Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กระบี่รันทด ภาค 2..................บทที่ 13 (จบภาต 2) ติดต่อทีมงาน

กระบี่รันทด ภาค 2..................บทที่ 13 (จบภาต 2)



บทที่12
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11380760/W11380760.html


ความเดิม

ขณะนั้นเอง ประตูทางเข้าปรากฏคนอีกผู้หนึ่ง

เป็นเฒ่าซกมก


***************


เฒ่าซกมกถือว่าเป็นคนทรยศสำนักคุ้มกันภัย สมควรหลบลี้หนีหน้า ถึงกับกล้าเสนอหน้ามาที่นี้ เพราะเหตุใดกัน......

ผู้คนในร้านพากันชะงักงัน กระบี่แสนหล่อชะงักความหล่อของมันค้างคาคล้ายลมหายใจขาดห้วง โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมกับแม่นางฟ้อนซิ่งพากันเลิกคิ้วมองไม่เอ่ยปากประการใด เฒ่าหรรษากับกระบี่หรรษาพากันชะงักค้างแบบขำๆ

ส่วนเฒ่าซกเล็กลุกขึ้นจากเก้าอี้ ผู้คนคิดว่ามันคงถาโถมออกไปอาละวาดใส่สามฝ่ามือสี่เท้าให้กับคนทรยศ แต่มันกลับลุกขึ้นจ้องมองเท่านั้น

หมัดของมันยังไม่ได้พุ่งออก เท้าของมันยังไม่ได้เตะใส่ แต่เฒ่าซกมกคล้ายถูกหมัดพุ่งเข้าหา ถูกเท้าเตะฟาดใส่ สองขาสั่นไหวคล้ายพละกำลังกะเจิดกระเจิง

เฒ่าซกเล็กไม่เพียงไม่ต่อยออกเตะใส่ สายตาของมันยังสงบเยือกเย็นยิ่ง ไม่คล้ายมองคนทรยศหักหลัง หากคล้ายมองมิตรสหายผู้หนึ่ง

เฒ่าซกมกคล้ายทนทานมิได้  ความจริงมันซกมกอยู่แล้ว ยามนี้คล้ายซกลงลงไปอีกสามสี่ส่วน ร่างคล้ายต้นไม้ชราภาพกลางลมแรงใกล้ปลิดปลิว เอ่ยปากเสียงสั่นเครือ

“ท่านไฉนไม่ต่อยหมัดออกเตะเท้าใส่ข้า”

เฒ่าซกเล็กจ้องมองมันครู่หนึ่ง นัยน์ตาพลันปรากฏแววพิเศษพิสดารชนิดหนึ่ง ย้อนถามออกไปเสียงราบเรียบว่า

“ทำไมข้าต้องเตะต่อยใส่ท่าน”

แก้วตาของเฒ่าซกมกปรากฏแววหม่นมัวละอายใจขึ้นมาทันที น้ำเสียงถามของมันก็ไม่หนักแน่นมั่นคง

“เพราะข้าทรยศหักหลัง”

พูดยังไม่ทันขาดคำ สหายของมันพลันถอนใจยาวแล้วกล่าวหนักๆว่า

“ข้าเองก็ไม่ต่างจากท่าน วางมือกลางคัน ไม่ยินยอมส่งสินค้าถึงมือลูกค้า เช่นนี้นับว่ามีอะไรดีเลิศประเสริฐศรีกว่าท่าน”

“แต่...”

“ท่านไม่ต้องกล่าววาจา เข้ามารับประทานสุราอาหาร”

“ข้าไม่ได้มาเพื่อรับประทานอาหาร”

“เฒ่าหรรษาฟังอยู่ด้านนำลันลุกขึ้นตบโต๊ะปังทันที ร้องเสียงดังอย่างเดือดดาลแบบขำๆ

“ผายแพ่งสุราลม..มาร้านอาหาร ไม่รับประทานอาหาร นับว่าเป็นเรื่องขำอุบาทว์มาก ฮา.. มาร้านอาหารไม่รับประทานอาหาร เฉกเช่นเข้าห้องสุขาไม่ปลดทุกข์ คล้ายส่งตัววันวิวาห์แล้วกระโจนหนีจากเรือนหอ ฮา....แค่คิดข้าก็ขำแล้ว”

กระบี่หรรษาฟังอาจารย์ของมันกล่าววาจา แล้วลุกขึ้นตบโต๊ะปัง กล่าวขึ้นแบบขบขันเช่นกัน ไม่เสียทีเป็นศิษย์อาจารย์กัน

“ท่านอาจารย์กล่าวถูกต้อง ถูกต้องแบบขำๆ จนข้าขำจะแย่อยู่แล้ว มาร้านอาหารไม่ยินยอมกินอาหารคล้ายคนสวมกางเกงในแล้วใส่ชุดนอน โอย....แค่คิดขำก็จะแย่อยู่แล้ว.”

“ศิษย์ข้า...เจ้าคิดได้อย่างไร สวมกางเกงในแล้วใส่ชุดนอน โอย....นึกภาพแล้วขำใจจะขาด ฮาจะขาดใจ..”

แม่นางฟ้อนซิ่งฟังแล้วลุกขึ้นตบโต๊ะฉาดใหญ่ แค่นเสียงด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า

“ทำไม มีอะไรน่าขำ คนสวมกางเกงในแล้วใส่ชุดนอนมีอะไรน่าขำ”

สองศิษย์อาจารย์ฟังแล้วหัวเราะครืนพร้อมเพรียงกันทันที กระบี่หรรษาเป็นคนลอยหน้าลอยตาตอบไปหัวร่อไปว่า

“ทำไมจะไม่ขำ ชุดนอนเป็นชุดผ่อนคลายสบายตัว กางเกงในตรงกันข้ามเพราะใส่แล้วอึดอัดรัดตัว สองรูปแบบสองวิถีสองพลัง มาสวมด้วยกันได้อย่างไร ยอดฝีมือย่อมไม่ทำเช่นนี้ เอ๊ะ..หรือว่าท่านทำ”

แม่นางฟ้อนซิ่งมีสีหน้าทั้งขุ่นเคืองทั้งเขินอายทำท่าจะลงมือจู่โจม เฒ่าหรรษาเห็นดังนั้นรีบยกมือห้ามแบบขำๆ บอกว่า

“ข้าขออภัยที่ศิษย์ข้าวาจาล่วงเกิน เช่นนั้นพวกข้าขอขำแบบใหม่ก็แล้วกัน เอาเป็นว่าคนมาร้านอาหารไม่สั่งอาหารรับประทาน คล้ายคนที่ไม่ใส่กางเกงในและไม่ใส่ชุดนอนก็แล้วกัน โอย โปรดโปร่งโล่งสบายแบบไม่ใส่อะไรเลย....แค่คิดก็ขำแล้ว ขำแบบลามกๆ..โอยๆ ”

แม่นางฟ้อนซิ่งพลันลงมือ

นางกระโดดปราดขึ้นเป็นปักษาเหิน  กรงเล็บทั้งสิบกรีดกรายกราดเกรี้ยวใส่ใบหน้าของเฒ่าหรรษาทันที

เฒ่าหรรษาเป็นถึงยอดฝีมือหนึ่งในสิบจอมยุทธ์พิสดาร แต่พอเห็นการโจมตีของแม่นางฟ้อนซิ่งก็ไม่กล้าชะล่าใจ รีบแหว่งแขนกระโดดลอยถอยปราดออกไปด้านหลัง ประกายเย็นยะเยียบตมกริบสิบเส้นฉิวเฉียดใบหน้าใบอย่างหวุดหวิดหวาดเสียว

เงาร่างของแม่นางฟ้อนซิ่งประกบติดตามเป็นเงาตามตัวพัวพัน ทั้งคู่เลยต่อสู้กันอยู่กลางห้องอาหารนั่นเอง หลายคนรีบขยับโต๊ะออกมาเปิดช่องวางที่ทางให้

กระบี่หรรษาขยับร่างโดยไม่ตั้งใจ ความจริงมันไม่คิดเข่าช่วยเหลืออาจารย์ หากเป็นไปตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นประกายตาคมหล่อคู่หนึ่งจ้องมองมาราวเป็นตะปูตัวเขื่องตอกตรึง

เป็นสายตาของกระบี่แสนหล่อ

สายตาคู่นั้นบอกให้มันทราบว่า อย่าได้คิดลงมือช่วยอาจารย์ของมันเด็ดขาด ดังนั้นมันจึงได้เพียงแต่ทรุดตัวลงนั่งขำแบบไม่รู้ว่าจะขำหาสวรรค์วิมานอันใด

เฒ่าซกมกเห็นดังนั้นทำท่าจะล่าถอย หากสหายของมันส่งเสียงถามด้วยใบหน้าจริงจังว่า

“ท่านไม่คิดมารับประทานอาหาร แล้วคิดมาอะไร”

เฒ่าซกมกก้มหน้ามองพื้นเนิ่นนาน จึงเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า

“ข้าเพียงมาขอโทษพวกท่านทุกคน”

“เพียงเท่านี้”

“เท่านี้จริงๆ”

“ทำไมทำเช่นนี้”

“เพราะข้าควรทำเช่นนี้”

เฒ่าซกเล็กมองด้วยสายตาเห็นใจ คนคบหากันมานาน มีเสพร่วมสุข มีทุกข์ร่วมเสพ มานาน บางทีสามารถมองกันกระจ่างระดับหนึ่ง แล้วพลันตบโต๊ะฉาดใหญ่ บอกเสียงดัง

“ท่านเข้ามาดื่มกิน ข้าเลี้ยงมื้อนี้ท่าน”

“ท่าน..ไฉนทำเช่นนี้”

““เพราะข้าควรทำเช่นนี้”

เฒ่าซกมกมีสีหน้าพลุ่งพล่านตื้นตัน มันย่อมทราบว่าสหายของมันไม่ติดใจอภัยมันสิ้นแล้ว แต่มันจะทำใจอภัยตัวเองได้หรือไม่

โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมพลันตบโต๊ะดังๆ โรคตบโต๊ะคล้ายระบาดใส่ผู้คนอย่างรวดเร็ว นางส่งเสียงขึ้นแบบไม่เฉพาะเจาะจงกับผู้ใด

“ไม่ว่าผู้ใดมีปัญญาเลี้ยงใคร เราไม่สนใจ ขอเพียงมีเงินจ่ายมีคนจ่าย เรายินดีเสมอ เพราะนี่คือโรงเตี๊ยม ไม่ใช่ศาลทหาร”

หลายคนสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินชื่อระบบพิเศษ อันบรรยากาศแปลกประหลาดพิสดารลี้ลับไร้ตัวตนเริ่มแผ่ซ่านเข้ามา จนทำให้เฒ่าซกมกพยักหน้าไม่คิดชีวิต ลนลานรับปากรับคำทันที

“ได้...ได้....ข้าจะดื่มกินกับท่านหนึ่งมื้อ”

“ประเสริฐมาก”

เฒ่าซกเล็กมีสีหน้าพอใจ ลงมือสั่งอาหารการกินทันที แม้ว่าจะเพิ่งเปิดร้านส้มตำไม่นาน แต่มันยังมีเงินมากมายติดตัวมาก่อน เลี้ยงสหายเก่าสักมื้อย่อมไม่หนักหนาสาหัส

ข้างฝ่ายกลางร้านอาหาร เฒ่าหรรษาถูกรุกไล่จนเป็นฝ่ายถอยไปมา อย่างไรมันก็ไม่กล้าโต้ตอบรุนแรงกับสตรี แม้ว่าจะหรรษาจนดูใกล้บ้าปานใด มันยังมีคุณธรรมประจำใจ ไม่เคยทำเรื่องไร้เหตุผลเช่นการลงมือต่อสตรีเช่นเดี่ยวกับจอมยุทธ์พิสดารหลายๆคน

ดังนั้นในที่สุดเฒ่าหรรษาจึงร้องขึ้นดังๆ ขณะหลบไปมาตามต้นเสาไม้ค้ำอาคาร

“เรายอมแพ้....ยอมแพ้แบบขำๆ”

แม้จะเดือดดาลโมโหปานใด  แม่นางฟ้อนซิ่งเมื่อได้ฟังยังอดยิ้มออกมาไม่ได้ ยอมแพ้แล้วยังบังอาจมีหน้ามาขำได้นับว่าเป็นจอมยุทธ์หลุดปฐพีจริงๆ

“ก็ได้..แต่ต้องขอโทษข้าก่อน”

“ขอโทษเรื่องอะไรกัน..อะไรกันก็ขำอีก โอย”

“ไม่ต้องรู้ไม่ต้องสนใจ เพียงขอโทษก็พอ ไม่มีเหตุผล”

“ก็ได้....ก็ได้ ข้าเฒ่าหรรษา ขอโทษแม่นางฟ้อนซิ่ง หากวาจาล่วงเกินแบบขำๆใดๆ โปรดให้อภัย โอย....ขำอีกแล้ว ขำแบบไม่มีเหตุผล อยากขำก็ขำ..โอย  จะบ้าตาย”

ว่าพลางมันรับยกมือคารวะทันที ด้วยสีหน้าขำแบบจริงใจอ่อนน้อม

“เช่นนั้น..ข้าให้อภัยท่านก็แล้วกัน เชอะ!”

หลายคนลอบถอนใจอย่างโล่งอก เพราะการมาต่อสู้กันในห้องอาหารแบบนี้ มันเสี่ยงต่อการโดนลูกหลงเป็นอย่างยิ่ง เฒ่าหรรษาเดินทำหน้าขำกลับมาหาศิษย์ของมัน ซึ่งมองหน้าอาจารย์แล้วหัวร่อออกมาเมื่อเห็นหน้าขำๆของผู้เป็นอาจารย์

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ” มันกระซิบบอกอาจารย์ด้วยเสียงแผ่วเบาพอได้ยินกันสองคน “ท่านอาจารย์ไม่ควรไปยุ่งวุ่นวายกับชุดนั่งชุดนอนของเหล่าสตรี มันเป็นเรื่องต้องห้ามของวงการ เป็นเรื่องของสตรี พวกเราไม่ควรไปวุ่นวายจนขำปางตายแบบนี้.....โอย ขำอีกแล้ว แบบนี้ก็ขำ”

“ก็จริงชองเจ้า...ถึงจะจริงแบบขำๆก็เถอะ ว่าแต่พวกนางช่างมีเรื่องวุ่นวายดีแท้ เหล่าสตรีความคิดความอ่านยากต่อการตาดเดา ขนาดเรื่องชุดนอนยังขำวุ่นวายขนาดนี้ ถ้าหากไปยุ่งกับเรื่องชุดนั่ง ชุดยืน หรือชุดวิ่ง ของพวกนางเข้า คงได้ขำจนขาดใจตายเป็นแน่แท้....ฮาขำแบบกระซิบๆ  ขำแบบแผ่วเบา”

สองศิษย์อาจารย์ขำแบบแผ่วเบาจนหน้าดำหน้าแดงเพราะเป็นการขำแบบเก็บกด ไม่สามารถเปล่งพลานุภาพของความขบขันออกมาได้เต็มศักยภาพ

เวลาผ่านไปดึกดื่นค่อนคืน ทุกคนยังไม่เลิกรา คล้ายมีลางสังหรณ์เร้นลับบางอย่าง นับว่าเป็นค่ำคืนครึกครื้นยิ่ง  

เที่ยงคืน

เสียงเคาะไม้บอกเวลาเที่ยงคืนดังกังวานได้ยินไปทั่วเมือง เป็นประเพณีของเมืองไม่มากไม่น้อยแห่งนี้ว่าเที่ยงคืนจะต้องมีการเคาะไม้บอกเวลา และเป็นการอำลาวันเก่า เข้าสู่วันใหม่


“มันมาแล้ว”

เสียงใครบางคนตะโกนขึ้นดังๆ

ทุกคนหันไปมอง

กระบี่รันทดปรากฏตัว เดินเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน ด้วยท่าทางอ่อนระโหย คล้ายเดินทางอย่างเร่งรีบมาครึ่งคืน ไม่มีใครคิดว่ามันจะมา แต่มันมา ไม่มีใครคิดจะรอคอยมันแต่ทุกคนคล้ายรอคอยมัน นับว่าเป็นเรื่องพิสดารยากต่อการเข้าใจไร้เหตุผล

หลายคนร้องขึ้นอย่างแปลกใจและยินดี บางมันความจริงไม่เชื่อว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะกลับมาในคืนนี้  แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงต้องรอคอย เป็นการรอคอยแบบไม่มีความหวัง แต่ทุกคนต่างรอคอย หรือในความไร้ความหวังยังมีความหวังเร้นลับแอบแฝง

บุรุษหนุ่มไม่พูดประการใด มันรู้สึกหิวกระหายและเหน็ดเหนื่อย คล้ายคนผ่านเส้นทางมายาวไกล

พอมันนั่งลงโต๊ะของสองโฉมสะคราญ น้ำชา อาหารก็วางบนโต๊ะทันที น้ำชาและอาหารเหล่านี้ก็คล้ายรอคอยมันอยู่เช่นกัน หรือว่ามีใครคาดเดาได้ว่ามันจะมา พอข้าวปลาอาหารวางลง บุรุษหนุ่มรีบลงมือดื่มกินทันที คล้ายรอคอยข้าวปลาอาหารเหล่านี้อยู่เช่นกัน

ทุกคนในร้านพอกันเงียบงันลงตั้งแต่กระบี่รันทดก้าวเข้ามาในร้านแล้ว ทุกคนพูดคุยดื่มกินอย่างแผ่วเบา คล้ายรอคอยบางอย่าง  แต่ไม่มีใครซักถาม หากการไม่เอ่ยปากซักถามก็คล้ายเป็นการเอ่ยปากซักถามไร้เงารูปแบบหนึ่งเช่นกัน บางครั้งการเอ่ยปากรบเร้าซักถามก็ไร้ประโยชน์ไร้ความหมายหากไม่มีผู้ใดเอ่ยปากตอบ และการไม่เอ่ยปากตอบความจริงก็เป็นการตอบคำถามไร้เงาชนิดหนึ่งเช่นกัน

ผู้คนในร้านคล้ายเข้าใจหลักการนี้กะทันหัน โดยไม่มีการนัดหมาย คล้ายรู้ว่าบุรุษหนุ่มจะต้องมีคำตอบ เรื่องราวบางอย่างเป็นเช่นนี้จริงๆ

กระบี่รันทดเองก็คล้ายบรรลุแก่นแท้ของการรอคอยไร้เงา หลังจากก้มหน้าดื่มกินไปพักหนึ่ง พลันเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยปากเสียงเนิบนาบราบเรียบว่า

“เรารู้แล้วว่า ของในกล่องปริศนาล้ำค่านั่นคืออะไร”

มันไม่ได้ต้องการให้ใครเอ่ยปากซักถาม เพราะบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยคำถามไร้สภาพอึงอลหนักอึ้งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยปากต่อไปว่า

“มันเป็นสิ่งของมีค่าไร้จะประเมินออกมาเป็นราคาค่างวดได้จริงๆ”

วาจาพอเอ่ยออกไป ไม่ดังกังวาน แต่ทุกคนล้วนได้ยินชัดเจน เนื่องเพราะต่างคนต่างตั้งใจฟังอย่างยิ่ง นักพูดที่ดีย่อมไม่ใช้เสียงดังสยบเสียงพูดคุยผู้ฟัง หากต้องทำให้ผู้ฟังเป็นฝ่ายสยบสงบเสียงลงไปเองต่างหาก จึงจะจัดว่าบรรลุแก่นแท้ของการเอื้อนเอ่ยวาจา

ทุกคนในร้านพลันนึกคาดเดาทันที อะไรจะมีคุณค่ามากมายมหาศาลบรรจุอยู่ในกล่องใบน้อยเบาหวิว หรือจะเป็นตั๋วแลกเงินมูลค่ามหาศาล ยังจะมีอะไรอื่นเป็นไปได้นอกเหนือจากนี้

บุรุษหนุ่มพลันมีสีหน้าเหม่อลอยซึมเซา เนิ่นนานจึงเอ่ยบอกแบบรำพึงรำพันว่า

“กระทั่งข้าเองก็ไม่สามารถประเมินคุณค่าของของสิ่งนั้นออกมาได้”

เงียบหายไปนาน จึงเอ่ยวาจาเชื่องช้าแผ่วเบาต่อไปว่า

“แล้ว ยังจะมีใครประเมินมูลค่านั้นออกมาได้”

โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมคล้ายอดรนทนไม่ได้ ตบโต๊ะฉาดใหญ่ พูดขึ้นด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า

“ท่านบอกมาได้แล้ว ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร อย่ามั่วแต่พร่ำเพ้อพิไร”

สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งของสตรีดูแล้วน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าสีหน้าอำมหิตไร้น้ำใจเสียอีก สีหน้าอำมหิตไร้น้ำใจยังพอดูออกว่าจะจู่โจมมารูปแบบใดด้านใด แต่สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งคล้ายเป็นสีหน้าเดินสายกลาง สามารถเซไปทางขวา ถลาไปทางซ้าย พลิกจากยิ้มแย้มเป็นอำมหิต หรือจากอำมหิตเป็นยิ้มแย้ม จากปลายกระบี่เป็นบุปฝา หรือพลิกจากบุปผาเป็นปลายกระบี่ ยากต่อการคาดเดารับมือ

ดังนั้นกระบี่รันทดจึงยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากเสียงดังเป็นพิเศษว่า

“ของอยู่ในกล่องใบนั้นคือ เส้นผม และรูปภาพสตรีนางหนึ่ง.......”

ลมหายใจผู้คนแทบขาดห้วง

ไม่มีใครคาดฝันมาก่อนเด็ดขาด เส้นผมกับรูปภาพไหนเลยสามารถเป็นของล้ำค่ามหาศาลจนทำให้เกิดการแย่งชิงวุ่นวายศึกสายเลือดขนาดนี้

แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธเช่นกันว่าสิ่งของแบบนี้ไม่สามารถเป็นสิ่งของมูลค่ามหาศาลได้

แม่นางฟ้อนซิ่งยิ้มแย้มแล้วกล่าวเสียงสดใสขึ้นมาว่า

“ใช่แล้ว........สิ่งของเช่นนี้ มีมูลค่ามหาศาลจนไม่อาจประเมินค่าได้จริงๆ”

“เช่นไร..”

ผู้เอ่ยปากถามเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมผู้งดงาม นางเอ่ยปากถามแม้ว่าสายตาจะมีกระกายตาบ่งบอกว่านางเข้าใจคำตอบกระจ่างชัดอย่างยิ่ง หากยังเอ่ยปากถาม เพื่อให้สหายของนางได้อธิบายให้ผู้อื่นกระจ่างเข้าใจเช่นกัน ดังนั้น แม่นางผู้มีเพลงเล็บอันคมบาดตาบาดใจ จึงอธิบายต่อไปว่า

“หากพวกท่านมีความรัก มีคนรัก วันหนึ่งพลัดพรากจากลาอาลัย สิ่งของซึ่งได้รับมาจากคนรัก ท่านยังสามารถบอกว่ามันไร้ค่าได้หรือไม่ ห่างหายเนิ่นนานไกลตา มีเพียงสิ่งของที่ระลึกของคนรักเป็นตัวแทน ของเช่นนี้ท่านยังสามารถทิ้งขว้าง”

“เราไม่สามารถ.....”

ผู้ที่ตอบเป็นคนแรกคือ กระบี่แสนหล่อ มันฟังจนสีหน้าปรากฏแววอ้างว้างรันทดชนิดหนึ่งขึ้นมา สายตาของมันจ้องมองไปข้างหน้า หากคล้ายมองผ่านไปในอดีตกาลยาวนาน เอ่ยปากแช่มช้าขึ้นมาว่า

“นานมาแล้ว สมัยเรายังไม่บรรลุวิชาแสนหล่อ เรายังคงเป็นผู้คนธรรมดา มีความรักแบบธรรมดา คนรักของเราได้จากลาเราไปแต่งงานกับผู้อื่นตามคำขอของตระกูลของนาง เราเพียงเหลือผ้าเช็ดหน้าของนางผืนเดียว ติดตัวเสมอ ผู้ใดคิดช่วงชิงเรายินยอมปกป้องเอาชีวิตเข้าแลก”

ว่าพลางล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยออกมาอย่างทะนุถนอม

ผ้าเช็ดหน้านั้นผ่านกาลเวลาเนิ่นนาน หากยังดูมีคุณค่าอันประเมินค่าไม่ได้ ในสายตาของกระบี่แสนหล่อ เพราะหัวใจผู้คนมีรัก จึงมีเรื่องราวเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดเห็นสีหน้าของมันในตอนนี้ต้องไม่กล้าดูถูกผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นอันขาด

แล้วยังจะมีใครสามารถประเมินคุณค่าราคาของมันออกมาเป็นตัวเลขได้

ห่างหายไกลตาสุดสายตาสุดสายใจ เหลือเพียงสิ่งของเป็นตัวแทนในยามครุ่นคิดถึงคะนึงหาแทบขาดใจ โดยเฉพาะในค่ำคืนอ้างว้างซึ่งจิตใจอ่อนแอ กระทั่งผวาตื่นลุกขึ้นมากลางดึกพร้อมคราบน้ำตาจากความฝันร้าวรานโหยหา ภาพเช่นนี้ยิ่งตอกย้ำความหลังความรักอันแฝงลึกในจิตใจผู้คน ความฝันจางหาย แต่รอยในใจประทับตราติดตรึงยาวนานตลอดลมหายใจสุดท้าย

ภาพเขียนใบหนึ่ง กับเส้นผมปอยหนึ่ง อาจไม่ความหมายกับผู้คน แต่กลับมีคุณค่ามหาศาลสำหรับบางคนซึ่งมีความหลังฝังตรึงกับภาพเขียนและภาพวาด

กับเฒ่าปลาทูเค็ม เส้นผมและเส้นผม ของนางพญาแมวเหมียว มูลค่ามหาศาลยิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ในโลกนี้  ดังนั้นไมยินยอมยกมรดกนี้ให้ใคร ยินยอมส่งกลับเจ้าของเพื่อให้รู้ว่าเจ้าของเส้นผมรู้ว่าห่างเพียงกายแต่อยู่ในใจเสมอมา.. เพียงให้รู้เท่านั้น..ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว และไม่ต้องอธิบายใดๆ

น่าเศร้าว่าลูกหลานของเฒ่าปลาทูเค็มกลับแย่งชิงกันสุดชีวิตกับข้าวของที่ตัวเองไม่เข้าใจลึกซึ้ง ตระกูลของปลาทูกับแมวก็คล้ายไฟกับน้ำ สองตระกูลไม่ยินยอมพอใจให้คบหา เพราะแมวย่อมกินปลาทู

ย่อมไม่เพียงกระบี่แสนหล่อเท่านั้น แทบทุกคนย่อมมีสิ่งของระลึกจากเงาอดีตไม่มากก็น้อย บอกคนบอกว่าไม่มีสิ่งของ อาจมีร่องรอยบาดแผลอันรักษาไม่หายตลอดไปภายในใจ ในโลกนี้ไหนเลยมีคนสามารถปลอดโปร่งโล่งใจตลอดเวลา

ปริศนาของวงการถูกคลี่คลายกระจ่างออกมาหนึ่งประการแล้ว

หากในโลกนี้มีปริศนามากมาย วนเวียนไม่รู้จบ เกิดและดับแตกสลายแปรเปลี่ยนเวียนผันไม่จริงแท้แน่นอน ดังนั้นกระบี่รันทดจึงต้องเดินทางต่อไป

จากคุณ : Psycho man
เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 22:04:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com