Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ด้านมืดของพระจันทร์ ติดต่อทีมงาน

ผมอยู่ในห้องเพียงลำพัง ภายในห้องมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์จางๆจากภายนอกลัดเลาะคืบคลานผ่านช่องหน้าต่าง เล็ดลอดตามรอยแยกของผ้าม่านเข้ามา

ผมมองไปที่พระจันทร์เบื้องบน ….คืนนี้พระจันทร์มีเพียงเสี้ยว

ทว่าแท้จริงแล้ว จันทร์คงไม่เป็นเสี้ยวอย่างที่เห็น หากแต่ด้านที่มืดของมันคงจะกลมกลืนไปกับราตรีทะมึนดำจนแยกไม่ออก

ด้านมืดของพระจันทร์…… ด้านที่หลายคนไม่รู้ว่ามันมีอยู่ บางคนรู้แต่ก็อาจจะหลงลืมไป เนื่องจากสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็คือจันทร์ที่ส่องแสงสว่างไสว ประดับฟากฟ้ายามราตรี

……ผมเผลอยิ้มให้กับตัวเอง

จะว่าไปแล้ว ......ผมเองก็คงไม่ต่างจากด้านมืดของพระจันทร์

….……

< แทน >

ผมเก็บอุปกรณ์วาดรูปและขาตั้งไปไว้ที่มุมประจำในห้องเก็บของที่ถูกเว้นไว้ให้สำหรับมันโดยเฉพาะ

คุณโยฮันเดินผ่านมาพอดี แกทักผมว่า “ เอ้า ไปแล้วเหรอแทน ทำไมคืนนี้กลับไวจัง ”

“ อ๋อ คืนนี้ผมมีธุระนิดหน่อยน่ะครับ ”

“ เอ้อๆ ไม่เป็นไร ….ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาต่อให้เสร็จ” แกตบบ่าผม แล้วก็ยิ้มให้อย่างใจดีเหมือนเคย แม้หน้าแกจะเต็มไปด้วยหนวดเคราเและผมเผ้ารุงรัง ขาดการดูแล อีกทั้งผิวที่ดำเมื่ยม และนัยน์ตาดุดันแบบคนพื้นเมืองแท้ๆ ใครเล่าจะรู้ว่าภายใต้หน้าตาอันดูโหดเหี้ยมของแกนั้นกลับซ่อนความเมตตาปราณีราวกับเทวดาเดินดินยังไงยังงั้น



ผมโชคดีมากที่ได้มาเจอคนอย่างคุณโยฮัน แกเป็นผู้มีพระคุณมากที่สุดคนหนึ่งของผมรองจากพ่อและแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชีวิตต่างแดนของผม แกทำให้โลกอันอ้างว้างโดดเดี่ยวของผมมีสีสรรค์ขึ้นมา แกมาเจอผมครั้งแรกตอนที่ผมมานั่งรับจ้างวาดรูป portrait ขายอยู่ที่ไนท์บาซาร์ในคืนหนึ่ง ไม่รู้ว่าด้วยความสงสารหรือชื่นชอบฝีมือผม แกเลยชักชวนให้มาเรียนเขียนรูปอย่างเป็นกิจจลักษณะที่บ้านของแก โดยมีแกนี่แหละเป็นทั้งครูสอน และพี่เลี้ยงให้ ผมจะมาเขียนรูปที่บ้านแกทุกคืน มาตั้งแต่สามทุ่ม และเขียนจนถึงเที่ยงคืน บางทีก็ตีหนึ่งตีสองจึงค่อยกลับบ้าน โดยค่าสีค่ากระดาษอะไรต่างๆแกออกให้หมด ผมแค่มาแต่ตัวเปล่า พอผมจะให้แกก็ไม่ยอมรับ เอาแต่บอกผมว่า ไว้ผมฝีมือดีเขียนรูปขายได้เมื่อไหร่ ค่อยเอาให้แก

คุณโยฮันมักชมผมอยู่บ่อยๆว่าเป็นเด็กมีพรสวรรค์ เรียนกับแกได้ไม่นาน แกก็บอกให้ผมเขียนรูปขายได้แล้ว โดยก็มีแกอีกนั่นแหละเป็นคนหาลูกค้าให้ ส่วนเงินที่ได้มา ผมบอกแกว่าผมขอแค่ 20%พอ ที่เหลือให้แกทั้งหมด แต่แกก็ไม่ยอม อ้างว่าไม่อยากเอาเปรียบเด็ก …กว่าจะตกลงกันได้ ก็ต้องยอมกันที่ผม 70 แก 30 นั่นแหละ



ผมเดินออกมาจากบ้านคุณโยฮันประมาณสี่ทุ่มนิดๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา เลื่อนไปยังเบอร์ “จอร์ช” ที่อยู่ในลิสท์แล้วกดโทรออก

“ ฮัลโหล ไอ้จอร์ชเหรอวะ ”

“ เออ นั่นใคร ” เสียงห้าวๆของมันตอบกลับมา ด้วยสำเนียงแบบอเมริกัน

“ กรูชื่อแทน เป็นพี่ชายไอ้ท็อป ” ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงชวนหาเรื่อง “ วันนี้มรึงรังแกน้องกรูใช่มั้ยวะ ”

“ เออ กรูเล่นมันเอง มีไรมะ ก็แมร่งเล่นบอลห่วยเองนี่หว่า พาทีมกรูแพ้…. ”

“ กรูไม่สน… ” ผมพูดตัดบท “ กรูรู้แต่ว่า กรูมีทางเลือกให้มรึงสองทาง หนึ่ง พรุ่งนี้มรึงไปขอโทษน้องกรูซะ สอง มรึงมาเจอกับกรู ตัว ตัว ” ผมพูดเน้นสองพยางค์หลัง

“ เฮ้ยยยย… ” น้ำเสียงมันเจือเสียงหัวเราะเล็กๆ “ มรึงจะมาท้าต่อยกับกรูเหรอวะ อย่าดีกว่าว่ะ กรูไม่อยากรังแกคน… ”

“ แต่มรึงรังแกน้องกรู !! ” ผมตวาด

“ โด่…ก็แมร่งอ่อนเองนี่หว่.. ”

“ กรูบอกว่า กรูไม่สน …..ถ้ามรึงไม่อยากมีเรื่อง มรึงก็ไปขอโทษน้องกรูซะ ” ผมยื่นคำขาด “ ถ้ามรึงไม่เลือกซักอย่าง แสดงว่ามรึงแมร่งตุ๊ด โถ่ ไอ้:-)!! ”

“ เฮ้ยๆ มรึงเอาแต่ด่ากรูงี้ กรูก็ขึ้นเหมือนกันนะเว้ย ..ไอ้เอเซี่ยน D_CK HEAD !! ” ท่าทางมันจะโกรธจริง ผมจับได้จากน้ำเสียง

“ มรึงว่ามาจะเอาที่ไหน ” …ในที่สุด ผมก็ยั่วยุมันสำเร็จ

“ สนามบาสข้างหอมรึงอะ ตอนนี้กรูนั่งรอมรึงอยู่เนี่ย ”





ผมรอไม่นานไอ้ท็อปปรากฏขึ้นที่สนามตรงหน้า ตัวมันสูงใหญ่ล่ำสันอย่างพวกเด็กแร็ปอเมริกัน อีกยังมีทั้งสร้อยคอยาวรุงรังและเครื่องแต่งกายอันบ่งบอกเอกลักษณ์ของความเป็น ‘ฮิปฮอป’ อย่างพวกมัน

แต่ผมไม่กลัวมันหรอกนะ ไอ้พวกเนี้ยะ แม้ว่ารูปร่างผมจะเล็กกว่ามันก็ตาม

“ไง …อย่างมรึงเนี่ยนะ จะมาท้าต่อยกับกรู ” มันถามด้วยสีหน้ายียวน

ผมไม่พูดอะไร ทำหน้าเฉยๆ แล้วกระดิกนิ้วเบาๆ เป็นเชิงท้าทาย ซึ่งก็ได้ผลเกินคาด มันพุ่งเข้าหาผมอย่างรวดเร็ว แต่ผมก็เบี่ยงตัวหลบได้ทันท่วงที

แล้วการต่อสู้ในสังเวียนข้างถนน ก็ดำเนินไปซักระยะ ….เหมือนอย่างพวกเด็กอันธพาลทั่วไป ไอ้หมอนี่แมร่งก็เล่นใช้แต่แรงเข้าตะลุมบอนอย่างเดียว ผมก็เลยไม่ต้องทำอะไรมาก แค่หลบไปหลบมาให้มันเหนื่อย แย็บตอบไปบ้างครั้งคราว แล้วค่อยตบท้ายด้วยเข่าเน้นๆที่ใต้คาง …. แค่นี้มันก็ลงไปหมอบเป็นหมาบาดเจ็บอยู่ที่ปลายเท้าผมแล้ว

“ ไงวะ ทีนี้มรึงจะไปขอโทษน้องกรูได้ยัง ”

ผมปิดท้ายด้วยการใช้เท้าเหยียบไปบนยอดอกมัน แล้วกดน้ำหนักครึ่งหนึ่งลงไป จนมันร้องโอดโอย

“ เออๆ กรูขอโทษ กรูยอมแพ้แล้ว …..กรูจะไปขอโทษน้องมรึงพรุ่งนี้ ” มันละล่ำละลักออกมา

ผมชักเท้ากลับ แล้วก้มลงไปกระชากคอเสื้อมันขึ้นมามองหน้าผม

“ มรึงพูดแล้วนะ …รักษาคำพูดด้วย ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “… ก่อนมรึงจะโดนหนักกว่านี้”

แล้วผมก็กระแทกมันลงกับพื้นก่อนจะเดินจากมา แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงหันไปบอกมัน

“ อ้อ แล้วอีกอย่างนะ ….อย่าบอกว่ากรูเป็นคนสั่งมาล่ะ ”

……

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ทำการ “คิดบัญชี” กับพวกที่มารังแกน้องผม โดยผมจะเริ่มจากการโทรไปขู่ก่อน ซึ่งบางคน(พวกหงอๆหน่อย)ก็จะยอมไปขอโทษโดยดี แต่พวกที่ยังหัวรั้นอยู่ ผมก็จะท้ามันออกมาสู้แบบนี้ ….ผมไม่คิดหรอกว่ามันเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุไปหน่อยรึเปล่า …ผมไม่รู้ ผมก็แค่อยากแสดงให้มันเห็นว่าไอ้การรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า…ไม่สิ ‘การถูกรังแก’ จากผู้ที่เหนือกว่าเนี่ยมันเป็นยังไง



ท็อป น้องชายผมมันเป็นคนเงียบๆ ชอบเก็บตัว ไม่ค่อยพูดจาสุงสิงกับใคร มันเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง จึงชอบทำตัวหลุกหลิกๆ อีกทั้งด้วยความพิการเล็กๆของมันที่แขนขวา กับการลักษณะการพูดที่ค่อนข้างจะติดอ่างของมัน จึงมักเป็นสาเหตุให้ถูกรังแกเอาบ่อยๆ ตั้งแต่พูดจาล้อเลียน ไปจนถึงไถตังค์ ……….ซึ่งไม่ว่าใครจะรังแกไอ้ท็อปยังไง ผมก็ไม่เว้นมันทั้งนั้นน่ะ

…...

ผมเดินฮัมเพลงกลับบ้านด้วยอารมณ์ดี หลังจากที่สะสางภารกิจแก้แค้นให้น้องชายได้สำเร็จ คืนนี้คงจะเป็นคืนที่ผมนอนหลับสบายอีกคืนนึง

…………………

< ท็อป >

แสงอาทิตย์อ่อนๆส่องลอดปุยเมฆลงมาทักทายผืนโลกยามเช้า ขับไล่ความหนาวเหน็บยามค่ำคืนอันจับตัวเป็นเกร็ดน้ำแข็งตามใบไม้และยอดหญ้าให้ถอยร่นหลีกหนีไป ทั้งยังอาบไล้ให้โต๊ะไม้ ‘ตัวโปรด’ ที่เขาชอบนั่งให้อุ่นขึ้นเฉกเช่นทุกๆเช้า

…จะว่าไปแล้วเช้านี้ ก็คงจะเหมือนๆวันอื่นๆทั่วไป หากแต่ว่า….

“ เฮ้ยย ไอ้ท็อป ” เขาได้ยินเสียงกระซิบดังมาจากข้างหลังจึงหันไปดูแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะเจ้าของเสียงนั้นคือ จอร์ช โจทย์เก่าผู้ฝากรอยช้ำเอาไว้ที่มุมปากของเขา เมื่อวานนี้เอง

“ ไม่ต้องตกใจเว้ย เราไม่ได้มาทำอะไรแก ” จอร์ชเดินตรงมาหาเขา ท่าทางดูเลิ่กลั่กผิดวิสัย ……ไม่รู้ว่าเขาตาฝาดไปรึเปล่าที่เห็นรอยม่วงๆที่ขอบตาขวาของจอร์ช

“ มะมะ มีอะไรเหรอ? ” ท็อปรวบรวมความกล้าถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ เอ่อ คือว่า ” จอร์ชก้มหน้าหลบตา

“ เราขอโทษนะ เรื่องเมื่อวาน ”

…มันพูดแค่นั้น แล้วก็รีบเดินจากไป ทิ้งให้ท็อปนั่งงงอยู่ตรงนั้นซักพัก

‘ อีกแล้วเหรอเนี่ย??? ’



อันที่จริงการที่เขาได้ยินคำขอโทษจากคนที่รังแกเขานี่มันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่แล้ว แต่ไอ้ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือว่า….นี่มันเป็นครั้งที่สี่แล้วในรอบสามเดือนนี้ …..และคนที่มาขอโทษเขาในครั้งนี้ คือ ไอ้จอร์ช หัวโจกตัวแสบประจำคลาส ที่อย่าว่าแต่จะมาขอโทษใครเลย แค่มาพูดด้วยธรรมดาๆแบบไม่กวนประสาทนี่ก็ถือว่ายากแล้ว



………..วันนั้นทั้งวัน เขาจึงแทบไม่มีสมาธิในการเรียนเลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบนะที่ได้ยินคำขอโทษจากปากจอร์ช เปล่าเลย เขาดีใจมากในเรื่องนั้น แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนที่ชอบรังแกเขาพวกนี้ ถึงได้มายอมขอโทษขอโพยเขาอย่างง่ายดาย …มันแปลกๆยังไงอยู่นะ

เลิกเรียนตอนเย็น ระหว่างเขาเดินกลับบ้าน เขาก็คิดเรื่องนี้ไปด้วยตลอดทาง คิดไปคิดมา เขาก็เผลอคิดไปถึงสมัยเด็กๆ ที่เขาถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแก และแทบจะทุกครั้ง พี่ชายของเขาก็จะเข้ามาช่วยและจัดการให้เด็กพวกนั้นมาขอโทษเขาเสมอ สำหรับเขาแล้ว “พี่แทน” พี่ชายของเขานั้นเป็นเสมือนฮีโร่ที่คอยปกป้องเขามาโดยตลอด ..ก็จนกระทั่งเมื่อเขามาเรียนเมืองนอกนี่แหละ ถึงได้แยกจากกัน

..แล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมอง

‘…เอ๊ะ หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของพี่แทนนะ’

….แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกน่า ก็พี่แทนยังเรียนอยู่ที่เมืองไทยนี่นา มีแต่เขาที่ถูกส่งมาเรียนที่นี่ตามลำพัง

ท็อปเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาตลอดทางจนถึงบ้านลุงเปี๊ยก เห็นลุงแกกำลังตัดหญ้าหน้าบ้านอยู่พอดี เขาเลยยกมือไหว้

ลุงแกก็รับไหว้พร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม



ลุงเปี๊ยกจริงๆแล้วไม่ใช่ลุงแท้ๆของท็อปหรอก แต่เป็นเพื่อนสนิทของพ่อเปี๊ยก แกย้ายมาทำงานที่นี่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน และมีภรรยาเป็นคนที่นี่ ชื่อว่าป้าลิซ่า แกเป็นคนรักเด็กแต่ไม่มีลูกเป็นของตัวเอง เลยทำบ้านให้เป็นโฮมสเตย์ ตอนพ่อจะส่งท็อปให้มาอยู่กับลุงนั้นแกดูจะดีใจมาก จัดงานต้อนรับท็อปกับพ่อที่มาส่งเป็นอย่างดิบดี แกยังจำท็อปได้แม้ว่าจะเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนแกกลับไปเที่ยวเมืองไทย ตอนนั้นท็อปกับแทนยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย

ตอนพ่อพาท็อปมาฝากไว้กับลุงเปี๊ยกใหม่ๆ พ่อต้องมาอยู่เป็นเพื่อนท็อปอยู่สองสามวัน จัดการหาที่อยู่และติดต่อโรงเรียนให้เสร็จสรรพโดยมีลุงเปี๊ยกคอยเป็นผู้ช่วยให้ เนื่องจากแกมาอยู่ที่นี่นานแล้ว รู้จักที่ทาง รู้จักคนเยอะ ตอนแรกลุงเปี๊ยกแกจะให้ท็อปมานอนข้างๆห้องแก ซึ่งปกติเป็นห้องเก็บของโดยแกจะจัดให้ใหม่ แต่พ่อบอกว่าไม่เป็นไร อยากให้ท็อปรู้จักช่วยเหลือตัวเองเป็น เลยให้ไปนอนที่ส่วนหลังบ้านที่แยกออกมาจากตัวบ้าน ซึ่งปกติจะเอาไว้ให้เด็กที่มาอยู่โฮมสเตย์เช่า (จริงๆก็เป็นบ้านเดียวกันนั่นแหละ แต่ลุงแกก่อกำแพงกั้น และทำประตูทางเข้าด้านหลังให้ ) แต่เวลาอาหารก็มากินรวมกันกับแกและภรรยาที่บ้านส่วนหน้า พ่อยังกำชับกับลุงเปี๊ยกอีกว่า ให้พยายามใช้ภาษาอังกฤษพูดกับท็อป อย่าพูดไทยบ่อย ท็อปจะได้พูดอังกฤษเป็นไวๆ

….

ลุงเปี๊ยกเรียกให้ท็อปเข้าบ้าน บอกว่าอาหารเย็นวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นซุปมิเนสทรอนี่กับขนมปังกระเทียม

ฝีมือทำซุปของป้าลิซ่า ยังคงอร่อยกลมกล่อมเหมือนเดิม จนท็อปต้องขอเติมอีกรอบ

หลังจากกินกันอิ่มแล้ว ต่างคนต่างก็ช่วยกันเก็บจานไปล้าง วันนี้ท็อปอาสาล้างให้ ส่วนลุงเปี๊ยกแกก็ช่วยยืนล้างอยู่ข้างๆ เพราะแกรู้ว่าแขนขวาของท็อปไม่ค่อยมีแรง ระหว่างกำลังช่วยกันล้าง ท็อปก็ได้โอกาสเล่าเรื่องวันนี้ให้ลุงเปี๊ยกฟัง

“ อื้มม แปลกดีแฮะ ” ลุงแกพึมพำหลังจากฟังท็อปเล่าจบ

“ ล..ลุงว่าจะเป็นไปได้มั้ยว่า พ…พี่แทนเป็นคนทำ ” ท็อปถามขึ้นขณะเก็บจานไปผึ่งไว้ที่ข้างๆซิ้งค์

ลุงเปี๊ยกมองหน้าท็อปด้วยความประหลาดใจ แล้วพูดขึ้นว่า

“ เฮ้ยย มันจะเป็นไปได้ไงเจ้าท็อป ก็แทนมันอยู่เมืองไทยไม่ใช่เหรอ ”

“..ก็นั่นน่ะสิ ผ.. ผมถึงได้ป..แปลกใจไง” ท็อปว่า “…อ..ไอ้การทำ..บ แบบนี้มันเหมือนกับที่…พ..พี่แทนชอบทำเลย”

“ โอ๊ยยย เป็นไปไม่ได้หรอกท็อป ” ลุงเปี๊ยกว่า “ แทนเค้าจะมาที่นี่ทำไมล่ะ เค้าก็ยังเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ …..อีกอย่างนะ ถ้าเค้ามาที่นี่จริงๆ เค้าก็ต้องบอกลุงกับท็อปก่อนสิ ว่ามั้ย? ”

ท็อปพยักหน้าเห็นด้วยกับลุง

" เอ้า ไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้วล่ะแทน " ลุงเปี๊ยกว่าพลางคว่ำจานใบสุดท้าย ลงบนตะแกรงพลาสติค " อ้อ อย่าลืมกินยาหลังอาหารล่ะ "

ท็อปทำตามอย่างว่าง่าย เสร็จแล้วก็กลับห้องไปอาบน้ำ ทำการบ้าน และเข้านอน

............................

วันต่อมา ท็อปดูเหมือนจะไม่สบาย เขามีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด แขนขาไม่มีแรง (โดยเฉพาะแขนขวาที่แทบจะขยับไม่ได้เลย) แต่กลับไม่มีไข้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องหยุดเรียนหนึ่งวันเพื่อนอนพักผ่อน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ท็อปมีอาการแบบนี้บ่อย ถ้าเป็นไม่มากนักลุงก็จะช่วยพาไปส่งที่โรงเรียน แต่ถ้าเป็นเยอะหน่อยลุงก็จะบอกให้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน ซึ่งพอวันต่อมา อาการของท็อปก็จะดีขึ้นเอง .. ลุงเปี๊ยกว่าน่าจะเกิดจากร่างกายของเขาอาจจะยังไม่ค่อยถูกกับสภาพอากาศที่นี่

…….

< แทน >

ผมรู้มาว่าช่วงนี้น้องชายผมไม่ค่อยสบาย ผมเองก็อยากจะไปอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนคอยดูแลน้อง แต่สถานะอย่างผมในตอนนี้คงทำไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง ผมจะให้ใครรู้ว่าผมแอบมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ แม้กระทั่งน้องผมเองก็ตาม

ผมออกจากบ้านตอนสี่ทุ่มกว่าๆ แล้วเดินตรงไปยังบ้านคุณโยฮัน อาศัยแสงไฟข้างถนนสองข้างทาง และแสงสว่างเรื่อเรืองของพระจันทร์เต็มดวง ถนนยามค่ำคืนของเมืองแห่งนี้ช่างเงียบสงัดนัก มันเงียบซะจนผมได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง อย่าว่าแต่รถวิ่งเลยครับ นานๆครั้งผมถึงจะเจอคนเดินสวนมาซักคน บางทีมันก็รู้สึกเหมือนกับว่า ผมเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในเมืองอันเดียวดายแห่งนี้….

แต่ผมก็ชอบนะ บ่อยครั้งที่ผมได้แรงบันดาลในการวาดภาพมาจาก ‘ความเงียบเหงาเดียวดาย’ เช่นนี้แหละ

ผมใช้เวลาเดินไม่นานก็ถึงบ้านคุณโยฮัน แล้วเดินเข้าไปเอาอุปกรณ์วาดภาพในห้องเก็บของ ไปตั้งไว้ที่ห้องวาดภาพ เห็นคุณโยฮันกำลังลงสีรูปใหม่ของแกอยู่ เลยกล่าวทักทายตามประสา ..ซึ่งแกก็ยิ้มแล้วโบกมือให้

ตั้งแต่ผมมาวาดรูปกับคุณโยฮัน นี่ก็ปาเข้าไปสองเดือนกว่าเข้าไปแล้ว แต่แกไม่เคยซักถามถึงเรื่องส่วนตัวผมเลยซักครั้ง เว้นแต่ผมจะเล่าให้แกฟังเอง อาจจะเป็นเพราะ ….ความเชื่อของแกที่ว่า ชีวิตคือปัจจุบัน หรือ ความเป็นศิลปินในตัวแก ที่คุ้นชินกับการเว้นระยะไว้ให้แต่งเติมจินตนาการ ก็ตามแต่ …..อย่างน้อยๆผมก็ได้เรียนรู้จากแกอย่างหนึ่งว่า บางทีมิตรภาพและความสัมพันธ์นั้น อาจไม่ต้องเกิดจาก ‘ความใกล้ชิด’ กันมากก็ได้

ผมเอาขาตั้งวาดรูปไปตั้งไว้ที่มุมประจำ จัดเตรียมอุปกรณ์ให้เรียบร้อย แล้วก็ขออณุญาตคุณโยฮันใช้คอมเพื่อเช็คเมล (ปกติคุณโยฮัน เค้าจะเปิดคอมทิ้งไว้ เอาไว้คุยเอ็มกับเพื่อนบ้าง หรือ เอาไว้เปิดหา ’แรงบันดาลใจ’บ้าง) ความจริงแกมักจะบอกผมบ่อยๆว่าไม่ต้องขอหรอก อยากจะใช้ก็ใช้เลย (เพราะยังไงผมก็จะต้องขอแกเช็คเมลเป็นประจำทุกวันอยุ่แล้ว) แต่ผมก็ยังติดนิสัยขี้เกรงใจแบบไทยๆอยู่ เลยอดไม่ได้

เมลผมก็ไม่ค่อยจะมีใครส่งอะไรมาหรอกครับ นอกจากน้องชายผม ที่เค้าจะเขียนมาเล่าเรื่องราวชีวิตประจำของแกให้ผมฟัง ที่เค้าไม่ค่อยสบายผมก็รู้มาจากอ่านเมลเนี่ยแหละ วันนี้น้องชายผมเค้าเขียนมาแปลกๆ เหมือนจะสงสัยว่าผมมาอยู่ที่นี่รึเปล่า ผมก็งงว่าเค้ารู้ได้ยังไง ก็ได้แต่ตอบปฏิเสธไปว่ายังเรียนอยู่ที่เมืองไทย จะมาได้ยังไงเล่า แล้วก็เลยเบี่ยงประเด็นเปลี่ยนเรื่องคุยไป

เสร็จแล้วผมก็มาเริ่มเขียนรูป คืนนี้ผมเขียนเพลินมากครับ เขียนซะจนลืมเวลาไปเลย พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที เห็นนาฬิกาบอกเวลาตั้งเกือบจะตีสี่เข้าไปแล้ว เลยรีบเก็บอุปกรณ์เข้าที่ แล้วลาคุณโยฮันกลับบ้าน



……….

< ท็อป >

อาการของท็อปดูท่าจะไม่ค่อยดีขึ้นซักเท่าไหร่ พอเริ่มจะดีขึ้นจนไปเรียนได้วันนึง วันถัดมาก็ทรุดลงไปอีก วันนี้ก็ท็อปก็เลยต้องหยุดเรียนอีกวันเพื่อพักผ่อน ลุงเปี๊ยกบอกให้ป้าลิซ่าทำซุปเตรียมเอาไว้ให้ก่อนจะออกไปทำงานกัน แกว่าถ้าพรุ่งนี้ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นอีก แกจะขอลางานแล้วพาท็อปไปหาหมอ

10 โมงกว่าๆ ท็อปเริ่มจะมีแรงพอจะลุกขึ้นมาได้ เขาเลยไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วไปอุ่นซุปมากินชามหนึ่ง ก่อนจะไปใช้คอมของลุงเปี๊ยกเช็คเมล เขาเข้าไปอ่านเมลของแทน พี่ชายฝาแฝดของเขา แล้วก็เกิดคิดถึงแทนขึ้นมา นี่ก็จากกันมาได้สามสี่เดือนแล้ว ไม่ได้เจอหน้ากันเลย ได้แต่คุยผ่านเมล …..ว่าแล้วเขาก็เลยเอา ทัมบ์ไดรฟ์ที่เขาเก็บอัลบั้มรูปที่ถ่ายด้วยกันมาเสียบเข้ากับคอมแล้วเปิดดู

ท็อปกับแทนเป็นคนชอบ(ถูก)ถ่ายรูปทั้งคู่ รูปทั้งคู่จึงมีเยอะมากเป็นสิบๆอัลบั้ม เรียกว่าจะต้องได้ถ่ายกันทุกครั้งเมื่อไปเที่ยวกับครอบครัวเลยก็ว่าได้ (ขนาดไปห้างยังถ่าย) พ่อของทั้งสองเองก็ไม่น้อยหน้า รู้ว่าลูกชอบเข้ากล้อง ก็เลยจัดให้ ถ่ายแบบไม่ยั้งเลยเหมือนกัน ดีที่แม่คอยปรามๆไว้บ้าง

เขาเปิดดูรูปตั้งแต่สมัยที่เขายังเด็กๆ (ช่วงนั้นเริ่มใช้กล้องดิจิตัลกันแล้ว) แม้จะเป็นภาพนิ่ง แต่ความทรงจำในสมองของเขาก็ได้แปลงภาพเหล่านั้นให้กลายเป็นภาพเคลื่อนไหวขึ้นมาในห้วงคำนึง ที่ชัดเจนแม้กระทั่งเสียง และกลิ่น

รูปที่เขาและพี่ขี่จักรยานสามล้อแข่งกันที่โรงเรียนอนุบาล รูปที่พ่อสอนให้เขาหัดเล่นไวโอลิน เขาจำได้ว่าเขาชอบเสียงไวโอลินตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินพ่อเล่นให้ฟัง รูปสมัยประถมที่เขากับพี่นั่งวาดรูประบายสีด้วยกัน โดยมีพี่แทนคอยสอน และแต่งแต้มเติมสีให้ เขาจำได้ว่าพี่ของเขานั้นเก่งศิลปะมาก เวลาประกวดวาดรูปทีไรก็เป็นต้องได้ที่หนึ่งตลอด จนหลายครั้งเขาต้องขอให้พี่แทนทำการบ้านวาดรูปวิชาศิลปะให้ รูปที่เขาเล่นไวโอลิน ในขณะที่พี่แทนนั่งวาดรูปอยู่ข้างๆ เขาจำได้ว่า พี่แทนเคยบอกว่า แกชอบฟังเสียงไวโอลินของท็อปเวลาวาดรูป มันทำให้ ’ไอเดียแล่นกระฉูด’ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่ามันหมายความว่ายังไง ไ หนจะเรื่องที่พี่แทนชอบพูดอยู่บ่อยๆอีกว่าให้หัดเล่นไวโอลินให้เก่งๆ ส่วนตัวแกเองก็จะวาดรูปให้เก่งๆ จะได้ไปแสดงที่เมืองเวนิสกัน ซึ่งเขาก็เออออไปอย่างนั้นแหละ ตอนนั้นเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ไอ้เมืองเวน้งเวนิสที่พี่แทนว่าน่ะ มันหน้าตาเป็นยังไง

พูดถึงเรื่องไวโอลิน จริงๆแล้วท็อปเอง ก็เคยคิดอยากจะกลับไปเล่นไวโอลินอีกครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขาใช้มือขวาจับไม้คันชัก ด้วยอาการสั่นของมือเขามักจะทำให้คันชักหลุดมือเสมอ จนในที่สุดเขาจึงตัดสินใจเลิกเล่น และทิ้งไวโอลินตัวเก่งของเขาไป เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับไปเล่นมันอีก

ท็อปนั่งดูรูปเพลิน ปล่อยใจล่องลอยไปกับความหลังอันหอมหวานครั้งเก่าก่อนที่ได้เคยอยู่พร้อมหน้า เข้าไปดูโฟลเดอร์นู้นต่อด้วยโฟลเดอร์นี้ไปเรื่อย …… ดูไปดูมาเขาก็เกิดไปบังเอิญสะดุดตาเข้ากับอัลบั้มหนึ่งที่เป็นโฟลเดอร์ซ่อน และไม่มีชื่อโฟลเดอร์กำกับไว้เหมือนกับอันอื่น (ปกติท็อปจะตั้งชื่อให้กับทุกอัน เช่น ‘เที่ยวเขาดิน 18/03/47 ’) มีแต่ตัวหนังสือ TT เขาเข้าไปดูก็ปรากฏว่าไม่มีไฟล์อะไรอยู่ในนั้นเลย ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดอะไร อาจจะมีใครมาเผลอสร้างทิ้งไว้ ..…แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่า ลุงเปี๊ยกแกมีโปรแกรมกู้ไฟล์ที่ถูกลบไปในทัมบ์ไดรฟ์คืนมานี่นา (ลุงแกเคยโหลดมาให้ตอนที่ท็อปเผลอกดลบไฟล์รายงานของตัวเองไป) ก็เลยลองดูใช้ซักหน่อย

หลังจากรอให้โปรแกรมทำงานซักพัก มันก็แจ้งว่ากู้คืนไฟล์มาได้ 7 ไฟล์ ท็อปเลยเข้าไปดู ไฟล์แรกเหมือนจะเป็นงาน excel อะไรซักอย่างของแม่ซึ่งท็อปดูไม่รู้เรื่อง ส่วนอีกหกไฟล์นั้นเป็นไฟล์ภาพ ท็อปเลยคลิกเข้าไปดู ….เป็นรูปถ่ายครอบครัวของเขาไปเที่ยวที่ไหนซักแห่งด้วยกัน พอกดดูไปเรื่อยๆก็เหมือนจะเป็นน้ำตกอะไรซักอย่าง……. อันที่จริงมันก็เป็นรูปธรรมดาๆเหมือนอัลบั้มอื่นๆ แต่เขากลับแปลกใจที่ว่า ทำไมเขาถึงจำไม่ได้แฮะเลย ว่าเคยไปเที่ยวที่นี่กัน พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก …เขาเลื่อนดูรูปวนไปวนมาสองสามรอบ แล้วก็ไปสะดุดตากับรูปหนึ่งเข้าให้ เป็นรูปของท็อปกับแทนที่กำลังทำท่าจะปีนโขดหินขึ้นไปบนน้ำตก เขาค่อยๆซูมรูปเข้าไป….แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในหัว

….เขาหลับตาปี๋แล้วเอามือกุมขมับ ….แต่แล้วก็มีภาพๆหนึ่งแวบเข้ามาในหัว เป็นภาพของแทนที่หน้าตาตื่นกลัวสุดขีด ด้านหลังเป็นหน้าผาสูงชันที่มองลงมาจากมุมสูง …มือข้างหนึ่งเหมือนจะยื่นมาจับมือเขาอยู่

‘ท็อป ปล่อยมือพี่!!!!’ เสียงของแทนก้องอยู่ในหัวก่อนที่ภาพจะดับวูบไป….



……แล้วก็มีภาพอื่นขึ้นมาแทนที่

คราวนี้เป็นภาพของผู้คนมากมายในชุดดำ ที่ต่างมีสีหน้าเศร้าสลด แล้วก็มีมือของแม่เอื้อมมาลูบที่หัวเขา พร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นระงมไปทั่ว แล้วภาพนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่รูปภาพรูปหนึ่งที่วางอยู่หน้าโลงศพ

…….รูปภาพรูปนั้นเป็นรูปแทน!!!!

……………..

…………………แล้วภาพเหล่านั้นก็ดับลงไปอีก พร้อมกับหัวของเขาที่รู้สึกปวดแปล๊บขึ้นมาจนแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

เขารู้โดยสัญชาติญาณหรืออะไรก็ตามทีว่าอีกไม่นานเขาจะต้องหมดสติไป …

แต่ก่อนที่เขาจะหมดสติไป เขาได้ยินเสียงของแม่เขาดังก้องขึ้นมาในมโนสำนึก

“ ยอมรับหน่อยสิ พี่แทนน่ะเค้าตายไปแล้วนะ ”

………………..

“ ท็อป ๆ !!! ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงมั่งลูก ” เสียงตื่นตระหนกของลุงเปี๊ยกดังขึ้นทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมา

แทนมองไปรอบๆตัวอย่างงุนงง รู้สึกหัวยังมึนๆอยู่ เห็นลุงเปี๊ยกกับป้าลิซ่ายืนจับแขนลุงอยู่ข้างๆ กับผู้หญิงใส่ชุดขาวแปลกหน้าอีกคนหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นพยาบาล

…นี่ไม่ใช่บ้านลุงเปี๊ยกนี่นา….ที่นี่มันโรงพยาบาล

“ ผะผม เป็นอะไรไปครับลุง ” เขาถามขึ้น รู้สึกคอแห้งผาก จนแทบจะอาเจียนออกมาจนต้องเอ่ยปากขอน้ำ “ ขะขะ ขอน้ำหน่อยครับ ”

ลุงเปี๊ยกโผเข้ามาโอบหลัง ก่อนหันไปพูดภาษาอังกฤษกับพยาบาล ซึ่งเธอก็รีบไปรินน้ำมาให้ทันที

ท็อปดื่มน้ำเข้าไปจนหมดแก้ว ก่อนจะถามลุงเปี๊ยกต่อ “ ละลุงครับ ผะผม จำอะไรไม่ได้เลย มะมะมันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ”

ลุงเปี๊ยกเล่าให้ท็อปฟังว่า เขาแวะกลับมาที่บ้านตอนกลางวันเพื่อจะมาดูอาการของท็อป แต่ก็เห็นท็อปนอนหมดสติอยู่หน้าคอม แกเลยรีบขับรถพาท็อปมาที่โรงพยาบาล โดยหมอก็เข้ามาตรวจอาการเบื้องต้นแล้ว บอกว่าไม่เป็นอะไรมากแค่ร่างกายอ่อนเพลียเฉยๆ แต่ต้องรอตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดอีกที โดยอาจจะต้องค้างที่โรงพยาบาลนี่ซักคืน พรุ่งนี้ถึงจะกลับบ้านได้

ท็อปบอกลุงไปว่าไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นเแล้ว ให้ลุงกลับบ้านไปเถอะ เขาอยู่ที่นี่คนเดียวเองได้ ลุงก็บอกให้ท็อปรักษาตัวดีๆ มีอาการอะไรก็บอกพยาบาลเค้าได้ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเข้ามารับกลับบ้าน……แล้วแกกับป้าลิซ่าก็ขอตัวกลับบ้านไป

ตลอดช่วงบ่ายวันนั้นท็อปพยายามนึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าตนได้ไปเปิดดูรูปครอบครัวสมัยก่อน แล้วก็จำไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น

ช่วงเย็นๆหลังจากเสร็จมื้อค่ำ ก็ มีหมอ(น่าจะเป็นหมอใหญ่)เข้ามาตรวจอาการท็อปอีกครั้ง ซักถามอาการทั่วไปจากท็อป แล้วพาไปแสกนคลื่นสมอง จากนั้นก็ยานอนหลับเพื่อให้เขาได้นอนพักผ่อนได้เต็มที่

ท็อปตื่นมาอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมากเลยทีเดียว สามารถลุกไปเดินเล่นได้เหมือนปกติ ลุงเปี๊ยกแวะมาหาช่วงสายๆ เห็นอาการของท็อปดีขึ้นก็สบายใจ หลังจากเข้าไปคุยกับหมอเรียบร้อยแล้วก็พาท็อปกลับบ้านได้

เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์ เลยไม่ต้องไปโรงเรียน ลุงเปี๊ยกเลยพาท็อปไปขับรถเล่นที่ถนนเลียบชายหาด แล้วไปนั่งกินอาหารทะเลริมหาดเสร็จแล้วพอช่วงเย็นๆก็กลับบ้าน ….เขารีบเข้านอนแต่หัวค่ำตามที่หมอสั่ง ลุงเปี๊ยกบอกว่าถ้าสุขภาพกายสุขภาพจิตของท็อปยังดีอยู่แบบนี้ อีกเดี๋ยวก็คงจะหาย

……………

แก้ไขเมื่อ 05 ม.ค. 55 19:59:06

จากคุณ : ซงย้ง
เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 14:04:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com