มิ่งแก้วจอมหทัย ตอนพิเศษของขุนพลธาตุลม ตอนที่ ๓ (จบ):
|
 |
ตอนพิเศษของขุนพลธาตุลม วายุ ตอนที่ ๓ (จบ) :
วรกายสูงประทับหยัดพระองค์ตรงเหนือสุวรรณหงส์ราชบัลลังก์ พักตร์งามดุจสตรีมิได้แย้มพระโอษฐ์แต่ก็มิได้บึ้งตึง แววพระเนตรที่เคยเป็นประกายซุกซนแกมเจ้าเล่ห์ที่หลายคนคุ้นชินนั้น บัดนี้กลับนิ่งสงบดุจน้ำในสระลึก ลักษณะท่วงท่าองอาจสมเป็นหน่อเชื้อกษัตริย์ปรากฏชัดเจน หัสดินทร์ เมฆา ปาษาณ แลสันธิลาที่ยืนอยู่สองฟากของราชบัลลังก์มองผู้เป็นนายเหนือเกล้าด้วยความชื่นชมแลจงรัก ก่อนนี้ทั้งสี่ยังวิตกอยู่ว่าเจ้าชายวายุจักทรงวางพระองค์ได้ดีสักเพียงใด เพราะเป็นที่รู้กันว่าทรงนิ่งอยู่ไม่ได้นาน กอปรกับภาพของขุนพลวายุที่ขี้เล่นแลทะลึ่งทะเล้นไปวันๆ ยังจารจำหลักอยู่ในใจของข้าราชบริพารอยู่ มาบัดนี้ภูเขาใหญ่ได้ยกออกจากอกของคนทั้งสี่โดยสิ้นเชิง คราบของขุนพลวายุไม่มีเหลืออีกแล้ว ตรงหน้าของพวกเขาเพลานี้คือเจ้าหลวงวายุ พระผู้ผ่านเกล้าชาวธาตวากรทุกผู้
จวบจนพระราชพิธีทั้งปวงเสร็จสิ้นลง แลเสด็จคืนสู่พระตำหนักหิมวันต์ สองขุนพลธาตุที่บัดนี้กลายเป็นราชองครักษ์เต็มรูปโดยเสด็จด้วย ทันทีที่เจ้าหลวงวายุทรงก้าวเข้ามาในห้องบรรทม ก็ทรงยืนกางพระพาหาอยู่กลางห้อง พลางร้องเรียกสองพระสหาย
“ช่วยข้าเปลื้องเครื่องทรงพวกนี้ที หนักจะแย่อยู่แล้ว”
สันธิลากับปาษาณมองหน้ากันแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย อนิจจา วายุก็ยังคงเป็นวายุคนเดิมอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจักอยู่ในฐานะของขุนพลธาตุหรือเจ้าหลวง ก็ไม่ได้ทรงเปลี่ยนไปเลยสักนิด เสียแรงที่หลงดีใจไปเมื่อครู่ก่อน สันธิลาตบไหล่สหายอย่างปลอบใจพลางเอ่ยเสียงเบา
“เถอะ อย่างน้อยทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีนี่นะ”
ขุนพลธาตุดินพยักหน้ารับ จริงอย่างที่สหายว่า อย่างน้อยที่สุดก็ทรงวางพระองค์ได้ไม่มีที่ติ เพลานี้ก็เป็นเพลาส่วนพระองค์ ปล่อยให้ทรงทำตามพระทัยบ้างก็น่าจักดีกว่า อย่าคาดหวังเลยว่าจักทรงเป็นเยี่ยงพระเชษฐาทั้งสองพระองค์
“โฮ้ย! เสร็จเสียที ข้าจักได้หลับให้สบาย สองสามทิวามานี่ข้าแทบไม่ได้นอนเลย”
วรกายสูงก็พุ่งปราดไปที่พระแท่นบรรจถรณ์แล้วทิ้งองค์ลงบรรทมแผ่หลาทันทีที่สันธิลากับปาษาณช่วยกันเปลื้องเครื่องทรงทั้งหนาทั้งหนักที่ใช้ในพระราชพิธีเถลิงอาสน์ออก เจ้าหลวงวายุทรงซุกพักตร์เข้ากับพระเขนยนุ่มแทบว่าจักบรรทมหลับในทันที ถ้าไม่สดับใครคนหนึ่งทูลขึ้นมาเสียก่อน
“ตามพระทัยเถิด กระหม่อม อย่างไรค่ำนี้ก็ต้องเสด็จออกพระราชทานเลี้ยง เอาแรงเสียหน่อยก็ดี”
“ฮะ! ต้องออกมหาสมาคมอีกหรือ” เจ้าหลวงหมาดๆ ทรงลุกพรวดขึ้นประทับขัดสมาธิพักตร์มุ่ย “ให้ท่านหัสดินทร์หรือท่านเมฆาเป็นตัวแทนข้าไม่ได้รึ”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้ กระหม่อม” สันธิลาทูล “ใช่มีเพียงแต่คนของเราที่ร่วมงาน หากยังมีอาคันตุกะต่างเมืองอีกมากมาย เพลานี้ทรงเป็นเจ้าหลวงแล้ว จักทรงทำตามพระทัยไม่ได้”
“โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ดี แปลกจริง คราวเจ้าหลวงศิขรินยังไม่เห็นมีนี่นา”
“นั่นเป็นเพราะพระประสงค์ของเจ้าหลวงศิขรินเองที่ไม่ทรงต้องการให้เอิกเกริก แต่ครานี้ไม่ใช่ ถ้าไม่เสด็จออก แขกเมืองจักคิดเยี่ยงไร กระหม่อม”
“นับวันข้ายิ่งทำตามใจตัวเองได้น้อยลงทุกที หากข้ารู้ก่อนว่าจักมีพระพินัยกรรมนี้ ข้าคงชิงเอาไปเผาก่อนจักมีผู้ใดรู้แน่เทียว”
“ทำได้น้อย ใช่หมายความว่าจักทำไม่ได้นี่ กระหม่อม”
“ข้ารู้ เฮ้อ! ช่างเถิด บ่นไปก็เท่านั้น เพลียทั้งตัวทั้งใจเต็มที ข้าขอนอนเอาแรงก่อนดีกว่า อย่าให้ผู้ใดมากวนข้าจนกว่าจักได้เพลาก็แล้วกัน”
สองขุนพลธาตุรับพระบัญชาโดยดุษณี วรกายสูงจึงเอนองค์บรรทมตุบอีกคำรบ เพียงครู่เดียวก็ทรงกรนเบาๆ ปาษาณได้ยินแล้วก็หัวเราะอย่างขบขันแกมเอ็นดูกับสันธิลาที่ช่วยกันเก็บเครื่องทรงอยู่ใกล้ๆ สันธิลายิ้มนิดๆ ก่อนพยักหน้าให้อีกฝ่ายคลี่ภูษาคลุมผทมออกห่มให้ ไม่นานนักสองสหายก็เลี่ยงออกไปจากห้องบรรทม ปล่อยให้ผู้เป็นนายได้ทรงพักผ่อนอย่างเต็มที่
บ่ายคล้อย เจ้าหลวงวายุทรงรู้สึกพระองค์ขึ้น ครั้นจักข่มเนตรบรรทมต่อก็บรรทมไม่หลับ ที่สุดจึงทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปจากห้อง ครั้นทอดพระเนตรสองราชองครักษ์ยังคงสั่งงานโน่นนี่อยู่ไม่ขาด ก็ลอบถอนพระทัยอย่างเหนื่อยหน่าย หากทั้งสองรู้ว่าทรงตื่นบรรทมแล้ว ก็คงจักเข้ามาทูลแนะโน่นนี่อีกเป็นแน่ ซึ่งเพลานี้ไม่ทรงมีแก่พระทัยจักทำสิ่งใดทั้งสิ้น กอปรกับนับแต่ทรงคืนสู่ฐานันดรศักดิ์เดิม อิสระก็มิได้เข้ามาหาพระองค์ง่ายๆ อีก จึงทรงฉวยโอกาสนี้เลี่ยงหลบออกไปทางด้านหลังพระตำหนักแทน หมายพระทัยจักเสด็จลงอุทยานเพื่อให้ทรงสดชื่นขึ้นบ้าง
ศาลาประทับร้อนริมสระใหญ่นั้นมีคนผู้หนึ่งนั่งเล่นอยู่ก่อนแล้ว เจ้าหลวงวายุทรงชะงักพระบาท พระทัยเต้นแรงเมื่อทรงคิดว่าคนผู้นั้นอาจเป็นแม่เหล้าหวานของพระองค์ นับแต่มัทยากลับเมืองวิญญูไป ไม่มีสักทิวาเดียวที่จักไม่ทรงคิดถึงนาง ยามใดที่ทรงว่างจากข้อราชการทั้งปวง ก็มักจักทรงหยิบกล่องไม้หอมกล่องเล็กที่ทรงบรรจุปอยผมของนาง แลเก็บไว้แนบชิดหทัยขึ้นมาทอดพระเนตรเพื่อให้คลายความคิดถึง แม้นนางในศาลาประทับร้อนนั้นคือมัทยา ก็จักทรงขอชื่นเชยนางให้สมกับที่ทรงรักแลรอคอย ทว่าเมื่อสืบพระบาทเข้าไปใกล้ก็ต้องทรงสะดุ้ง ด้วยนางนั้นหันหน้ามาทางพระองค์พอดีราวจักรู้ตน เจ้าหลวงพระองค์ใหม่ถึงกับฉีกแย้มพระโอษฐ์กว้างเมื่อทอดพระเนตรหน้านางนั้นถนัด วรกายสูงวิ่งปราดเข้าไปทรุดองค์ลงประทับคุกพระชานุกับพื้นพลางยอกรขึ้นไหว้ด้วยความดีพระทัยสุดแสน
“พระชายา ข้าบาทไม่คิดว่าจักได้พบพระชายาที่นี่อีก”
“อนุชาของเจ้าหลวงศิขรินเสด็จครองราชย์ทั้งที ข้าจักไม่มาอย่างไรได้ ลุกขึ้นเถิด เพลานี้ศักดิ์ของท่านเสมอด้วยข้าแล้ว ไม่สิ อาจเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำไป” เจ้าหลวงกาสะลองรับสั่งยิ้มๆ เนตรสีนิลทอดแววรักสนิทดุจเคย
“ข้าบาทขอเป็นวายุคนเดิมของพระชายาดีกว่า กระหม่อม”
รับสั่งพลางลุกขึ้นมาทรงยืนพิงเสาของศาลาด้านหนึ่ง ไม่ทรงยอมประทับร่วมตั่งเดียวกัน เจ้าหลวงกาสะลองก็มิได้ทรงคะยั้นคะยอ กลับรับสั่งกลั้วสรวลน้อยๆ
“ได้อย่างใดกัน”
“หากไม่ทรงโปรด เช่นนั้นก็ให้ข้าบาทเป็นน้องชายของพระชายาเถิด กระหม่อม”
“ฟังพูดเข้า ท่านจักเป็นน้องชายข้าได้อย่างใด ในเมื่อท่านชันษามากกว่าข้า”
“ข้าบาทยินดีแลเต็มใจ กระหม่อม เพลานี้ข้าบาทตัวคนเดียวไร้ญาติพี่น้อง จักเหลือก็แต่เพียงพระชายาองค์เดียวเท่านั้น อย่างน้อยก็ทรงเป็นพระชายาในเชษฐาของข้าบาท กระนี้แล้วจักเรียกขานเป็นอื่นได้อย่างไร”
“แล้วมีน้องสามีคนใดที่แทนตนเองว่าข้าบาท แล้วเรียกพี่สะใภ้ว่าพระชายามิขาดปากเยี่ยงนี้” เจ้าหลวงกาสะลองรับสั่งย้อนด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์ละไมดุจเคย เจ้าหลวงวายุทรงรู้องค์ว่าพลาดไปก็สรวล
“ข้าบาท เอ้อ น้องยอมแล้ว เฮ้อ น้องไม่เคยเถียงชนะพระพี่นางได้สักที”
“อีกหน่อยก็จักมีคนให้เจ้าเถียงสู้ไม่ได้เพิ่มขึ้นอีก”
รับสั่งล้อไปเยี่ยงนั้นเอง ทั้งที่ไม่ทรงทราบความเรื่องของมัทยาสักน้อย แต่เจ้าหลวงวายุพอสดับก็สรวลเก้อๆ อีกคำรบอย่างคนมีชนักปักหลัง ก่อนทรงเสเปลี่ยนเรื่องสนทนาเสีย ไม่ทรงยอมเล่าเรื่องของมัทยาให้อีกฝ่ายทรงทราบ ตราบใดที่มัทยายังมิได้ตกลงปลงใจจักร่วมหอ ตราบนั้นก็จักไม่ยอมปริพระโอษฐ์บอกความนัยโดยเด็ดขาด
“แล้วนี่พระพี่นางประทับอยู่ที่ตำหนักวินธัยหรือเปล่า หลายทิวาที่ผ่านมานี่ น้องมัวแต่วุ่นวายอยู่ด้วยการพระราชพิธี ธุระทางต้อนรับแขกเมืองน้องยกให้ท่านเมฆากับปาษาณช่วยดูแลแทน”
“สองคนนั้นจัดตำหนักวินธัยให้ แต่พี่ขอให้เปลี่ยนเป็นตำหนักรับรองเช่นเดียวกับแขกเมืองคนอื่น อย่าลืมวายุ นับแต่ทิวาที่พี่จากธาตวากรไป พี่ก็ไม่มีสิทธิจักครอบครองตำหนักวินธัยอีก ตำหนักนั้นพึงเป็นของพระมหาเทวีเจ้าหรือพระชายาของเจ้าหลวงพระองค์ใหม่มากกว่า”
จอมคนธาตวากรทรงจับกระแสหม่นเศร้าในพระสุรเสียงของพระเชษฐนีได้ก็ทรงนิ่งอั้น แลโทษองค์เองว่าไม่ควรจักทรงรื้อฟื้นความเก่าให้พระทัยของอีกฝ่ายให้หมองหม่นเลย
“พระพี่นาง น้องขอประทานอภัย”
“เถิด ไม่เป็นไร จริงสิ พี่ลืมไป รู้หรือไม่วายุ ว่าพิธีเมื่อตอนเช้า น้องวางตัวสมเป็นเจ้าหลวงยิ่งนัก”
“ที่ไหนได้ น้องเกร็งเสียแทบแย่ พอขึ้นนั่งบัลลังก์ได้ น้องก็ไม่มองหน้าผู้ใดทั้งสิ้นด้วยตกประหม่านัก หากน้องเห็นพระพี่นางแล้ว น้องแน่ใจนักว่าคงถลันลงมากราบบาทแทบไม่ทันเป็นแน่”
“วายุ เป็นนายเหนือหัวเขาแล้วหนา อย่าเที่ยวเล่นพูดจาหยอกล้อใครต่อใครไปทั่วอีก ตำแหน่งเจ้าหลวงมิใช่ของที่ได้มาง่ายๆ แลมิใช่ของที่จักวางลงได้ง่ายๆ เฉกกัน”
กษัตริย์หนุ่มสืบบาทเข้ามาประทับคุกพระชานุลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเชษฐนีอีกคำรบ เนตรสีอ่อนสบประสานด้วยเนตรสีนิลนิ่ง ถ้อยรับสั่งหนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าคราใด
“น้องรู้ ถึงน้องจักไม่เต็มใจรับสักเท่าใด แต่ในเมื่อเจ้าพี่ทรงเห็นควรให้น้องรับภาระแผ่นดินเยี่ยงนี้ น้องก็จักทำให้ดีที่สุด น้องขอถวายสัจจากับพระพี่นางว่าจักทำนุบำรุงบ้านเมืองจนสุดกำลังที่น้องมี แลจักสานไมตรีด้วยราชอาณาจักรเวียงภูแก้วในทุกด้าน ขอพระพี่นางทรงวางพระทัย”
“พี่เชื่อ งานเลี้ยงค่ำนี้เราอาจไม่มีโอกาสได้สนทนากันเยี่ยงนี้อีก พบกันครานี้ก็ดีแล้ว พี่ขอใช้เพลานี้ถวายพระพรเถิดหนา”
เจ้าหลวงกาสะลองทรงประคองพระกนิษฐภรรดาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจักทรงเป็นฝ่ายย่อพระองค์ลงถวายความเคารพสูงสุดตามประเพณีของธาตวากร แล้วถวายพระพรด้วยสุรเสียงแจ่มใสกังวานด้วยอำนาจ
“ในพระนามของเจ้าหลวงศิขริน ขอถวายพระพรให้เจ้าหลวงวายุทรงพระเจริญ พระบารมีเกริกไกรไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน ใต้ร่มพระบารมีของเจ้าหลวงวายุ ธาตวากรจักรุ่งเรืองวัฒนา สิ่งใดที่ทรงปองจักสำเร็จสมดังพระทัยปรารถนา”
“พระพี่นาง”
เจ้าหลวงวายุอัสสุชลรื้น แวบหนึ่งที่ทอดพระเนตรเงารางๆ ของเจ้าหลวงศิขรินซ้อนทาบอยู่กับร่างของพระเชษฐภคินี วรกายสูงสง่าทรงยืนทอดรอยแย้มพระโอษฐ์ปรานีประทานมาให้อนุชาองค์เดียว ครั้นกะพริบเนตร ภาพเงานั้นก็มลายวับหายเหลือเพียงสิริร่างโสภิต จอมคนธาตวากรทรงทราบในบัดดลนั้นเองว่า พระเชษฐามิได้จากไกล หากทรงหลอมพระวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับพระชายานั่นเอง
“จวนได้เพลาแล้ว ไปเตรียมตัวเถิดน้องชายพี่ วันพรุ่งพี่จักคืนเวียงสบสองแล้ว ขอทูลลาเสียเพลานี้เลยหนา”
“ไยจึงเร่งนิวัตินัก”
“ความทรงจำของพี่กับที่นี่มีมากเกินไป พี่หวังว่าน้องคงเข้าใจ อันที่จริงพี่มานั่งเล่นอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนเที่ยง เกือบจักกลับตำหนักแล้วด้วยซ้ำไป ก็พอดีน้องมาถึงเสียก่อน เจ้าหลวงศิขรินคงอยากให้เราได้พบกันกระมัง แลคงอยากให้พี่เป็นตัวแทนพระองค์ด้วย”
เจ้าหลวงวายุไม่ทันจักรับสั่งความใด เสียงร้องเรียกของปาษาณก็ดังเข้ามาก่อนตัว เจ้าหลวงกาสะลองสดับแล้วก็รับสั่งกลั้วสรวล
“ท่านปาษาณมาแล้ว พี่เห็นจักต้องขอตัว แอบหนีมานานแล้ว ขืนยังไม่กลับไปพี่เอื้องคำคงมาตามแน่แท้”
ครั้นรับสั่งจบก็หมุนพระองค์เสด็จกลับออกไปจากศาลาประทับร้อน ทว่าก่อนที่จักได้เสด็จไปไกลกว่านี้ สุรเสียงทุ้มนุ่มก็ทรงเรียกรั้งเอาไว้
“พระพี่นาง สัญญาได้หรือไม่กระหม่อม ว่าจักเสด็จธาตวากรอีกคำรบ”
“แม้นน้องชายพี่ต้องการ พี่จักมา”
รับสั่งด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์อ่อนโยนดุจเคย แล้วหมุนพระองค์เสด็จออกไป ไม่ทันถึงอีดใจ ปาษาณก็วิ่งมาถึงพอดี ขุนพลธาตุดินมองพระอาการของเจ้าหลวงวายุก็มองตามสายพระเนตรไป ครั้นเห็นเบื้องปฤษฎางค์นายสาวที่ห่างออกไปก็เข้าใจ แต่เพราะเพลาที่กระชั้นเข้ามาทำให้เขาต้องรีบทูลให้ผู้เป็นนายเร่งคืนพระตำหนักโดยเร็ว เจ้าหลวงวายุทรงพยักพระพักตร์รับ ทอดพระเนตรเจ้าหลวงกาสะลองอีกครู่หนึ่งก็ละสายพระเนตรเสด็จตามปาษาณกลับออกไปอีกทางหนึ่ง ดุจธารแห่งสองอาณาจักรไหลมารวมกันได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ก่อนจักแยกทางเป็นสองสายสู่วิถีของตน เพื่อที่จักไหลคืนมาบรรจบ ณ กาลใดกาลหนึ่งเบื้องหน้า แล้วแยกห่างจากกันอีก วนเวียนไปเช่นนี้ตราบชั่วกาล
*** มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ม.ค. 55 13:24:39
|
|
|
|