Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Time Travelers ตอนที่ 5 [Fantasy] ติดต่อทีมงาน

Time Travelers
บทนำ+ตอนที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11505582/W11505582.html
ตอนที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11509751/W11509751.html
ตอนที่ 3
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11513558/W11513558.html
ตอนที่ 4
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11521422/W11521422.html

- - - - - - - -

[Rule of Time Travelers 5] กฎของการเป็นนักท่องกาลเวลาข้อที่ 5 – จงรับผิดชอบในการกระทำของคู่หูเหมือนกับเป็นการกระทำของตนเอง


สิ่งมีชีวิตทรงกลมหูยาวและขนปุกปุยเหมือนกระต่าย หากแต่มีสีชมพูบาดตากระโจนขึ้นจากเปลือกไข่สีฟ้าเข้ม ปีกค้างคาวขนาดเล็กสีดำสนิทที่ข้างลำตัวกระพือขึ้นลงช้า ๆจนลอยตัวอยู่กลางอากาศ เจ้าตัวประหลาดสีสันชวนปวดใจถูลำตัวนุ่มนิ่มของมันไปมากับใบหน้าของผมพลางส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน ผมคว้ามือเข้าใบหูยาวแล้วรวบเข้าหากัน มืออีกข้างหนึ่งใช้ไฟฉายส่องไปยังเจ้าตัวประหลาดตาสีเขียวใสปิ๊งตรงหน้า


ไหนบอกว่าเป็นไข่ของจิบปี้? ไอ้ตัวนี้ต่อให้ตีลังกาหรือหกสูงมองยังไงมันก็ดูไม่เหมือนนกหรอกนะ ขนาดปีกยังเป็นปีกค้างคาวเลย...อย่าบอกนะว่าจิบปี้มันมีชู้!!??


“หม่าม๊าของเค้าสวยที่สุดเลยจ้าต่าย~” เสียงหวานชวนน่าขนลุกดังขึ้นจากปากโค้งมนอันเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม ผมจ้องตัวประหลาดที่กำลังร้องเรียกผมว่าเป็นผู้ให้กำเนิดของมันไม่ขาดปาก มองยังไงผมก็ผู้ชาย..จะไปเป็นแม่มันได้ยังไงกันเล่า


พระเจ้าช่างกล้าสรรสร้างมันขึ้นมาบนโลก ตัวบ้าอะไรสีชมพูแสบสันต์แต่ดันออกมาจากไข่นกสีฟ้าเข้ม แถมยังมีดวงตากลมโตที่กินพื้นที่เกือบครึ่งหน้าสีเขียวสดราวกับมรกต ไหนจะปีกค้างคาวสีดำกับหูกระต่ายยาวยืดพอ ๆกับลำตัวกลมกลิ้งเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสิบห้าเซนติเมตร...รวมกันแล้วสัตว์พันทางชัด ๆ!


“หม่าม๊าเค้าหิวแล้วล่ะต่าย~~” เสียงตัวประหลาดยังร้องไม่มีหยุดจนผมอยากจะเอาแบล็ค อีเกิ้ลยัดปากมันแทนอาหารที่มันร้องขอ แต่ดูเหมือนจะเป็นการทรมานสัตว์มากเกินไปหรือเปล่านะ


“ผมไม่ใช่แม่เธอ หยุดเรียกผมว่าหม่าม๊าสักที” ลำตัวกลมดิกส่ายไปมาเป็นคำตอบ มองแล้วดูหมั่นไส้ชวนต่อยอย่างไรก็ไม่รู้


“ไม่ได้หรอกต่าย~ คนที่สบตากับเค้าคนแรกคือหม่าม๊า..เรื่องแค่นี้หม่าม๊าก็ไม่รู้หรือต่าย เค้างอนหม่าม๊าแล้วนะต่าย~” สรุปว่าผมซวยเองสินะที่ไปสบตากับมันเขา แต่ขอร้องเถอะเลิกเรียกหม่าม๊าแล้วก็หยุดร้องต่ายท้ายประโยคเสียที..


“จิงส์...นี่มันตัวอะไรกันแน่ครับ” ผมหันไปถามเพื่อนคู่หูพร้อมกับยื่นเจ้าตัวประหลาดถามประกอบ หากแต่ผมกับภาพที่ชวนอเนจอนาถใจเหลือเกิน..ร่างผอมแห้งนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีชาก้มมองต่ำ นิ้วเรียวเขี่ยทรายเล่นอย่างเหงาหงอย ริมฝีปากบางร่ำรำพันอย่างไม่หยุดหย่อน


“ก็มอนมอนนั่นล่ะครับ ผมน่ะอุตส่าห์คุยกันมาตั้งแต่อยู่ในไข่...พอฟักมาดันเอาคุณเรสริคซ์ไปเป็นหม่าม๊าเสียอย่างนั้น...ฮือ ๆ”


....


มันความผิดของผมหรือไงที่ดันซวยไม่เข้าที่น่ะ!


อยากได้นักก็เอาไปเลยสิ ผมไม่อยากได้มอนมอนที่ว่ามาอยู่ติดตัวเป็นตังเมนักหรอกนะ เจ้าตัวประหลาดสีชมพูถูกผมโยนไปยังเพื่อนคู่หู แต่ก็ต้องอดตกใจไม่ได้เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า


ปากโค้งมนดุจดั่งสัตว์จำพวกแมวอ้าออกกว้างจนเห็นฟันแหลมคมเรียงรายภายใน ก่อนที่ฟันแหลมเล่านั้นจะขบลงบนเรือนผมสีชา ขนาดของมอนมอนขยายขึ้นเกือบเท่าตัว ผมเห็นภาพเหมือนเลือดสีแดงสดพุ่งกระจายไปตามรอยขบกัดของเจ้าสัตว์ประหลาด...นี่มันตัวอันตรายเกินไปแล้ว


“เมื่อกี้เหมือนมอนมอนจะบ่นว่าหิวนะครับคุณเรสริคซ์...มอนมอนจะกินพืชหรือว่ากินเนื้อกันนะ” จิงส์เงยหน้าขึ้นถามผมด้วยความกังวล นิ้วมือวางบนคางของตนอย่างใช้ความคิด ขณะที่สายตาของผมยังจับจ้องตัวปุกปุยที่ใช้ฟันเกาะแน่นอยู่บนศีรษะเพื่อนคู่หู


ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่ามอนมอนมันจะกินพืชหรือจะกินเนื้อ แต่ที่แน่ ๆตอนนี้เจ้านั่นกำลังดูดเลือดนายอยู่นะจิงส์ รู้ตัวซะหน่อยสิ...


“มอนมอนหัวจิงส์ไม่ใช่ของกินนะ” ผมเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจ ไม่รู้ว่าจะระอาใครมากกว่ากันดีระหว่างสัตว์ประหลาดสีชมพูพูดได้กับเพื่อนคู่หูที่ความรู้สึกช้าเหลือเกิน มอนมอนค่อยๆถอนปากจากเรือนผมสีชา แววตาของมันเต็มไปด้วยความเสียดาย...ดูเหมือนเลือดของจิงส์จะรสชาติถูกปากกว่าที่คิดสินะ


“อ่ะ! เลือดนี่นา” หยดน้ำสีแดงเข้มไหลลงมาถึงแก้มขาวซีดของชายหนุ่มร่างผอม พร้อมกับเจ้าของปีกค้างคาวคู่เล็กที่โผบินมาเกาะที่ไหล่ของผม สังเกตดูดี ๆแล้วเจ้าสัตว์ประหลาดไม่ทราบสปีชีส์ตัวนี้ยังมีก้อนเนื้อเล็กขนาดนิ้วหัวแม่มือที่ด้านหน้าลำตัวและด้านล่าง...อาจจะเป็นมือและเท้าของมัน ถ้าพวกผู้หญิงมาเห็นก็คงจัดว่ามันน่ารักเหมือนตุ๊กตาอย่างแน่นอน


ถ้าไม่นับไอ้การอ้าปากงับหัวคนได้ทั้งหัวอย่างเมื่อกี้นี้น่ะนะ...


“น้องชาย..เจ้ามีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า” เสียงสำเนียงของคนทางใต้ร้องดังขึ้นจากเบื้องหน้า แสงไฟลิบ ๆจากตะเกียงทำให้ผมรีบเก็บไฟฉายที่ดูจะล้ำหน้าเกินไปสำหรับยุคนี้ ผมเหลือบมองเพื่อนคู่หูที่เลือดอาบศีรษะสลับกับเจ้าตัวต้นเหตุ..คงไม่ดีแน่ถ้าจะให้ใครเห็นตัวประหลาดนี่


“หาที่หลบก่อนมอนมอน ถ้าใครเห็นเธอเข้าอาจจะตกใจเอาได้ง่าย ๆ” มอนมอนพองแก้มป่องเหมือนไม่พอใจ แต่ถ้าไม่หลบตอนนี้มีหวังได้มีเรื่องต่อจากนี้แน่ “เดี๋ยวผมจะหาอะไรให้กิน แต่ตอนนี้หาที่หลบแล้วก็อยู่เงียบ ๆนะ” เจ้าตัวขนปุกปุยมุดเข้าไปในเสื้อของผมแล้วเกาะแน่นอยู่ที่บริเวณหน้าอก..ไม่มีที่ซ่อนที่ดีกว่านี้แล้วหรือไงกัน


 เสียงฝีเท้าพร้อมกับตะเกียงสองดวงมุ่งหน้ามายังชายหาดที่ผมยืนอยู่ การดับไฟฉายที่ส่องให้แสงสว่างทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นได้ว่าอาการของจิงส์เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้สิ่งที่ผมควรจะทำที่สุดคือการแถหาทางรอดจากกลุ่มชาวบ้านที่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกที


“ช่วยด้วยครับ!!” ผมแสร้งร้องตะโกนด้วยเสียงอันตื่นตระหนกซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการลงเรียนวิชาการแสดงเมื่อครั้งปีสี่...แน่นอนว่าผมไม่ได้ลงเรียนเอง ยัยแมสซีนนั่นหลอกให้ผมไปเรียนเป็นเพื่อน แต่ตัวเองดันไปลงเรียนวิชาอื่นเสียได้ “เพื่อนข้าถูกทำร้ายครับ เขากำลังจะแย่แล้ว!”


“รอก่อนนะน้องชาย ทำใจดี ๆไว้” ชาวบ้านกลุ่มนั้นเร่งเดินกรูกันเข้ามา ผมพยุงเพื่อนคู่หูขึ้นจากพื้นเพื่อความสมจริงว่าเขาบาดเจ็บหนักจริง ๆ หรือถ้าไม่สมจริงพอผมอาจจะเอาแบล็ค อีเกิ้ลฟาดเขาอีกสักทีสองทีเพื่อให้ดูอาการหนักกว่าเดิม...


แสงจากตะเกียงที่ส่องเข้าใกล้ทำให้ชาวบ้านสามคนในชุดโบราณอย่างที่ผมเคยเห็นในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ เส้นผมสีชาที่ยาวปรกครึ่งหน้าของจิงส์เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดซึ่งตอนนี้กำลังไหลอาบเต็มใบหน้าครึ่งล่าง..ดูอาการแล้วก็ปางตายสมจริงนั่นล่ะ ชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนคนหนึ่งช่วยหิ้วปีกเพื่อนคู่หูขึ้นมาจากพื้นพลางตรวจสอบลมหายใจของเขาว่ายังมีชีวิตอยู่มั้ย


“อาการหนักมาก เพื่อนเจ้าเป็นโดนอะไรทำร้ายมาหรือ?” จะบอกออกไปดีมั้ยครับว่าโดนสิ่งมีชีวิตขนปุยสีชมพูช็อกกิ้งพิงค์งับหัวมาน่ะ...


“อา...เขาโดนปลาฉลามงับหัวเข้าให้น่ะครับ” สายตาทั้งสามคู่จับจ้องมายังผมเป็นทางเดียว ผมรีบเอ่ยต่อเพื่อให้เรื่องราวปะติดปะต่อมากกว่าเดิม พยายามลืมความสมเหตุสมผลไปเสียว่าไม่มีฉลามที่ไหนจะโผล่ออกมาใกล้ชายฝั่งขนาดนี้หรอก “พอดีเขาชะโงกมองน้ำทะเล...จู่ๆก็มีปลาฉลามจากที่ไหนมิทราบโผล่ขึ้นมาแล้วขบฟันลงบนหัวของเพื่อนข้า โชคดีที่ข้าไล่มันไปได้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นอาหารฉลามไปจริงๆ”


“โหดร้ายเสียจริง!” หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มร้องขึ้นด้วยความสงสาร น้ำเสียงของเธอจะทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ดีขึ้นกว่าเดิม “เพื่อนของเจ้ายังโชคดียิ่งนัก...เมื่อสัปดาห์ก่อนเจ้าฉลามร้ายนั่นก็ลากชาวบ้านแถวนี้ไปกินเสียคนหนึ่งแล้ว หากเรามิรีบกำจัดมันจะต้องมีผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่แท้”


...


ดันมีปลาฉลามมาอาละวาดแถวนี้เสียอีก อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น..


“ข้าว่าพวกเราจำเป็นต้องพาน้องชายคนนี้ไปทำแผลเสียก่อน มิฉะนั้นอาจจะเขาอาจจะเสียเลือดจนหมดตัวก็เป็นได้” ชายร่างผอมสูงอีกคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้น ผมเหลือบมองคู่หูที่เอาแต่ปิดปากเงียบ เพราะผมที่ปกปิดดวงตาทำให้ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังมีสติสมบูรณ์อยู่หรือเปล่า...บางทีเขาอาจจะกำลังเข้าใกล้ประตูยมโลกเข้าไปทุกที


“ไปบ้านข้าก่อนแล้วกัน บ้านข้าไม่ไกลจากที่นี่มากนัก” ชายคนที่แบกร่างของเพื่อนคู่หูขึ้นพาดบ่าเสนอความคิดเห็น ผมได้แต่พยักหน้าตามน้ำ ขบวนช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากมอนมอนก้าวเดินจากชายหาดไปยังบ้านเรือนที่แขวนตะเกียงไว้เป็นระยะ เพียงไม่นานก็หยุดลงที่บ้านไม้สองชั้นท่าทางแข็งแรง ที่ประตูสลักชื่อไว้ว่าทาเลส กอร์น..นั่นคงเป็นชื่อของชายร่างบึกบึนคนนั้น


ร่างของจิงส์ถูกวางลงบนเก้าอี้ไม้ในขณะที่หญิงสาวเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา เพื่อนคู่หูของผมปฏิเสธที่จะให้เธอช่วยรักษาแผลเบื้องต้นให้เนื่องจากไม่อยากอวดแผลเป็นภายใต้เรือนผมสีชา แต่โชคดีที่คมเขี้ยวของมอนมอนไม่ได้กัดโดนเส้นเลือดใหญ่ เลือดจึงหยุดไหลได้ในไม่นานนัก ชายหนุ่มร่างสูงจึงเสนอให้เขาเข้าไปอาบน้ำชำระคราบเลือดออกให้หมด แล้วค่อยกลับมาตรวจดูอีกทีว่ามีบาดแผลตรงไหนบ้าง...


“พวกน้องชายมาทำอะไรกันที่นี่ตอนดึกๆแบบนี้หรือ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเป็นคนต่างถิ่น จึงมิรู้เรื่องปลาฉลามที่อาละวาดอยู่ในแถบนี้” ผู้เป็นเจ้าของบ้านเริ่มเปิดประเด็นถามในสิ่งที่เขาสงสัย คงเป็นเรื่องแปลกไม่ใช่น้อยที่จะพบเจอชายหนุ่มสองคนบนชายหาดโดยที่คนหนึ่งบาดเจ็บหนักและอีกคนไร้ซึ่งรอยแผลแบบนี้


“พวกข้าเป็นนักเดินทางจากดินแดนเวสต์เอนด์ครับ...เดินทางมายังที่นี่เพื่อตามหาชนเผ่าเงือกที่อาศัยอยู่แถบชายฝั่งของเมืองเอสเซ่น แต่ติดปัญหาที่ว่าข้าไม่ทราบว่าเผ่าเงือกนั้นอาศัยอยู่ที่ใดกันแน่”


มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบรับ แสงไฟจากตะเกียงทำให้เห็นเรียวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นจากทั้งสามคน บางทีการกล่าวถึงนางเงือกอาจจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาดก็เป็นได้ ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตน ไม่มีใครปริปากออกมาแม้แต่คำเดียว หญิงสาวเรือนผมสีดำยาวเป็นคนแรกที่เอ่ยปากขึ้นก่อน


“เจ้าจะตามหาเผ่าเงือกไปทำไมหรือ...หากเจ้าคิดร้ายต่อพวกนั้นเห็นทีพวกข้าคงจะต้องปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเจ้า ทุกวันนี้เผ่าเงือกก็เดือดร้อนมากพอแล้ว”


ในวิชาประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่าช่วงเวลาราวกลางศตวรรษที่สิบแปดเผ่าเงือกประสบปัญหาถูกชาวประมงล่าเพื่อนำไปขายเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านของเศรษฐีในดินแดนต่าง ๆ เงือกตนใดมีลักษณะสวยงามแปลกตาจะถูกประมูลขายในราคามหาศาล และนอกเหนือจากความสวยงามแล้วน้ำตาและเกล็ดของเงือกยังมีประโยชน์ในการขจัดพิษและโรคร้ายได้อีกด้วย


“น้องสาวของเพื่อนข้า...นางถูกพิษร้ายกัดกินร่างกาย ข้าได้ยินมาว่าน้ำตาของเงือกจะสามารถช่วยรักษาอาการให้หายเป็นปรกติได้ พวกข้าจึงดั้นด้นมากจากเวสต์เอนด์มายังที่นี่...มิเช่นนั้นแล้วชีวิตของนางอาจจบลงในเร็ววันก็เป็นได้” หยดน้ำตาสั่งได้ไหลรินจากหางตาเพื่อประกอบถ้อยคำให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น มือหนาของผู้เป็นเจ้าของบ้านตบลงที่ไหล่ของผมอย่างแผ่วเบาเหมือนปลอบใจ ขณะที่หญิงสาวคนเดียวในบ้านปาดน้ำตาบนใบหน้าด้วยความสงสารในชะตากรรมที่ผมสร้างขึ้น


อย่าใช้อารมณ์ในการทำภารกิจ..เพราะฉะนั้นวิธีการไม่สำคัญ ขอให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการก็เป็นพอ


“ช่างน่าสงสารยิ่งนัก...นางคงเป็นน้องสาวของเพื่อนเจ้าที่โดนฉลามกัดหัวสินะ” ทาเลสเอ่ยถามขึ้นมา ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ แววตาคู่สีน้ำตาลของเขาจับจ้องมองยังผมด้วยความเอื้ออาทรเพิ่มขึ้นกว่าเดิม “โชคร้ายยิ่งนัก ทั้งน้องสาวที่เจ็บป่วย ทั้งตนเองที่บาดเจ็บ...จามิน ราวิน่าข้าว่าเราบอกเขาไปเถิดว่าจะตามหาเผ่าเงือกได้ที่ใด”


นัยน์ตาของชายหนุ่มชื่อจามินเหลือบมองมายังผม เหมือนกับว่าเขากำลังประเมินว่าผมพูดเรื่องจริงเท็จเพียงใด หากแต่สายตาที่ส่อประกายความมุ่งมั่นของผมคงทำให้เขาเชื่อได้ว่าผมกำลังเดือดร้อนและต้องการน้ำตาจากเผ่าเงือกจริงๆ


“หากเจ้าต้องการหาเผ่าเงือก..จงพายเรือไปที่โขดหินที่เปลี่ยนเป็นสีรุ้งเมื่อยามกระทบแสงจันทร์ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของชายฝั่งประมาณสิบกิโลเมตร อย่าใช้เรือจักรกลโดยเด็ดขาดเพราะเงือกจะหนีไปทันที หากเจ้าโชคดีอาจจะได้พบเงือกที่ขึ้นมาอาบแสงจันทร์เพื่อเพิ่มพลังเวท”


นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมถูกส่งมาในช่วงเวลานี้พอดีสินะ...ส่วนสาเหตุที่ภารกิจนี้ต้องรีบทำภายในเวลาห้าวัน คงเป็นเพราะช่วงนี้ยังมีแสงจันทร์คงเหลืออยู่ หากไร้แสงจันทร์ก็ไร้นางเงือก..


“ข้าชื่อทาเลส ส่วนนั่นเพื่อนของข้าราวิน่าและจามิน เรื่องเรือนั้นข้าจะให้เจ้ายืมเรือของข้าเอง...ว่าแต่คุยกันมาตั้งนาน เจ้าชื่อว่าอะไรหรือ” ผู้เป็นเจ้าของบ้านเอ่ยถามเป็นจังหวะเดียวกับเพื่อนคู่หูที่เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำพอดี แบบนี้เห็นทีจะไม่ได้เรื่อง..เพราะเจ้านี่ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องที่ผมกุขึ้นเลยสักนิดน่ะสิ


“ข้าชื่อว่าเรสริคซ์ครับ ส่วนเพื่อนของข้าที่น้องสาวถูกพิษนั้นชื่อว่าจิงส์ครับ” ผมขยิบตาให้กับเพื่อนคู่หูเพื่อบอกให้เขาเออออไปกับบทที่ผมสร้างขึ้น แต่อาจจะเป็นเพราะเรือนผมที่ปิดตาอยู่ก็ได้เขาจึงแสดงความซื่อบื้อออกมาให้เห็นจนได้


“น้องสาว..? ผมไม่มี อ๊ะ!” ผมรีบประชิดเข้าหาจิงส์พร้อมกับคว้ามือปิดปากเพื่อนคู่หูก่อนที่เขาจะได้โพล่งอะไรงี่เง่าออกมา ริมฝีปากผมพึมพำที่ข้างใบหูอีกฝ่ายให้พอได้ยินกันสองคนเท่านั้น “ผมบอกพวกเขาไปว่าเราตามหานางเงือกเพื่อขอน้ำตาไปรักษาน้องสาวของคุณ ถ้าอยากให้ภารกิจเสร็จสิ้นก็ช่วยกันหน่อยครับ”


“อ๋อ...น้องสาวของผมที่เป็นลูกสาวของคุณอาที่เป็นลูกของคุณย่าคนที่สามญาติห่างๆของพ่อผมหรือครับ..อาการของเธอหนักจริงๆนั่นล่ะครับ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้”


เอิ่ม..นั่นมันญาติลำดับไหนกันแน่จิงส์??


“เจ้าช่างเป็นผู้มีเมตตายิ่งนัก แม้กระทั่งญาติห่างๆเจ้ายังมีจิตใจช่วยเหลือเช่นนี้” แม้ว่าคำโกหกของจิงส์จะดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไร แต่ข้อดีของการมีผู้หญิงอยู่ในกลุ่มคือเธอจะไขว้เขวง่ายกับอะไรที่ดูอ่อนไหว เพราะฉะนั้นจะทำให้ความไม่น่าเชื่อถือในบทบาทที่ผมสร้างขึ้นลดน้อยลงไปด้วย ชายทั้งสองคนในบ้านจ้องมองจิงส์ด้วยความสงสารไม่ต่างกัน


“อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบางจิงส์ เจ้าไหวหรือเปล่า” หญิงสาวคนเดียวในห้องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง จิงส์ได้แต่พึมพำว่าอาการของเขาดีขึ้นมากแล้วและพร้อมที่จะเดินทางไปตามหานางเงือก แต่ใครบางคนกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น


“แม้ว่าเพื่อนของเจ้าจะอาการดีขึ้นแล้ว แต่เขาก็เสียเลือดเยอะพอควร ข้าว่าค่ำคืนนี้พวกเจ้าคงจะเหน็ดเหนื่อยมามาก นี่ก็ใกล้เที่ยงคืนขึ้นทุกที พวกเจ้าพักผ่อนเสียก่อนเถิด...คืนพรุ่งนี้ค่อยออกเรือไปยังโขดหินสีรุ้งคงจะดีกว่า” จามินเอ่ยแสดงความคิดเห็นซึ่งผมไม่เห็นด้วยเลยสักนิด


การยืดเวลาออกไปจะทำให้เวลาในการเกลี้ยกล่อมเผ่าเงือกลดน้อยลงไปอีก แค่เวลาเพียงห้าวันผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสามารถทำให้เผ่าเงือกไปล่มเรือของสแตนเลจได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นการเริ่มลงมือในคืนนี้คงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว


“พวกข้าร้อนใจเหลือเกินพี่ชาย หากเป็นไปได้ข้าอยากจะขอยืมเรือท่านในคืนนี้เลย กว่าเราจะสามารถขอน้ำตาจากเผ่าเงือกได้คงไม่ใช่เรื่องง่ายดาย แล้วถ้าหากว่าข้ามิพบเจอเงือกสักตนแล้วน้องสาวของจิงส์มิต้องหมดลมหายใจด้วยยาพิษร้ายก่อนหรือ”


เจ้าของร่างผอมบางซึ่งถูกอุปโลกน์ว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีพยักหน้าหงึกหงักรับคำ การที่เขามีเรือนผมยาวปกปิดใบหน้าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะทำให้ไม่มีใครสามารถจับได้ว่าดวงตาทั้งคู่ส่อแววพิรุธออกมาหรือไม่..


“ข้าเห็นด้วยกับเรสริคซ์นะจามิน ถ้าหากมัวแต่รอเวลาอาการของนางอาจจะทรุดลงนักยิ่งขึ้น ยิ่งสองคนนี้เป็นนักเดินทางมาไกลมิใช่น้อย กว่าจะได้น้ำตาเงือกและกลับไปยังบ้านอีก...ข้าว่าให้พวกเขาไปคืนนี้เลยดีกว่า”


สุดท้ายจามินก็ยอมแพ้แรงกดดันจากเพื่อนทั้งสองไม่ได้ เรือแจวขนาดเล็กของชายหนุ่มร่างบึกบึนถูกลากออกจากบ้านมุ่งตรงไปยังชายหาดที่อยู่เบื้องหน้า ตอนนี้น้ำทะเลขึ้นมามากกว่าเดิมมาก ถ้าผมและจิงส์มาถึงในเวลานี้อาจจะได้ว่ายน้ำเข้าฝั่งทั้งคู่แน่ๆ


“เมื่อเจ้ากลับมาถึงให้ตรงมาที่บ้านของข้าเลยนะเรสริคซ์ ข้าจะเตรียมที่พักไว้ให้” ผู้เป็นเจ้าของบ้านและเรือเอ่ยขึ้นด้วยความปรานีขณะที่ส่งตะเกียงให้กับผม  ตอนนี้ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมศาสตราจารย์มอร์ริสถึงได้พนันให้ผมเป็นนักแสดง..เพราะว่าผมสามารถตีบทแตกหลอกใครต่อใครได้อย่างดีเยี่ยมนั่นเอง


“โชคดีนะทั้งสอง”


เสียงร้องอวยพรจากผู้ช่วยเหลือที่แสนดีเหลือเกินดังขึ้นส่งท้าย บางทีผมก็คิดว่าคำจำกัดความของคนที่มีจิตใจเมตตากับคนที่หลอกง่ายนั้นอยู่ใกล้กันเหลือเกิน ทั้งสามคนเพิ่งพบเจอผมและคู่หูที่ชายหาดได้ไม่ถึงชั่วโมงดีก็ปล่อยให้ผมเข้าไปในบ้าน แถมยังเชื่อคำลวงหลอกของคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างง่ายดาย...ใสซื่อและบริสุทธิ์...หากเป็นในยุคสมัยของผมเรื่องเช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด เพราะมนุษย์นั้นสวมหน้ากากเข้าหากัน ความจริงใจเป็นเรื่องที่หาได้ยากเหลือเกิน


ผมค่อยๆขยับใบพายทวนกระแสคลื่นเพื่อออกสู่ทะเลทางทิศตะวันออกดั่งเช่นคำบอกเล่าของชาวบ้าน หากต้องพายเรือแบบนี้ไปถึงสิบกิโลเมตรจริงๆเข้าแล้ว อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าสามชั่วโมง เวลานั้นแสงจันทร์คงเริ่มหดหายพอดี..มันน่าจะมีวิธีอะไรที่เข้าท่ากว่านั้นสิ


“จิงส์...คุณพอจะมีเวทมนตร์ที่ช่วยขับเคลื่อนเรือให้ไปเร็วกว่านี้หรือเปล่า” ผมเอ่ยถามเพื่อนคู่หูที่นั่งอู้ไม่ช่วยพายเรือด้วยข้ออ้างที่ว่าร่างกายของเขากำลังอ่อนแอจากการเสียเลือด..และเขาพายเรือไม่เป็น


“ก็ถ้าใช้เวทลมกับเวทน้ำหนุนที่ท้ายเรือก็น่าจะทำให้เรือแล่นเองได้เร็วกว่าที่คุณพายเยอะเลยล่ะครับ”


ไม่ช่วยพายแล้วยังจะปากเสียอีก...


“ถ้าแบบนั้นก็ช่วยใช้เวทเพื่อให้เรือเราไปได้เร็วกว่านี้ได้มั้ยครับ ไม่ใช่มือไม่พายก็เอาเท้าราน้ำแบบนี้” ผมขมวดคิ้วเข้าหากันพลางจ้วงพายเรือให้เร็วยิ่งขึ้น


“มือผมไม่พายแต่ผมก็ไม่ได้เอาเท้าราน้ำนะครับคุณเรสริคซ์...ถ้าจะเอาเท้าราน้ำต้องทำแบบนี้” คู่หูแสดงความปัญญาอ่อนด้วยการทำท่าจะถอดรองเท้าออก...ถ้ามันจะทำให้เขาสงบได้ผมจะเอาไม้พายฟาดหัวเขาซะ แต่เพียงโดนสายตาห้ามปรามจากผมหยุดการกระทำนั้นลงได้ จิงส์ได้แต่พึมพำอุบอิบกับตัวเองแล้วร่ายเวทตามที่ผมสั่งอย่างจำใจทำ เรือแจวลำเล็กพุ่งทะยานทวนกระแสน้ำไปด้วยความรวดเร็วพอๆกับสปีดโบ๊ท


“หม่าม๊า~ เค้าออกไปได้หรือยังอ่ะต่าย~~” บริเวณหน้าอกรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่พร้อมกับเสียงหวานออดอ้อน...ผมเกือบลืมไปเสียสนิทเลยนะนี่ว่าเรายังมีสมาชิกเป็นตัวประหลาดสีชมพูที่มุดเสื้อผมอยู่อีกหนึ่ง มอนมอนเริ่มดิ้นไปมาอย่างอยู่ไม่สุข


“นอนอยู่ในนั้นไปก่อนนะมอนมอน ถ้าเป็นเด็กดีผมจะหาอะไรให้กินเต็มที่เลยแล้วกัน” ผมลูบหน้าอกที่นูนออกมาเพราะเจ้าตัวประหลาดนอนเกาะอยู่ เสียงร้องงึมงำดังออกมาจากภายในเสื้อไม่มีหยุด “เค้าได้กลิ่นทะเลล่ะต่าย~ หม่าม๊าต้องหาปลาฉลามให้เค้ากินนะต่าย แล้วเค้าจะเป็นเด็กดีเลยต่าย~”


...


ตัวบ้าอะไรร้องขอปลาฉลามกินเป็นอาหาร! แต่ถ้ามันสามารถอ้าปากกว้างพอที่จะขบหัวจิงส์ได้ มันก็คงกินปลาฉลามทั้งตัวได้จริงๆล่ะมั้ง...


อา...ทำไมผมรู้สึกเหมือนว่าจะมีลางต้องเสียค่าอาหารจำนวนมหาศาลในอนาคตอันใกล้เคียงนี้นะ..


“คุณเรสริคซ์ใจร้าย...ปล่อยให้มอนมอนออกมาไม่ได้หรือครับ” จิงส์ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด ช่างไม่ได้คิดเอาเสียเลยว่าเจ้าตัวประหลาดอันตรายนี่เพิ่งงับหัวตนเองไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง แถมสีสันแสบทรวงของมันยังสะดุดตาสุดๆ ต่อให้เป็นเวลากลางคืนก็เถอะนะ...เงือกเห็นอาจจะว่ายน้ำหนีก็เป็นได้


หรือแย่กว่านั้นถ้ามันเกิดขอกินเงือกสักตัวสองตัวขึ้นมาล่ะ..ภารกิจนี้จบไม่สวยแน่ๆ


ผืนน้ำยามค่ำคืนระยิบระยับทุกคราที่แสงพระจันทร์ยามสาดส่อง เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงโขดหินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า...สีรุ้งที่ทอประกายบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้เราเข้ามาถึงจุดที่เผ่าเงือกจะปรากฏตัว ผมส่งสัญญาณให้จิงส์ลดพลังเวทที่ใช้ในการขับเคลื่อนเรือแจวพร้อมกับดับไฟที่ตะเกียง เสียงใสดุจดังหญิงสาวแรกรุ่นกระซิบท่วงทำนองแผ่วเบาตามสายลม


“โอ้จันทราเจ้าเอ๋ย..


เหตุใดท่านจึงอยู่แสนไกล


โอ้จันทราเจ้าเอ๋ย..


เหตุใดท่านจึงส่องประกาย


โอ้จันทราเจ้าเอ๋ย..


เหตุใดมนุษย์จึงโหดร้ายทารุณ..


โอ้จันทราเจ้าเอ๋ย..


โปรดการุนปวงข้าด้วยเทอญ..”



หญิงสาวผิวกระจ่างใสยามต้องแสงจันทร์นั่งอยู่โขดหินที่ส่องแสงประหลาด ใบหน้าของเธองดงามเยี่ยงเช่นดรุณีแรกแย้ม เส้นผมสีทองเป็นประกายยาวลงมาถึงบั้นเอวปิดบังหน้าอกทั้งคู่ที่ปราศจากเสื้อชั้นใน เสียงเพลงหยุดชะงักทันทีที่ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจับจ้องมายังผมและเพื่อนคู่หูด้วยความตื่นตระหนก ริมฝีปากนั้นเม้มเข้าหากันแน่น เธอเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปทุกประการ ยกเว้นบริเวณที่ต่ำกว่าสะโพกเป็นต้นไปเป็นหางปลาน้ำเงินประกายม่วงแทนที่ขาของมนุษย์


หากเปรียบความสวยงามเจิดจ้าของแมสซีนเป็นดวงอาทิตย์ยามกลางวันที่ส่องแสงสว่างร้อนแรง เงือกสาวเบื้องหน้าคงงดงามดุจดวงจันทร์ที่ฉายแสงเย็นตาในยามค่ำคืน..


“มนุษย์!”


ริมฝีปากบางแผดร้องเสียงดัง ตามด้วยเสียงเหมือนของบางอย่างตกลงสู่ผิวน้ำดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า กลุ่มหางที่โบกสะบัดเหนือผิวน้ำที่จากไปอย่างรวดเร็วบ่งบอกผมว่าเงือกหลายตนได้หนีหายไปแล้ว ผมรีบกระโจนลงเรือแล้วคว้ารอบข้อมือบางเอาไว้ก่อนที่เธอจะกระโจนลงน้ำหนีไปอีกตน


“จิงส์! มาช่วยกันหน่อยสิ” ผมตะโกนร้องเรียกเพื่อนคู่หูที่ยังนั่งอยู่บนเรือ ไร้เสียงตอบรับจากเขา...แม้จะไม่เห็นว่าภายใต้เรือนผมสีชาจะตื่นตะลึงเพียงใด แต่ริมฝีปากบางที่อ้ากว้างนั้นบ่งบอกได้ดีว่าเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมอบความช่วยเหลือให้ผมได้


“ปล่อยข้านะ! ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้!!”


ปล่อยไปภารกิจก็ล้มเหลวนะสิ..


“ใจเย็นๆฟังข้าก่อน ข้ามีเรื่องที่จะต้องเจรจากับท่าน” ผมพยายามร้องบอกเงือกสาวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นตกใจ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ฟังเสียงของผมเอาเสียเลย


ร่างครึ่งคนครึ่งปลากระโจนลงสู่ผิวน้ำทั้งที่มือของผมยังรั้งข้อมือของเธอเอาไว้อยู่ เมื่อลงสู่ผิวน้ำผมก็รู้ได้ทันทีว่าผมเสียท่าให้กับยัยเงือกผมทองเข้าให้แล้ว ปลายหางสีน้ำเงินตวัดฟาดเข้าที่ใบหน้า ผมขยับหลบโดยไม่ยอมแม้แต่จะปล่อยมือเธอออกไป เสียงของเงือกสาวร้องขึ้นใต้ผิวน้ำเหมือนเสียดายโอกาส เธอเหวี่ยงมือทุบเข้าที่สันคอผมพร้อมกับกระแทกหางเข้ากลางลำตัว


หน้าตาก็น่ารักแต่กะเล่นเอาตายเลยเรอะ!!??


ผมพยายามว่ายน้ำลากเงือกโหดกลับเข้าหาโขดหินสีรุ้ง หางสีเข้มทั้งเหวี่ยงทั้งสะบัดหวังจะหลุดจากการเกาะกุมของผมไปให้ได้ ถ้านับการพยายามตบผมด้วยหางปลาแล้วก็เกือบสิบครั้งได้ แต่เงือกสาวยังไม่หยุดที่จะพยายามโจมตี กว่าจะที่ลากเธอขึ้นจากน้ำได้ก็ใช้เวลาไปนานพอควร


“ข้าไม่ได้มาร้าย..ตอนนี้ท่านพอจะฟังข้าได้หรือยัง” ผมนั่งชันเข่าบนโขดหินพลางจ้องมองเงือกสาวที่สงบลงบ้างแล้ว ส่วนเพื่อนคู่หูของผมแม้จะปิดปากลงไม่อ้าปากค้างเหมือนเดิม แต่ยังคงนั่งอยู่บนเรือแจวด้วยอาการมึนงง...บางทีเขาอาจจะเสียเลือดมากเกินไปก็เป็นได้


“ท่าน...เหตุใดท่านจึงสามารถรับทั้งสิบกระบวนท่ามัจฉาโบกสะบัดของข้าได้..?” นางเงือกถามพร้อมกับริมฝีปากที่สั่นระริก ดวงตาคู่สีฟ้าจ้องมองมาทางผมด้วยความงุนงง


ว่าแต่ไอ้การฟาดหางใส่ชาวบ้านนั่นเขาเรียกว่าเป็นกระบวนท่าด้วยหรือไง..แถมยังมีชื่อเรียกเสียด้วยแน่ะ


“เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นหรอก...ตอนนี้ข้ามีเรื่องจะขอร้องให้ท่านช่วย” ผมสบตากับนัยน์ตาคู่นั้น เธอเบือนหน้าหลบพร้อมกับแก้มขาวที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ


“ไม่ว่าเรื่องอันใดแอนนาผู้นี้ก็ยินดีช่วยท่าน เพราะตอนนี้ท่านคือคู่หมั้นของข้า...เราจะต้องเข้าพิธีแต่งงานกันในอนาคตอย่างแน่แท้...”


หา!! คู่หมั้น?? แต่งงาน?? ยัยเงือกนี่สมองกลับไปแล้วใช่มั้ยครับนี่!!!


...โปรดติดตามตอนต่อไป...

@คุณGTW ขอบคุณมากเลยค่ะที่ช่วยตรวจดูคำผิดให้
ส่วนเรื่องสมัครผิดโครงการซิ่นโดนพ่อบ่นหูชาเลยล่ะค่ะ
เพราะว่าพ่อต้องขับรถจากลำปางมารับซิ่นที่อยู่พิษณุโลกเพื่อจะไปกรุงเทพ
ปรากฏว่ากลายเป็นแบบนี้ไปเสียอย่างนั้น...



สวัสดีปีมังกรอีกครั้งนะคะ
กลับมาอัพตอนที่ห้าแล้วค่ะหลังจากหายไปหลายวันอยู่เหมือนกัน
พยายามเขียนเรื่องนี้ให้จบภายในวันที่สิบห้ามกราตามที่บก.เขากำหนดให้คนที่ได้หนึ่งส่งต้นฉบับค่ะ
ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทันหรือเปล่า เหลืออีกตั้งหลายตอนแน่ะ T T
พยายามต่อไปค่ะ

ขอบคุณทุกท่านนะคะที่เข้ามาอ่าน ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขไม่เจ็บไม่จนค่ะ

จากคุณ : resin_part_14
เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 18:21:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com