สาปรักอังกอร์ (ภาคต่อจาก มินทราลัยหัวใจแห่งนาง) บทนำ : ถ้อยความลับ
|
 |
ขอพูดคุยก่อนนะคะ ห่างหายจากงานเขียนในถนนไปนานมาก ด้วยงานประจำและสุขภาพในปีที่ผ่านมาไม่อำนวยเท่าไหร่ ยังไงก็ฝากเรื่องนี้เอาไว้ให้อ่านกันด้วยนะคะ
สาปรักอังกอร์เป็นภาคต่อจากเรื่องมินทราลัย ทั้งสองตอน คือหนึ่งคำมั่น กับสัญญาใจกำไลนาคราช เรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักที่จบลงแบบไม่สุขสม มาภาคนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องมาลองตามอ่านกันค่ะ และเนื่องจากไม่ถนัดแนวปัจจุบันเลย ขอออกตัวอย่างแรงว่าถ้าสำนวนแปร่งๆแกว่งๆก็ช่วยบอกกันด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
................................................
บทนำ : ถ้อยความลับ
เสียงบริกรรมคาถาประสมควันธูปแลกำยานที่ลอยสูงคละคลุ้งภายในเทวสถานร้าง ดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางความเงียบสงัดในคืนเพ็ญบัณรสี เบื้องหน้าสรีงามงดที่แต่งกายละม้ายราชนิกูลสูงส่งกำลังครองสมาธินิ่ง ริมฝีปากอวบอิ่มขยับพร่ำสวดกฤตยามนต์อย่างต่อเนื่อง หมายปลดปล่อยดวงวิญญาณเจ้าของกำไลทองนาคราชที่ถูกสะกดเอาไว้ มิให้กลับมาพบเจอกับใครบางคนได้อีก
“ในเมื่อข้าหามีความสุขไม่ ก็อย่าหมายจักมีผู้ใดได้สุขสมเฉกเช่นกัน ข้าขอสาปแช่งเจ้า…บุษบามินตราอย่าได้พบเจอเจ้าพี่มหิยเตศวรอีกทุกภพทุกชาติไป โอม...กาลากิณิย นมัสกา ด้วยความแค้นแลความเกลียดชัง จงบันดาลให้บังเกิดตามคำขอด้วยเถิด”
สิ้นสุรเสียงของเจ้านางแสนอัปสร พลันเมฆาทะมึนเคลื่อนมาบดบังศศิธรบนเวหาจนหมดสิ้น วายุรำเพยพัดกรรโชกแรง ราวจักขานรับมนต์ดำอวิชา โบกพัดชวาลาดวงน้อยที่ตามเอาไว้วูบดับลงชั่วอึดใจ ก่อนจักสว่างดุจเดิม
ภายในห้องบรรทมของพระเจ้ามหิยเตศวร ร่างใหญ่องอาจนอนนิ่งทอดสายตายาวไกลรอดบานหน้าต่างออกไปอย่างไร้จุดหมาย แววตาคมกล้าระริกไหวยามหวนรำลึกใครบางคนที่ยังอยู่ในพระทัยตลอดมา ผิว่าเพลาจักผันผ่านมาหลายสิบขวบปี ความถวิลหาอาลัยที่มีให้สรีที่รักยิ่ง หาลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่น้อย
“เอกมินตรา นางกระถินของพี่ อีกไม่นานเราคงจักได้พบกัน”
สุรเสียงแหบโหยพึมพำในพระศอ แม้จักเพียงแผ่วเบาทว่ามีฤาคนที่ถวายการรับใช้ใกล้ชิดมานานหลายสิบขวบปีจักมิล่วงรู้ พักตร์งามคมขำของเจ้านางแสนอัปสรที่เคยพิลาสล้ำ แม้จักร่วงโรยไปตามกาลเพลาแต่ยังงามสง่าสมวัยมิเสื่อมคลาย ผินมามองคนบนพระที่นิ่ง แววเนตรคมฉายความไม่พอพระทัยอย่างแจ้งชัด แต่กลับมิได้ดำรัสสิ่งใดออกมา มีเพียงประกายตาที่วาบขึ้นอย่างมีความในใจ
“ทรงเป็นเยี่ยงใดบ้าง ท่านพราหมณ์หลวง”
“กราบทูลพระอัครมเหสี เพลานี้พระทัยของกรุงพนมอ่อนแอ กอปรกับพระวรกายที่ตรากตรำกรำศึกอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้พละกำลังเสื่อมถอย ข้าพระองค์ได้ปรุงโอสถบำรุงถวายเรียบร้อยแล้ว หากมิมีโรคาใดแทรกซ้อน พระอาการจักทุเลาขึ้นในไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเยี่ยงนั้นรึ เจ้าพี่โปรดถนอมพระวรกายด้วย มินทราลัยล่มแล้วมิอาจสร้างให้ลุล่วงลงได้ ทรงตัดพระทัยเสียเถิดเพคะ ไหนๆคนก็ตายไปนานแล้ว”
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้แสนอัปสร ไม่ว่าจะต้องทำเยี่ยงใด ข้าก็จักสร้างมินทราลัยให้สำเร็จจงได้ ในเมื่อข้าตั้งใจแลได้ให้สัตย์สัญญาเอาไว้แล้ว จักมิมีสิ่งใดมาเปลี่ยนใจข้าได้อีก ไป...พวกเจ้าจงเร่งไปทำตามที่ข้าสั่ง ที่เหลือออกไปให้หมด ออกไป”
สุรเสียงเกรี้ยวกราดแผดบัญชาลั่น ทันทีที่สดับถ้อยคำพาดพิงถึงสรีที่ทรงรักยิ่ง พาให้ผู้ที่หมอบก้มเฝ้าอยู่ต่างคร้ามไปตามกัน
มาตรว่าจักประชวรหนัก ทว่าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระชายาเอกมินตราแลมินทราลัยแล้ว มิมีสักคราที่จักเพิกเฉยไม่ใฝ่ใจ ส่งผลให้พระอัครมเหสีที่เพลานี้ธำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการอดที่จักน้อยพระทัยมิได้ หนำซ้ำยังถูกขับออกมาราวกับว่าชิงชังนักหนา ยิ่งคิดยิ่งพาให้ความแค้นคุโชนอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าออกไปก่อน หากมิมีการใดจงอย่าได้เสนอหน้าเข้ามาเป็นอันขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
สิ้นถ้อยรับสั่งของสรีสูงศักดิ์ที่กุมอำนาจในพระนครอังกอร์ใหญ่ไว้ทั้งหมด เหล่าบาทมูลิกากรแลนางกำนัลจึงพากันทยอยออกไปจนหมด เหลือเพียงคนป่วยหนักกับสรีสูงศักดิ์แต่เพียงลำพัง ครั้นสิ้นเสียงบานพระทวารหับลง สุรเสียงตรัสเรียบของผู้สำเร็จราชการพลันเอ่ยขึ้นทันที
“ถึงเพลานี้เจ้าพี่ยังมิอาจลืมได้ มิใช่เพราะทรงหมกมุ่นกับการสร้างมินทราลัยดอกฤา พระวรกายจึงได้เสื่อมถอยลงเยี่ยงนี้ แม้มันจักตายไปแล้ว พระองค์ก็ยังคงรักมัน แล้วคนที่ยังมีลมหายใจอยู่เล่า ไยมิทรงแลเห็นบ้าง”
ถ้อยดำรัสเบื้องต้นนั้นแม้นจักราบเรียบ ทว่าท้ายประโยคกลับเต็มไปด้วยความคับข้องเคืองแค้น ทั้งที่คนพูดพยายามจักข่มน้ำเสียงเอาไว้แล้วก็ตาม แต่หาเกลื่อนกลบความขึ้งขุ่นเอาไว้ได้สืบไป พาให้คนฟังดาลใจยิ่งถึงกับถลันลุกพรวดขึ้นนั่ง
“เจ้าคิดว่าข้าใจร้ายเยี่ยงนั้นสิ ทั้งที่เจ้ารู้แก่ใจดีว่าทำสิ่งใดเอาไว้บ้าง ไยคิดปัดความชั่วให้ผู้อื่นแลเลือกเอาแต่ดีใส่ตัวเยี่ยงนั้นเล่า”
“ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ ฤาว่ามีผู้ใดมาเพ็ดทูลให้เข้าพระทัยผิด หม่อมฉันจักสั่งกุดหัวมันบัดเดี๋ยวนี้”
“คิดฤาว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปจักงำความเอาไว้ได้หมด มาตรว่าข้าจักเอาผิดกับเจ้ามิได้ แต่ใช่ว่าจักไม่มีมูล”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่างน่าขันยิ่งนัก ที่ทรงปรักปรำหม่อมฉันได้ถึงเพียงนี้ ไหนเล่าเพคะหลักฐาน ไยมิเร่งสำแดงออกมา แค่เพียงลมปาก คิดฤาว่าจักทำอะไรหม่อมฉันได้”
“นี่เจ้ากล้าท้าทายข้ารึ อุบ...นางแพศยาเยี่ยงเจ้าหาคู่ควรเป็นศักติของข้าไม่”
“ฮึ ใช่สิ จักมีสรีใดครองพระทัยเจ้าพี่ได้เท่านางกาลากิณีเอกมินตราเล่า ทั้งที่ล่วงรู้อยู่แก่พระทัยดีว่า มันหาได้พิสุทธิ์ไม่ พระองค์ก็ยังทรงรักมันไม่เสื่อมคลาย แต่กลับหม่อมฉัน มิเคยแม้แต่ชายหางตามอง เบื้องแรกคิดว่าหากหมดธารวารีไปสักคน จักทรงหันมาเห็นความสำคัญของหม่อมฉันบ้าง ที่ไหนได้ยังมีนังเอกมินตราแทรกเข้ามาเป็นเสี้ยนหัวใจเข้าอีก”
“นี่หมายความว่าเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายของธารวารีกระนั้นฤา เจ้ากล้ากระทำสิ่งชั่วร้ายถึงเพียงนี้เทียวรึ”
“กว่าจักทรงแจ้งแก่พระทัย ทุกสิ่งอย่างก็ล้วนสายเกินกาลเสียแล้วเพคะ นอกจากเรื่องของเจ้านางธารวารีแล้ว หม่อมฉันเองที่เป็นคนเสี้ยมสองเจ้านางจามปานคราแลใส่ไคร้พวกมันจนถูกลงอาญาอุกฉกรรจ์ ทั้งยังเป็นผู้วางแผนให้พระเจ้าวิทยเทพลอบเข้ามาพบนางแพศยาอีกด้วย ยังมีเรื่องราวอีกมากกว่ามากนัก ที่ทรงมิเคยล่วงรู้แลคาดคิดมาก่อน หึ หึ ตั้งใจฟังให้ดีเพคะเจ้าพี่มหิยเตศวร หม่อมฉันจักเล่าถวายบัดเดี๋ยวนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ดำรัสพลางโน้มองค์ลงมากระซิบถ้อยความลับสำคัญข้างพระกรรณของกรุงพนมแห่งอังกอร์ใหญ่ ชั่วอึดใจสีหน้าของคนป่วยหนักที่ซีดขาวอยู่แล้วยิ่งเผือดมากขึ้น มือใหญ่สั่นระริกกำชับเข้าหากันแน่นด้วยเพลิงโทสะบันดาล หัวใจระรัวเต้นราวกับจักทะลุออกมาด้วยความเดือดดาลจนแทบกระอักพระโลหิต ส่งผลให้ลมภายในตีกลับจนจุกแน่นในทรวงอกแทบจักสิ้นสมปะดี
ทว่าก่อนที่จักทรงสิ้นพระสติลงไป ยังทันได้เห็นรอยแย้มยกมุมปากของสรีตรงหน้าที่แสยะยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจ หากเป็นเพลาปกติ พระองค์คงจักเข้าไปกระชากตัวมาเค้นเอาข้อเท็จจริงให้จงได้ แต่เพลานี้แม้แต่เรี่ยวแรงที่จักทรงตัวเอาไว้ยังแทบมิมี จึงได้ทอดสายตาขุ่นเขียวจ้องจับแทน ก่อนจักหมดสติสิ้นสัมปชัญญะลงไป
ขณะที่คนถูกจ้องหาได้พรั่นเกรงไม่กลับประสานสายตากลับไปอย่างเย็นชายิ่ง แววตากร้าวดุดันแลใจที่อัดแน่นไปด้วยเพลิงริษยามิรู้จบสิ้นของพระอัครมเหสีแสนอัปสรที่ยืนมองร่างของคนหมดสติอยู่ชั่วอึดใจ ดูอำมหิตยิ่งนัก ก่อนจักสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาคนป่วยหนัก ยังผลให้องค์มหาวีระมหิยเตศวรสิ้นพระชนม์ชีพลงในที่สุด
ทว่าการตายของพระสวามีก็หาสาสมพระทัยของผู้ที่มีเพลิงแค้นสุมอกไม่ ในเมื่อชาติภพนี้ไม่มีความสุข ผู้ใดก็จักมีความสุขไปกว่าไม่ได้ ไม่ว่าจักภพนี้ฤาภพไหน พระองค์ตั้งสัตย์ปฏิญาณเอาไว้มั่นว่าจักติดตามไปจองล้างกันจนถึงที่สุด ดำริพลางยกสองมือประนมแทบอก ร่ายบทสวดอวิชาที่แก่กล้าเรียกอมนุษย์ขึ้นมาจากขุมนรกในทันใด
“โอม...กาลิณียะ มหาอวิชา จงปลดปล่อยดวงวิญญาณของสมิงร้ายราเชนทร์ด้วยเทอญ”
สิ้นเสียงสวดเรียก กลุ่มควันขาวลอยสูงคละคลุงปกคลุมไปทั่วบริเวณ ก่อนจักลอยวนเป็นวงกลมมารวมตัวกันอยู่เบื้องหน้าพระอัครมเหสีกลายเป็นร่างของสมิงเฒ่าราเชนทร์ข้าผู้ภักดี นำมาซึ่งความปิติแก่ผู้เป็นนายยิ่งนัก
“พระแม่เมือง มีสิ่งใดให้ข้าพระองค์รัใช้ ทรงบัญชามาเถิด”
“ข้าปลุกเจ้าขึ้นมาเพื่อช่วยข้าจัดการกับคนที่ขัดขวางข้า นับแต่นี้สืบไปเจ้าและข้าจักเป็นอมตะร่วมกัน ฮ่าๆๆ จงไปจัดการผู้ที่กระด้างกระเดื่องแข็งข้อให้หมด บัดเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ร่างใหญ่ของอมนุษย์ในรูปคนขานรับคำสั่งด้วยความเต็มใจยิ่ง เพลานี้นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่เข้มข้นลึกซึ้งแล้ว ในฐานะข้าชีวิตยิ่งทำให้สมิงร้ายทวีความจงรักภักดีสรีสูงศักดิ์ตรงหน้าเป็นพันเท่าทวี และมิมีสิ่งใดจักมาทำร้ายทำลายความจงรักมั่นที่มันมีให้ได้อีกสืบไป
มาตรว่าการเสด็จจากไปของพระผู้ครองนครจักเป็นที่กังขาอยู่มาก ทว่าหามีผู้ใดหาญกล้าตั้งข้อครหาคลางแคลงในตัวผู้สำเร็จราชการอย่างแจ้งชัดไม่ ได้แต่พากันปิดปากนิ่งด้วยเกรงกลัวพระราชอาญาของผู้ที่มีบารมีมากล้น แลอำนาจมืดอวิชาที่เล่าขานล่ำลือกันมานานว่า ทรงแก่กล้าในมนต์ดำถึงขั้นเป็นอมตะมิมีวันตาย ได้แต่ปล่อยให้ข้อเท็จจริงทั้งหลายเลือนหายไปตามกาลเพลา ดุจเดียวกับถ้อยความลับของใครบางคนที่กราบทูลถวายพระผู้เป็นใหญ่ก่อนสิ้นใจ
นับแต่เพลานั้นมาอนุชนรุ่นหลังจึงแจ้งแก่ใจแต่เพียงว่า องค์มหาวีระมหิยเตศวรสิ้นพระชนม์ลงด้วยพระโรคาที่บังเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน หามีผู้ใดล่วงรู้แลไขปริศนาถ้อยความลับนั้นได้ จวบจนกาลต่อมาเมื่อมีผู้ขุดพบจารึกสำคัญที่เก็บซุกซ่อนไว้โดยบังเอิญ
ปล.เนื่องจากเขียนไปโพสไป จะขอลงสัปดาห์ละครั้ง อย่างเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะ
แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 22:11:27
จากคุณ |
:
Setakan
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ม.ค. 55 21:41:13
|
|
|
|