้าตัดผมครั้งหน้าเมื่อไหร่จะเอาใส่กล่องของขวัญผูกโบว์ให้เสียเลยนี่


“หึหึหึ..เธอคงลืมไปแล้วว่านักท่องเวลาคนแรกเป็นใคร  เขาเขียนบันทึกไว้ทั้งหมดว่าส่วนใดของเวลามีความผิดพลาดเกิดขึ้นและจำเป็นต้องแก้ไขเมื่อไหร่...เจอร์ราจ แลมฟอร์ดคือจอมเวทย์อัจฉริยะอย่างแท้จริง”


น่าประหลาดที่ชายคนเดียวกลับล่วงรู้ถึงความเป็นไปของประวัติศาสตร์ทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยที่เขาจะสามารถรวบรวมประวัติศาสตร์ทั้งหมดได้โดยลำพัง นี่มันจะเก่งกาจจนน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว ไม่สิ...เรียกว่าสอดรู้สอดเห็นไปซะทุกเรื่องคงจะดีกว่า เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้นเขาจะไปรู้ได้อย่างไรกันว่าตรงไหนต้องได้รับการกระตุ้นน่ะ


“แล้วคุณเอาเงินจากไหนมาเป็นค่าตอบแทนครับโซลว์ ในเมื่ออาชีพนี้ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยจากการช่วยประวัติศาสตร์ให้สมบูรณ์น่ะ”


รอยยิ้มอ่อนโยนเลือนหายไปจากใบหน้า โซลว์ขยับยิ้มที่เห็นแล้วชวนมีเลศนัยถึงขีดสุด นิ้วชี้เรียวยาวจรดที่ริมฝีปากบาง แม้จะปราศจากคำพูดใดๆแต่ผมก็รู้ดีว่าเขาสื่อว่ามันเป็นความลับที่บอกใครไม่ได้ แต่ลางสังหรณ์ของผมมันบอกอะไรบางอย่างที่ดูไม่ดีเอามากๆเสียด้วย


อย่าบอกนะว่ายักยอกเงินโรงเรียนมาจ่ายค่าตอบแทนให้กับนักท่องกาลเวลาน่ะ หมอนี่มันเลวชะมัด!!


“สรรเสริญฉันในใจอีกแล้วนะเรสริคซ์ ถ้าความคิดของเธอมันเป็นเปลวไฟ ป่านนี้ฉันคงถูกฌาปนกิจไปจนเหลือแค่ขี้เถ้าแล้วล่ะนะ”


เอิ่ม..ฌาปนกิจมันใช้เผาคนตายนะครับท่านผู้อำนวยการที่เคารพรัก! หรือว่าท่านอยากจะให้ผมทำศพพร้อมฌาปนกิจให้เสร็จสรรพเลยใช่มั้ย!?


“เรสริคซ์...ฉันดีใจหรอกนะที่เธอมีอารมณ์หวั่นไหวเหมือนกับที่คนอื่นเขาเป็นกัน แต่บางครั้งอารมณ์จะทำให้เกิดความผิดพลาดในภารกิจ ในฐานะโซลว์ แลมฟอร์ด ฉันอยากให้เธอได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นเป็นเรสริคซ์ที่ไม่คิดถึงเพียงแค่ความสมบูรณ์แบบ แต่ในฐานะหัวหน้างานเธอจำเป็นต้องกำจัดอารมณ์และความรู้สึกออกไปเพื่อภารกิจ หึ...มันน่าเศร้าสิ้นดีเลยว่ามั้ย”


           แววตาคู่สีฟ้าใสที่จับจ้องมาหม่นหมองลงเล็กน้อย คำพูดขัดแย้งกันเองของโซลว์ทำให้ผมรู้สึกงุนงง ความรู้สึกหวั่นไหวหรือสงสารเป็นความรู้สึกที่สมควรกำจัดทิ้ง มันมีแต่จะทำให้การปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็วลุล่วง ที่สำคัญ...ผมที่คิดถึงแต่ความสมบูรณ์แบบนั่นล่ะคือสิ่งที่สมควรที่สุด ครั้งนี้ผมพลาดที่ไม่รู้จักกักเก็บอารมณ์ให้ดี ปล่อยให้ตนเองหวั่นไหวไปตามคำพูดของเจ้างูยักษ์ แต่มันจะไม่มีครั้งหน้าอีกต่อไปแล้ว..


“เธอคงเหนื่อยแย่แล้ว...ไปพักเถอะ” โซลว์ยกมือขึ้นโบกเหมือนไล่ ดูท่าคนอยากพัก..หรืออู้ คงจะเป็นเขามากกว่าประธานนักศึกษาแสนดีอย่างผม “ก่อนไปก็เอาดาบคืนมาด้วยล่ะ อย่าจิ๊กกลับไปเหมือนกับคู่หูของเธอ...ดาบกับถ้วยกาแฟราคามันใช่น้อยๆซะที่ไหนกัน”


แล้วใครกันเล่าที่ส่งผมไปโดยที่ไม่ให้เวลาเตรียมตัวสักนาทีเลยน่ะ! ให้ตายเถอะเจ้าผู้อำนวยการขี้บ่นนี่น่าตบกะโหลกชะมัดยาด!!


ปลอกดาบสีดำสลับลายสีเงินถูกวางลงบนโต๊ะกาแฟตัวเตี้ย ผมยกมือขวายกขึ้นแตะอกซ้ายพร้อมกับโค้งกายลงทำความเคารพด้วยความงดงามอย่างที่ประธานนักศึกษาพึงกระทำต่อผู้อำนวยการผู้ไม่น่าเคารพรัก แต่โซลว์ก็ไม่สนใจกิริยามารยาทของผมเท่าไหร่นัก ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนโซฟาพร้อมกับอ้าปากหาว..เป็นการกระทำอันเหมาะสมแก่ตำแหน่งผู้อำนวยการขาร็อคทั้งมวล


ปัง!


ผมจงใจกระแทกปิดบานประตูจนมันส่งเสียงดังก้อง เสียงสบถของเจ้าของห้องทำงานสุดหรูดังขึ้นพอให้ได้ยิน แต่มีหรือที่ผมจะสนใจ ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากจะทำมีเพียงการกลับไปยังห้องพักประธานนักศึกษา อาบน้ำสระผมและทิ้งตัวนอนทั้งวันโดยไม่ถูกใครรบกวน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นก็ตามเถอะ...


จากอาคารเกียรติยศแห่งวิทยาลัยพาลลัสผมต้องเดิมข้ามสวนเขียวขจีที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อกลับไปยังหอพักนักศึกษา ยามเย็นของสวนกลางวิทยาลัยเต็มไปด้วยนักศึกษาที่บ้างก็มาออกกำลังกายเพื่อลดชั้นไขมัน บ้างก็มาพลอดรักตามม้านั่งโดยไม่สนสายตาประชาชน...ช่างไม่ได้รู้จักอับอายเสียจริง ๆ


กลีบดอกไม้สีสันสดใสของฤดูร้อนจากแปลงดอกไม้ฝั่งขวาส่งกลิ่นหอมกรุ่นตามสายลมที่พัดผ่าน ฝั่งซ้ายของสวนคือต้นไม้ขนาดเล็กใหญ่ต่างถูกตัดแต่งเป็นเขาวงกตให้เข้ากับบรรยากาศของวิทยาลัยอย่างงดงาม ไม่ว่าจะเป็นพุ่มไม้ทรงเรขาคณิตหรือรูปร่างสัญลักษณ์ของสาขาวิชาต่าง ๆ วันดีคืนดีก็นักศึกษาบางคนก็เข้าไปวิ่งเล่นกันข้างใน..พอออกไม่ได้ก็ต้องร้อนถึงผมที่ต้องไปช่วยออกมา เสียเวลาและไร้สาระชะมัดยาด


           “กลับมาแล้วเหรอเรสริคซ์ นายหายไปตั้งสองสัปดาห์คนแถวนี้เขาเป็นห่วงกันแทบตายรู้มั้ย” เสียงหวานชวนขนลุกดังขึ้นจากริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูอมส้ม รองประธานนักเรียนแมสซีน ฮัตสันยืนพิงเสาข้างประตูหน้าห้องที่สลักไว้ว่าประธานนักศึกษา ป้ายโลหะสีเงินที่จารึกไว้ว่า “เรสริคซ์ เวย์น” บุบเบี้ยวไม่มีชิ้นดีราวกับว่าถูกของมีน้ำหนักมากปาใส่ มิหนำซ้ำยังมีรอบไหม้รอบๆประดับแถมให้อีกด้วย หายไปแค่ไม่กี่วันก็พังอีกแล้ว...ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมาผมต้องเปลี่ยนป้ายชื่อที่หน้าห้องไปกี่ครั้งแล้วนะ


“ห่วงกันแทบตายหรือว่าห่วงกลัวผมไม่ตายกันแน่” ผมแนบฝ่ามือกับเครื่องแสกนที่ประตูห้อง ห้องประธานนักศึกษาเป็นห้องที่มีความปลอดภัยสูงเสียยิ่งกว่าห้องผู้อำนวยการเสียอีก เพราะมีนักเรียนมากมายต้องการโจมตีจนถึงลอบฆ่าผู้ดำรงตำแหน่งอยู่เสมอ เวทมนตร์ที่ร่ายทับเครื่องแสกนลายนิ้วมือจะรับรู้ได้ทันทีเมื่อเข็มกลัดสัญลักษณ์ของการอยู่บนจุดสูงสุดในวิทยาลัยพาลลัสถูกเปลี่ยนมือไป...คนๆนั้นจะมีสิทธิ์ครอบครองทุกสิ่งอย่างในห้องแห่งนี้


“ก็ทั้งสองอย่างนั่นล่ะ” นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลอ่อนสั่นระริกเหมือนขบขัน “มีคนเห็นเธอก่อนที่จะหายไปครั้งสุดท้ายที่ห้องท่านผู้อำนวยการ...ทำเอาสาวๆแถวนี้ใจสลายกันเป็นแถวเลยล่ะ”


มือที่จะกำลังจะบิดลูกบิดประตูเข้าไปของผมถึงกับชะงักลงเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากหญิงสาวเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน หางตาข้างขวากระตุกเตือนบอกว่านั่นไม่ใช่ลางที่ดีอย่างแน่นอน เรียวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันแน่น นัยน์ตาคู่สีเทาหรี่มองด้วยความหวาดระแวง “ผมหายไปแล้วมันเกี่ยวอะไรกับใจสลายกันแน่...?”


“โธ่..เรสริคซ์เธอไม่รู้ตัวเลยหรือไงนะ ไม่ว่านักศึกษาคนไหนก็ต่างคลั่งไคล้เธอกันทั้งนั้น” ยิ่งรู้ว่าผมไม่ชอบความยืดเยื้อ แมสซีนก็ยิ่งลากประโยคให้ยาวจนน่าหงุดหงิดใจ แบล็ค อีเกิ้ลที่ยกขึ้นจ่อหน้าอกอวบอิ่มคงพอจะทำให้หญิงสาวตรงไปตรงมาได้มากขึ้นบ้าง “โอเคๆ..ฉันเข้าเรื่องก็ได้จ้ะพ่อเพื่อนรักของฉัน”


มาดประธานนักศึกษาผู้เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างไม่จำเป็นเลยเมื่อต้องอยู่กับแมสซีนสองคน มันก็เหมือนกับสำนวนที่บอกว่าไก่เห็นตีงู งูเห็นนมไก่ เพราะความสัมพันธ์กึ่งมิตรกึ่งคู่แข่งตั้งแต่สมัยอยู่บ้านเด็กกำพร้า ทั้งผมและเธอจึงต่างรู้ดีกว่าภาพลักษณ์แสนดีมันก็เป็นแค่เปลือกนอกที่สร้างขึ้นมาให้ตัวเองดูดีกันทั้งคู่ เพราะหญิงสาวก็ไม่ใช่รองประธานนักศึกษาผู้โอบอ้อมอารี ใจดี มีเมตตาเหมือนดั่งเช่นที่แสดงออก


แมสซีนโหดร้ายถึงขนาดขอยื่นเปลี่ยนกฎให้กลับไปลงโทษนักเรียนด้วยการเฆี่ยนเหมือนสมัยร้อยกว่าปีก่อน...โชคดีที่มตินี้ไม่ผ่านในที่ประชุม ไม่อย่างนั้นคนทั้งโรงเรียนคงคิดว่าผมเป็นคนออกความคิดอย่างแน่นอน


“เขาลือกันว่าเธอมีอะไรๆกับท่านผู้อำนวยการถึงได้อยู่ในตำแหน่งประธานนักเรียนยาวนานขนาดนี้...”


โครม!


ผมเดินก้าวเข้าห้องอย่างรวดเร็วแล้วกระแทกปิดประตูปิดใส่หน้ายัยตัวยุ่งแมสซีนซึ่งยังพูดไม่จบประโยคดี พอกันทีกับความคิดบ้าบอของพวกนักศึกษาไร้สมองที่บอกว่าผมมีนอกมีในกับผู้อำนวยการวิทยาลัย ตอนนี้ผมไม่อยากเอาเรื่องไร้สาระชวนปวดหัวมาใส่สมอง..ผมเหนื่อย ผมต้องการพัก..พัก..และพักเท่านั้น ใครก็ได้ช่วยเข้าใจผมที!


ในที่สุดก็โลกของผมก็สงบลงเสียที ผมเอนกายลงบนเตียงหนานุ่มทั้งที่นาฬิกายังบอกเวลาแค่สิบแปดนาฬิกา ขอตั้งปณิธานกับเพดานสีขาวไร้การตกแต่งนี้ว่านอกจากออกไปหาอะไรเติมใส่กระเพาะ ผมจะไม่ก้าวขาออกจากห้องอีกเลยเป็นเวลาสองวัน...ปล่อยให้แมสซีนจัดการกองเอกสารและตรวจตราวิทยาลัยคนเดียวไปเถอะ ผู้หญิงถึกอย่างยัยนั่นทำได้อยู่แล้วล่ะ


ราตรีสวัสดิ์..โลกกลม ๆที่แสนบูดเบี้ยว..





“ประกาศจากท่านผู้อำนวยการ...ขอพบประธานนักศึกษาด่วนในเวลานี้ค่ะ” เสียงประกาศจากประชาสัมพันธ์ดังขึ้นตามลำโพงที่ติดไว้ทั่วโรงเรียนในยามวิกาล ผมเงยหน้าขึ้นจากหมอนหนานุ่มแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่...ไหนบอกว่าจะให้พักไงเจ้าผู้อำนวยการโรคจิต นี่ผมยังกลับมาได้ไม่ถึงสามสิบหกชั่วโมงก็เรียกใช้กันอีกแล้ว..เจ้าบ้าเอ๊ย!


“ประกาศด่วน..หากประธานนักศึกษาไม่มาพบท่านผู้อำนวยการในสิบนาทีนี้จะโดนทำโทษให้ล้างคอกมังกรเป็นเวลาสองสัปดาห์...”


เข้าใจแล้วครับ..เข้าใจแล้ว ผมคิดขึ้นขณะจัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ไม่ว่าเวลาใดเรสริคซ์ เวย์นก็ต้องดูสุขุมเรียบร้อยเสมอ จากนั้นผมก็เป็นยัดเสื้อผ้าข้าวของลงกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง..คราวนี้ไม่ยอมพลาดเหมือนภารกิจเมื่อครั้งก่อนอีกแล้ว ถึงแม้จะไม่พร้อมเสร็จสรรพอย่างที่ต้องการทั้งหมด อย่างน้อยมีอาหารแห้งติดไปบ้างก็ยังดี


“เธอมาสายไปตั้งสองนาทีแน่ะ..จิงส์อยู่ตั้งไกลยังมาก่อนเธอเลย” หัวหน้างานทักขึ้นเมื่อผมเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องทำงานของเขา หางตาเหลือบเห็นเพื่อนคู่หูนั่งถือถ้วยกระเบื้องจิบกาแฟพร้อมกับอ่านเอกสารภารกิจใหม่ เขายังคงแต่งกายด้วยสูทสีดำและสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีเทาเหมือนเคย ข้างกายของชายหนุ่มร่างผอมมีกระเป๋าเดินทางสีเทาตั้งอยู่...ครั้งนี้เขาคงเตรียมพร้อมมาบ้างเหมือนกัน


“ไอ้การเรียกใช้งานตอนดึกดื่นเที่ยงคืนมันก็ไม่ใช่เรื่องสมควรเหมือนกันนั่นล่ะครับท่านผู้อำนวยการ คุณควรจะเกรงใจบ้าง..ไม่ใช่นึกอยากจะมอบหมายภารกิจให้ก็เรียกมาเลย”


“โอ้โหแฮะ ครั้งนี้เรสริคซ์ที่รักสรรเสริญฉันด้วยคำพูด..ไม่ได้คิดในใจเหมือนปรกติ คืนนี้หิมะจะตกมั้ยนะ”


หิมะบ้านไหนมันจะตกกลางฤดูร้อนล่ะครับท่าน! ไอ้ที่ผมหลุดปากออกไปก็เพราะความหงุดหงิดที่สะสมมานานจากนายนั่นล่ะโซลว์ ผมรู้สึกแอบเสียใจนิด ๆแล้วสิว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่มาเป็นนักท่องกาลเวลา...ทั้งหัวหน้างานทั้งคู่หูมันชวนปวดหัวจนอยากจะโขกหัวกับโต๊ะสักทีสองที


แต่แน่นอนล่ะว่าไม่ใช่หัวผม...


“เอาล่ะ..เข้าเรื่องภารกิจดีกว่านะ” ท่าทีของโซลว์ดูจริงจังขึ้นมากกว่าในตอนแรก แบบนี้ค่อยน่าพอใจขึ้นมาหน่อย “ภารกิจครั้งนี้จำเป็นต้องทำในตอนกลางคืน..เพราะเป้าหมายของเราจะออกมาแค่ตอนกลางดึกเท่านั้น”


เป้าหมายเป็นค้างคาวหรือไรกันนะ..ถึงต้องหากินตอนกลางคืนแบบนั้น?


“เธอคงรู้อยู่แล้วว่าผืนดินบนโลกของเรามีลักษณะเหมือนพระจันทร์เสี้ยว” ภาพสามมิติรูปโลกปรากฏขึ้นกลางอากาศประกอบคำอธิบาย ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในวิชาภูมิศาสตร์อย่างไรพิกล “สามดินแดนทั้งทิศเหนือ ทิศตะวันตกและทิศใต้ห่างกันเพียงแค่ผืนทะเลและเทือกเขากั้นกลาง...”


“ในอดีตทางทิศตะวันออกเป็นดินแดนที่ยังไม่ถูกค้นพบ จนกระทั่งเมื่อสองร้อยปีก่อนที่เรือเดินทะเลของนักบุกเบิกได้ข้ามมหาสมุทรแห่งความตายและค้นพบดินแดนใหม่ในที่สุด” เรือเดินสมุทรลำเล็กใบเรือตราสัญลักษณ์รูปมังกรสีน้ำเงินเข้มปรากฏขึ้นบนลูกโลกจำลองก่อนจะค่อยๆขยับข้ามผ่านมหาสมุทรมอเทลรัสหรือมหาสมุทรแห่งความตาย และจอดเทียบท่าในดินแดนทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายหมื่นกิโลเมตร


“ปัญหาในตอนนี้คือเฟอร์ดินาน สแตนเลจ นักเดินเรือจากดินแดนนอร์ธเอนด์” เรือลำแรกหายไปจากลูกโลกจำลอง หากแต่ปรากฏเรือเดินทะเลสัญลักษณ์ดาบไขว้สีแดงของนอร์ธเอนด์ขึ้นมาแทน


“ถ้าเราไม่ไปขัดขวางเขาจะค้นพบดินแดนอีสต์เอนด์โดยลัดเลาะแผ่นดินมาเรื่อย ๆ เธอคงรู้ใช่มั้ยว่าตามประวัติศาสตร์คนที่ค้นพบดินแดนโพ้นทะเลคือคลาวด์ คาออสจากดินแดนเวสท์เอนด์ ถ้าเราปล่อยให้นอร์ธเอนด์เป็นฝ่ายค้นพบดินแดนใหม่...ในสงครามสี่แผ่นดินอีสต์เอนด์จะไม่วางตัวเป็นกลางอย่างแน่นอน พวกเขาจะต้องเข้าข้างฝ่ายทรราชแห่งนอร์ธเอนด์ที่ปกครองพวกเขาอยู่”


“แล้วสิ่งที่เราต้องทำคืออะไรกันแน่ครับ..จะให้ผมกับจิงส์เกลี้ยกล่อมให้เขาเลิกเดินเรือหรืออย่างไร” ผู้มอบหมายภารกิจสั่นหน้าเป็นคำตอบ บ่งบอกได้ว่าวิธีการเจรจาไม่ได้ผลเช่นเคย แบบนี้สินะผมถึงจำเป็นต่อการทำภารกิจ คนหนึ่งมีหน้าที่ถือกุญแจแห่งเวลา อีกคนต้องทำทุกอย่างให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง เป้าหมายภารกิจครั้งนี้สำหรับผมคือการลากจิงส์ให้ช่วยทำงานให้ได้...แต่ว่าทำไมเหมือนมันไร้ความหวังสิ้นดีเลยนะ


“สเตฟานกับคู่หูเคยไปเจรจากับเขาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ว่าไม่ประสบผลสำเร็จ คราวนี้เราเลยต้องเล่นต้องใช้ไม้หนักด้วยการทำให้เรือของสแตนเลจไปไม่ถึงจุดหมายให้ได้” เรือเดินทะเลที่กำลังมุ่งหน้าสู่ดินแดนใหม่ค่อยๆจมลงสู่ผืนน้ำ...และหายไปในที่สุด ก่อนที่ลูกโลกประกอบคำบรรยายหายไปในอากาศทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า


จะให้ไปล่มเรือของสแตนเลจหรือไง?? นี่มันจะไม่ไหวซะแล้วมั้ง เรือทั้งลำที่ลอยอยู่กลางทะเล จะไปให้คนสองคน..ไม่สิ คนๆเดียวล่มเรือเดินทะเลทั้งลำ พูดเล่นเป็นเรื่องตลกไปได้


“แต่การจะให้เธอไปล่มเรือมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ฉันมีวิธีอื่นที่ง่ายกว่านั้น” รอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนหล่อเหลา “เราจะเกลี้ยกล่อมให้ใครบางคนไปช่วยล่มเรือของสแตนเลจกัน”


ไม่ต้องพิรี้พิไรให้มากความจะได้มั้ยครับนี่..เดี๋ยวจบตอนก่อนข้ามมิติแล้วคนอ่านก็บ่นอุบกันพอดี อ้าว..นี่ผมคิดเรื่องอะไรออกไปกันนะไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด


“วันที่เจ็ด สิงหาคม ศักราชหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบสาม สถานที่เมืองท่าเอสเซ่นสุดขอบชายแดนของเซาธ์เอนด์ ค่าใช้จ่ายฉันให้จิงส์ไปเรียบร้อยแล้ว ใช้ประหยัดๆกันด้วยล่ะ ถ้าใช้จนหมดเกลี้ยงฉันจะหักเงินพวกเธอสองคนนะ”


งกชะมัด..


“ภารกิจมีกำหนดเสร็จสิ้นภายในเวลาห้าวันเท่านั้นนะ อย่าหลงทางหรืออย่าทำภารกิจล่าช้าไปกว่านั้นเพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากจริง ๆ ฉันเชื่อนะว่าเรสริคซ์ที่รักของฉันต้องทำสำเร็จแน่นอน..ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่โยนงาน เอ้ย ไม่มอบหมายงานนี้ให้เธอหรอก”


...


หลุดความชั่วร้ายออกมาจนได้นะเจ้าผู้อำนวยการโรคจิต! มีอย่างที่ไหนกันเล่าเอางานของตัวองมาโยนให้คนอื่นทำ ความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้างานของนายมันหายไปไหนหมดแล้ว!!


จิงส์เอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้อย่างแผ่วเบาพร้อมกับก้มหน้าก้มตากำหนดช่วงเวลา ผมคว้ากระเป๋าเดินทางของตนเองพลางเหลือบมองกุญแจแห่งเวลาในมืออีกฝ่าย จริงๆแล้วมันก็เป็นเพียงแค่นาฬิกาพกโบราณที่มีเข็มบอกเวลาซับซ้อนมากกว่านาฬิกาปรกติ แต่อาจจำเป็นต้องใช้พลังเวทย์มหาศาลในการขับเคลื่อน...ซึ่งผมมั่นใจว่าผมเองก็ทำได้เหมือนกัน


แต่หวังว่าครั้งนี้จะไม่หมุนไปผิดยุคจนต้องไปเจอจิบปี้อีกรอบหรอกนะ..


“เดี๋ยวก่อนนะครับ คุณยังไม่ได้บอกเราเลยว่าจะให้เราไปเกลี้ยกล่อมใครกันแน่” ผมเอ่ยถามขึ้นก่อนที่เพื่อนคู่หูจะกำหนดปลายทางด้วยกุญแจแห่งเวลาสำเร็จ โซลว์เล่นโยนงานให้โดยไม่บอกรายละเอียดอะไรแบบนี้...มันปลุกสัญชาติญาณดิบในตัวผมอย่างไรพิกล...ถ้าเผลอลั่นกระสุนบรรจุเวทไฟใส่หัวหน้างานตัวเองจะเป็นอะไรมั้ยนะ?


“อ้าวนี่ฉันลืมบอกไปหรือนี่...สงสัยจะเริ่มแก่แล้วสิเรา เอาเป็นว่าสิ่งที่เธอต้องทำคือตามหานางเงือกแล้วเกลี้ยกล่อมให้พวกเธอช่วยกันล่มเรือของสแตนเลจ เธอจะพบนางเงือกได้ที่....” เสียงทุ้มของชายหนุ่มผมสีเงินเริ่มขาดหายพร้อมกับภาพห้องทำงานที่ไหววูบจนน่าเวียนหัว นี่เป็นสัญญาณที่บอกว่ากุญแจแห่งเวลากำลังเริ่มทำงาน โพรงมิติเวลากำลังจะเปิดออกให้ผมได้ท่องไปในกาลเวลาอีกครั้ง


“พูดดังๆหน่อยสิ...อ๊ะ!!”


ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทราบว่าจะไปหานางเงือกได้ที่ไหนกันแน่ ก็เหมือนมีแรงมหาศาลกระชากตัวผมซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาจนหงายหลัง โพรงมิติสีดำหากแต่ส่องประกายแสงสีหลากหลายชวนเวียนหัวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแทนภาพห้องทำงานของผู้อำนวยการวิทยาลัย มือของจิงส์กระชับมือของผมแน่นขึ้น ความรู้สึกคลื่นเหียนอาเจียนพุ่งพรวดมาที่ลำคอ


สงสัยผมจะต้องรีบชินกับไอ้การเดินทางสุดแสนนรกนี้ซะแล้ว!


ตุ้บ!


ร่างของผมร่วงลงกับพื้นทรายในสภาพหงายหลังดูไม่จืด ตามมาด้วยร่างของจิงส์ที่ร่วงหล่นจากโพรงมิติบนฟากฟ้า แม้ว่าสมองจะมึนงงและความรู้สึกคลื่นไส้จะยังไม่จางหายไป แต่ผมก็สามารถพลิกตัวหลบก่อนที่เขาจะร่วงทับตัวผมพอดี ทำเอาชายหนุ่มร่างผอมที่เอาหน้าลงกินทรายเข้าไปเต็มๆ


“แค่ก! แค่ก! แค่ก!” เพื่อนคู่หูพ่นทรายออกมาหลังจากที่สำลักมันเข้าไป ชายหนุ่มบ่นพึมพำพอให้ผมได้ยิน “ช่วยรับผมหน่อยก็ไม่ได้นะครับคุณเรสริคซ์ ใจร้ายชะมัดเลย..นี่ถ้าไข่มอนมอนแตกขึ้นมาจะทำยังไงกัน?”


ผมเคยใจดีซะที่ไหนกัน...แล้วไอ้ไข่มอนมอนนั่นมันอะไร? อย่าบอกนะว่าเอาไข่ของจิบปี้ติดตัวมาด้วยอีกน่ะ เจ้าบ้าเอ๊ย! นี่เรามาทำภารกิจกันนะไม่ได้มาพักผ่อนชายทะเลแก้เครียด คิดแล้วไมเกรนก็พาลจะขึ้นอย่างไรพิกล


ซ่า ซ่า ซ่า...


เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังขึ้นพอเป็นจังหวะ กลิ่นอายของชายทะเลทำให้อาการวิงเวียนของผมดีขึ้นมาบ้าง ผมลุกขึ้นยืนแล้วส่งมือฉุดเพื่อนคู่หูขึ้นมาจากพื้นทราย ท้องฟ้ายามค่ำคืนจรดกับผืนน้ำสีดำเป็นหนึ่งเดียวจนแยกไม่ออกว่าเส้นขอบฟ้าอยู่ในจุดใด แม้จะไร้แสงไฟฟ้าเหมือนดั่งเช่นในยุคสมัยของผม แต่ยังคงมีเพียงคบเพลิงที่ให้แสงสว่างส่องให้เห็นตึกรามบ้านช่องที่อยู่ไม่ไกล อย่างน้อยเราก็คงจะพอหาที่พักในคืนนี้ได้อยู่บ้าง


สองขาก้าวยาวไปตามพื้นทรายที่ทอดตัวยาวมุ่งหาโรงแรมที่พักซึ่งราคาไม่แพงนัก ผมไม่รู้ว่าจำนวนเงินที่โซลว์มอบให้พวกเรามีจำนวนมากเท่าไหร่ แต่ด้วยความงกของเขาแล้วผมเชื่อว่าเขาให้มาเพียงแค่ไม่กี่เหรียญ ถ้าให้นักท่องเวลานอนบนต้นไม้กับหาอาหารทานเอาเองตามป่าเขาหรือจับปลาในแม่น้ำอะไรทำนองนั้นได้ ผู้อำนวยการหัวหงอกก็คงให้พวกเราทำแบบนั้นไปแล้ว


คู่หูของโซลว์จะเป็นใครกันนะ...แต่ที่แน่ๆคงจะโชคร้ายกว่าผมที่มีจิงส์เป็นคู่หู เพราะดันได้เจ้าผู้อำนวยการปัญญาอ่อนนั่นไปเป็นคู่หูน่ะสิ!


ปัญหาที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือผมไม่รู้ว่าเราจะสามารถไปตามหานางเงือกได้ที่ไหน เนื่องจากเผ่าเงือกถือว่าเป็นหนึ่งเผ่าพันธุ์ที่หายาก เพราะมีนิสัยรักเผ่าพันธุ์ตนเองและยังเกลียดชังมนุษย์เป็นพิเศษ ในสารานุกรมบอกว่าเงือกได้ย้ายไปอยู่ใจกลางมหาสมุทรมอเทลรัสเพื่อหลีกหนีการสุงสิงกับมนุษย์หรือบางทีในยุคนี้อาจจะยังมีเผ่าเงือกอยู่ตามชายฝั่งก็เป็นได้


คิดดูดี ๆแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน ตั้งแต่เริ่มรับอาชีพนักท่องเวลา ชีวิตผมก็มีชะตากรรมให้ประสบกับสัตว์หลากหลายชนิด ทั้งไดโนเสาร์ นก งูและคราวนี้ก็ยังต้องมาเจอปลา...คราวหน้าไม่ส่งสัตว์ประหลาดมาให้เลยล่ะ


“คุณเรสริคซ์ครับ!” เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นจากเจ้าของไหล่คุดคู้ที่เดินตามผมอยู่ข้างหลัง จิงส์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาเต็มที่ สัญชาติญาณบอกให้ผมเบี่ยงตัวหลบก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าใส่ได้อย่างทันท่วงที ใบหน้าของชายหนุ่มผมสีชาจึงล้มคะมำไม่เป็นท่าอยู่บนพื้นทรายอีกครั้ง ช่างไม่ได้รู้จักเข็ดเอาเสียเลย...


“มีอะไรหรือเปล่าครับจิงส์?” ผมขยับยิ้มบางบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่ไม่มากจนเกินไปและยังเปี่ยมไปด้วยความจริงใจไร้แววเย้ยหยันอย่างที่ในใจผมคิด โชคดีที่เพื่อนคู่หูไม่ได้ฉลาดเป็นกรดเหมือนผู้อำนวยการหัวหงอกนั่น เขาจึงจับสังเกตไม่ได้เลยสักนิดว่ารอยยิ้มของผมมันเสแสร้งสิ้นดี


“ไข่..ไข่ของมอนมอนมัน..มัน..” นอกจากจะมีเส้นผมปรกใบหน้าชวนหงุดหงิดใจแล้วจิงส์ยังเพิ่มอาการติดอ่างขึ้นมาอีกอย่างด้วย มือผอมแห้งควักไข่สีฟ้าเข้มขนาดเล็กกว่าลูกฟุตบอลเพียงเล็กน้อยขึ้นมาจากชายเสื้อ ถึงขนาดยัดไข่นกเข้าไปในเสื้อเลยหรือคู่หูของผม...


จิงส์วางไข่ขนาดยักษ์ลงบนพื้นทราย มันเริ่มโยกตัวไปมาเหมือนกับตุ๊กตาล้มลุก ผมหยิบไฟฉายในกระเป๋าขึ้นส่องเจ้าไข่เจ้ากรรม เปลือกไข่เริ่มมีรอยร้าวปรากฏโดยรอบ บ่งบอกได้ดีว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆกำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้แล้ว


แต่สิ่งมีชีวิตอย่างนกยักษ์นั่นไม่น่ากำเนิดขึ้นมาคงจะดีที่สุดนะ...


เป๊าะ!


เสียงเปลือกไข่สีฟ้าชวนแสบตาแตกออกดังขึ้นอย่างแผ่วเบา พร้อมกับดวงตาสีเขียวมรกตที่จับจ้องมายังผมอย่างไม่วางตา ตามด้วยเสียงร้องลั่นที่ทำให้เส้นขนที่สันหลังตั้งชันด้วยลางสังหรณ์อันบ่งบอกว่า..นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผมแน่ๆ


“หม่าม๊าต่าย~!!”


พระผู้เป็นเจ้าตอบผมที ไอ้ตัวประหลาดนี้มันตัวอะไร!!??


...โปรดติดตามตอนต่อไป...

@คุณGTW
ขอบคุณมากเลยค่ะสำหรับการท้วงติงเกี่ยวกับความไม่สมจริงของฉากงู
พอดีฉากงูรัดเป็นฉากที่เขียนเพิ่มทีหลัง ซิ่นจะพยายามปรับใหม่นะคะ

@คุณกาแฟเย็นเพิ่มช็อต  ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ^ ^

@คุณแมวเหมียวพุงป่อง  รับทราบค่าาา


กลับมาอัพตอนที่สี่แล้วนะคะ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ไร้สาระไปเรื่อยๆ (ฮา)
ส่วนเรื่องธรรมศาสตร์...ซิ่นดันไปสมัครผิดโครงการค่ะ เลยไม่ได้ไปสอบรับตรงเลย T T
อยากจะร้องไห้ให้กับความงี่เง่าของตัวเอง แงๆ

หนีไปเขียนนิยายต่อล่ะค่ะ พบกันใหม่นะคะ

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ ขอให้ทุกท่านมีความสุขและพบเจอแต่สิ่งดีๆนะคะ

จากคุณ : resin_part_14
เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 21:51:11




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com