บทที่ 1
แสงแรกของวันเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าสาดกระทบกำแพงคฤหาสน์ได้ไม่เท่าไร ผู้คนในบ้านเว่ยก็ต้องวุ่นวายกันยกใหญ่
เคหาสน์ของแม่ทัพเว่ยกว้างขวาง ผู้คนก็มากมาย ย่อมจะดูครึกครื้นวุ่นวายอยู่เสมอเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็มีบางคราอย่างเช่นวันนี้ที่ดูจะยุ่งยากกว่าทุกวัน
แม่ทัพเว่ยเป็นผู้คุมกองทัพสำคัญของแคว้นปิง โดยปกติมีหน้าที่ประจำการรักษาเขตแดนทางเหนือของแคว้นอันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งลำพังตำแหน่งนี้ก็บ่งบอกความสำคัญของเขาแล้ว แต่ผู้คนในเมืองหลวงทั้งหมดก็ยังรู้ด้วยว่า ความสำคัญอีกอย่างของแม่ทัพเว่ยคือเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับองค์ราชินีแห่งแคว้นปิง
องค์ราชินีมีพระโอรส...ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท เพียงองค์เดียวเท่านั้น ขณะที่แม่ทัพเว่ยก็มีแต่บุตรีที่เกิดจากภรรยาทั้งห้าอยู่ห้าคน พระนางจึงมักโปรดให้หลานสาวมาเข้าเฝ้าในวังอยู่บ่อยๆ
และหลานสาวคนที่พระนางโปรดปราณที่สุด ก็คือคุณหนูใหญ่ที่เกิดจากภรรยาเอกซึ่งล่วงลับไปแล้วของท่านแม่ทัพ เว่ย อวี้ซู่
ดังนั้น...ทันทีที่แม่ทัพเว่ยผู้เพิ่งกลับจากทางเหนือ พบว่าบุตรสาวคนโตของตนเอง ล้มป่วย บ้านตระกูลเว่ยทั้งหมดก็เหมือนถูกเขย่าด้วยมือยักษ์ที่มองไม่เห็นจนสั่นสะท้านกันไปทั้งหมดทันที
และคล้ายจะยังไม่หนำใจ... ข่าวคราวการ ล้มป่วย นี้ ได้ล่วงรู้ถึงหูองค์ราชินีแห่งแคว้นในเวลาไม่กี่อึดใจถัดมาเช่นกัน
แต่อย่างน้อยก็นับเป็นเรื่องน่ายินดี...ที่หมอได้ยืนยันในเวลาอันรวดเร็วหลังถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วนว่า คุณหนูใหญ่ไม่เป็นอะไรมาก
เว้นเพียงคนเดียวที่ยินดีไม่ออก
คือตัวคุณหนูใหญ่ของท่านแม่ทัพ เว่ย อวี้ซู่เอง
เด็กหญิงอายุ 12 ปีที่นั่งอยู่หน้าทองเหลืองขัดเงาเป็นคันฉ่องมีวงหน้างดงาม...แม้จะเพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่วัยดรุณีและยังไม่ถึงช่วงเวลาเกล้าผมปักปิ่น แต่เค้าลางของความงามก็ปรากฏอย่างเด่นชัดในโครงหน้ารูปไข่ และดวงตายาวเรียวคมกริบราวนางหงส์ ยิ่งมาประกอบกับจมูกโด่งเชิด และกลีบปากบางเฉียบแล้ว ล้วนเป็นเครื่องยืนยันว่าเด็กหญิงจะต้องเติบโตมาเป็นหญิงงามคนหนึ่งไม่ผิดแน่
แม้ในเวลาที่ทำหน้าตาประหลาด...อันบ่งบอกถึงความแปลกใจและยากจะเชื่อ เว่ย อวี้ซู่ก็ยังเป็นคนงามอยู่ดี
นั่นคือสิ่งที่มุกมณีเห็น...และคิด
หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกเช่นเดียวกับเด็กหญิง ปล่อยให้สาวใช้ที่เพิ่งได้ยินชื่อแว่วๆว่าเจียเอ๋อร์ค่อยๆหวีสางผมก่อนจะรวบเป็นทรงซาลาเปาคู่สองลูกสองข้างให้อย่างเบามือ
เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู
ทรงผมแบบเด็กๆนี้ไม่ได้ทำให้อวี้ซู่ดูเป็นเด็กหญิงเท่าไรนัก แต่หล่อนก็ไมเชิงเป็นเด็กสาว มุกมณีรู้สึกว่าสาวน้อยที่จ้องหล่อนกลับด้วยนัยน์ตายาวรีนั่น...มีบางอย่างที่ทำให้คนดูรู้สึกก้ำกึ่งกับเจ้าหล่อนอย่างไรชอบกล
คุณหนูเจ้าคะ... เจียเอ๋อร์ลองเรียกอีกครั้ง เมื่อเห็นคุณหนูของตนเองยังเงียบกริบ สองตาเอาแต่จ้องคันฉ่องไม่เว้นวาง
เด็กสาวกลืนน้ำลาย สองมือเริ่มพันกันด้วยความกริ่งเกรงจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจออกปากต่อด้วยน้ำเสียงที่ใส่ความเกรงใจนอบน้อมให้มากที่สุด
คุณหนูเจ้าคะ....ไม่ถูกใจตรงไหนหรือเจ้าคะ
เว่ย อวี้ซู่ยังคงไม่ตอบคำ ขณะที่มุกมณีได้ยินคำถามที่เป็นภาษาแปลกหูนั้นแว่วๆ แต่คร้านจะจับความจนฟังรู้เรื่องอันเป็นสิ่งที่น่าประหวั่นใจมากสำหรับหล่อน
สุ้มสำเนียงของภาษาที่สาวน้อยผู้เกล้าผมนั้นเอ่ยฟังคล้ายๆภาษาจีนที่เคยได้ยินได้ฟังเวลาดูตัวอย่างภาพยนตร์หรือดูซีรีย์ซับไทย แต่มุกมณีไม่ได้สนใจศึกษา การฟังพูดอ่านเขียนภาษาจีนจึงไม่เคยเป็นหนึ่งในความสามารถของหล่อน ดังนั้น หญิงสาวก็ไม่ควรฟังที่สาวน้อยคนนั้นเอ่ยได้เข้าใจด้วย
คุณหนูเจ้าคะ.... เจียเอ๋อร์เรียกอีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้เสียแล้ว
มุกมณีไม่อยากได้ยินแม้แต่น้อย แต่หล่อนดันเข้าใจจนต้องทอดถอนใจเฮือกใหญ่
อวี้ซู่ถอนหายใจเช่นกัน
อวี้ซู่ เสียงเรียกดังอีกครั้ง แต่คราวนี้แตกต่างจากทุกเสียงที่หนักแน่นและทรงอำนาจจนมุกมณีและอวี้ซู่ต้องหันกลับไปมอง
ผู้ที่สามารถเรียกคุณหนูใหญ่ได้เช่นนี้ย่อมมีเพียงคนเดียว คือบิดาของเด็กหญิงเอง
เจียเอ๋อร์ย่อตัวลงทันที เตือนให้มุกมณีคิดว่าหล่อนควรจะย่อตัวทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน
แม่ทัพเว่ยจึงมองอากัปการอันอ่อนน้อมกว่าทุกทีของบุตรสาวด้วยแววแปลกใจ แต่เขาไม่แสดงอะไรออกมามากไปว่าแววที่ปรากฏในดวงตาวูบ ก่อนเอ่ยคำ
เจ้าพร้อมแล้วไม่ใช่รึ ? คิดจะให้องค์ราชินีคอยเจ้าไปอีกนานแค่ไหนกัน !
ท่านพ่อของอวี้ซู่สมเป็นแม่ทัพใหญ่ที่รักษาการณ์ชายแดนอย่างแท้จริง ในสายตาของมุกมณี ชายที่ยืนผึ่งผายตรงหน้ายังดูหนุ่มแน่นกว่าที่เธอคิดไว้ จนอดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นเขาในครั้งแรก และมาครั้งนี้ หญิงสาวก็ค้นพบเพิ่มเติมด้วยว่านอกจากรูปลักษณ์แล้ว แม้แต่น้ำเสียงของท่านแม่ทัพที่พูดกับลูกสาวก็ยังเกือบจะทำให้เธอนึกถึงเสียงครูฝึกทหารวิชารด.อย่างไรอย่างนั้น
และจากประสบการณ์ของมุกมณี คนแบบนี้น่าจะชอบ...ลูกสาวที่พูดจาตอบได้ฉะฉานมากกว่าลูกสาวที่ก้มหน้าเงียบ
แต่หล่อนไม่ใช่ลูกสาวของเขานี่ !
ส่วนหนึ่งในใจของหญิงสาวค้าน ขณะที่ท่านแม่ทัพเอ่ยต่อเสียงเข้ม
เจ้าไม่ได้ยินงั้นรึ อวี้ซู่?
อวี้ซู่ควรตอบไปสักอย่าง...
ลูกพร้อมแล้ว ขออภัยท่านพ่อด้วย...เจ้าค่ะ
เด็กหญิงตอบตามที่มุกมณีคิด เสียงใสกังวานไพเราะ กับถ้อยคำอันฟังดูอ่อนหวานนอบน้อม แต่สุ้มเสียงที่เรียบเฉยหนักแน่นไม่มีทีท่าประหวั่นลนลานหรือตกใจก็ดูจะเป็นสิ่งน่าพึงใจสำหรับท่านแม่ทัพอยู่บ้าง
ถ้าไม่ใช่แววตาแปลกๆที่มองมา...เหมือนกับใคร่ครวญบางอย่างเกี่ยวกับลูกสาวของตนเองจนมุกมณีหนาวๆร้อนๆนั่น ?
ท่านแม่ทัพไม่เอ่ยอะไรอีก นอกจากกลับหลังเดินจากไป....จนครู่หนึ่งนั่นเองที่มุกมณีค่อยกล้าถอนหายใจไล่หลัง
เจียเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ฟังคุณหนูใหญ่ของตนทอดถอน สายตาแฝงแววเคลือบแคลงแกมหวั่นเกรงผสานกัน แต่เมื่อเห็นสาวใช้อีกคนขึงตาให้ด้วยสีหน้าร้อนรน เด็กสาวก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองอยู่ดี
คะ...คุณหนูเจ้าคะ....ได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ
มุกมณีเหลือบมองสาวน้อยที่ยังคุกเข่าอยู่ข้างตัว ก่อนขยับโบกไม้โบกมือให้ อีกฝ่ายจึงค่อยลุกขึ้นและเดินตามหลังหล่อนที่ก้าวออกไปจากห้อง
สาวใช้ที่หน้าประตูค้อมศีรษะ
คุณหนู เชิญทางนี้เจ้าค่ะ
คุณหนูที่ถูกเชิญ...หรืออวี้ซู่ก้าวออกไป นำพาสายตาของมุกมณีให้ออกมาเบื้องนอกพร้อมสัมผัสถึงการก้าวเท้าออกนอกห้องที่เสมือนสถานพักฟื้นและป้อมปราการอันปลอดภัยชั่วคราว
ชั่ววูบหนึ่ง มุกมณีอยากให้อวี้ซู่ถอยหลังกลับเข้าไป ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง แล้วจากนั้นตื่นมา เรื่องของอวี้ซู่ก็เป็นเรื่องของอวี้ซู่ ส่วนหล่อน...ก็จะตื่นมาพบกับฝ้าสีขาวสะอาดตาของโรงพยาบาล หรือไม่ก็เพดานห้องที่คุ้นเคย หรืออย่างน้อยก็ขอเป็นเพดานอะไรก็ได้ที่มีหลอดไฟติดอยู่
แต่มันเป็นไปไม่ได้ หญิงสาวรู้ดีว่าในความจริง หล่อนไม่เหลือทางให้ถอยหลังกลับอีกต่อไปแล้ว
มุกมณีจึงได้แต่ย่างเท้าเดินออกไป บนแผ่นหินที่ปูลาดเป็นเส้นทางตรงไปสู่รถม้าที่กำลังจะพาหล่อนไปเข้าเฝ้าพระราชินีแห่งแคว้นปิง
ในฐานะ และในรูปลักษณ์ของเว่ย อวี้ซู่
หากมีใครสักคนเอ่ยปากถามหล่อนว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร มุกมณีเองก็ไม่แน่ใจนักว่าหล่อนจะลำดับเรื่องราวได้ถูกต้อง
มุกมณี เป็นนักศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ที่กำลังเข้าค่ายของภาควิชาในช่วงฤดูร้อน นั่นเป็นสิ่งแรกที่หล่อนคงพยายามอธิบายกับคนอื่นและลำดับเรื่องให้ตัวเองฟังไปพลางๆด้วย....หล่อนเพิ่งจะมาถึงหมู่บ้านเล็กๆบนดอยทางเหนือของประเทศไทยได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
แล้วหลังจากนั้น....ความทรงจำของมุกมณีค่อนข้างจะสับสน แม้กิจกรรมที่หล่อนเลือกมาทำของทางภาคจะไม่เกี่ยวกับการเรียนด้านประวัติศาสตร์โดยตรง แต่โดยวิสัยของหนุ่มสาวที่มีความชอบในด้านเดียวกันจนเลือกมาศึกษาต่อก็อดทำให้ใครบางคนเปิดหัวข้อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ขึ้นมาระหว่างกำลังกางเต็นท์เตรียมที่พักกันไม่ได้
แต่จะคุยกันอย่างไรก็ตาม ความจริงก็มีแค่ว่าพวกหล่อนกำลังมาสร้างอาคารที่นี่ โดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการขุดค้นหรือแหล่งประวัติศาสตร์อะไรสักอย่างเลย
และยังไม่มีใครค้นพบวัตถุต้องสงสัยอายุเกินคะเน....ให้มุกมณีเข้าไปแตะต้องเสียด้วย
หญิงสาวไม่ได้เตรียมอาคารที่พักกับคนอื่นๆ หล่อนกำลังหอบเอกสารให้รุ่นพี่คนหนึ่ง และเดินตามหาตัวเขา....
และแล้ว.....
หล่อนก็จมดิ่งลงไปในความฝัน
หญิงสาวค่อนข้างจะประทับใจกับหมู่บ้านที่ตนเองมาทำกิจกรรม มือขยับแว่นสายตาขณะขาเดินลัดเลาะไปทางท้ายหมู่บ้านอย่างสบายอารมณ์ แม้จะเป็นหน้าร้อน แต่ความสูงของภูเขาที่พวกหล่อนอุตส่าห์มาเยือนก็ทำให้สายลมที่รำเพยผ่านผิวกายไม่แสบร้อนเกินไปนัก หนำซ้ำยังมีต้นไม้สูงใหญ่พอให้เดินอาศัยร่มเงาไปได้แทบไม่ต้องโดนแดด
หล่อนเลือกจะปล่อยวางเสียงเอะอะของเพื่อนร่วมคณะไว้ด้านหลัง รู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่าแต่ละคนเอะอะมะเทิ่งอะไรกัน แต่ก็คร้านจะใส่ใจฟัง ถือว่าอุตส่าห์มาเยือนธรรมชาติทั้งที อย่างน้อยก็น่าจะหาเวลามาเพลิดเพลินบ้างไม่งั้นคงเสียเที่ยวแย่
เรื่องกลับไปหาคนอื่นนั้น....เก็บไว้ทีหลังจากนี้ก็ยังได้
แม้ไม่ใส่ใจเสียงจากเพื่อนๆ แต่เสียงจากเจ้าของพื้นที่นั้น มุกมณีเต็มใจรับฟังอย่างยิ่ง หล่อนชี้ถามพ่อเฒ่าที่ออกมานั่งหน้าบ้านของตนเองว่าจะเดินไปได้ถึงตรงไหน และส่วนไหนที่ไม่ควรเดินไปและยิ่งกว่ายินดีปฏิบัติตาม
ชายชราเองก็ตอบคำถามของมุกมณีอย่างดีเช่นกัน แม้การสื่อสารจะขลุกขลักบ้างเป็นบางขณะเพราะคำพูดบางคำที่ไม่ชัดเจนของแก แต่ก็ถือว่าเป็นไปอย่างราบรื่น และแกยังแสดงน้ำใจกับคนต่างถิ่นอย่างหล่อนด้วยการตักเตือนข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดคืออากาศบนดอยนั้นแปรปรวนบ่อย ต่อให้เป็นฤดูร้อน แต่บางทีก็อาจมีพายุฝนหลงฤดูได้ และยามเย็นบางครั้งก็มีหมอกลงมากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นหญิงสาวควรเดินระวังๆและอย่าไปไกล
มุกมณีจึงเดินวนเวียนอยู่แถวนั้น....ยิ้มและโบกมือให้ชายชรากับเด็กบางคนที่แอบมองด้วยความสนใจเป็นบางขณะ
จนกระทั่งเมฆครึ้มลอยมา พร้อมเสียงคำรามครืนจากที่ไกลๆ ตามด้วยฝนห่าใหญ่ที่กระหน่ำตามหลังลงมาแทบไม่ทันพ้นนาทีดีด้วยซ้ำ
รองเท้าผ้าใบที่ภาคภูมิใจกลายเป็นภาระในพริบตาสำหรับมุกมณี หญิงสาวแทบอยากถอดมันทิ้งแล้วใช้เท้าเปล่าเดินเอา ถ้าไม่เกรงเศษไม้อะไรจะบาดเข้าและกลายเป็นปัญหาใหญ่กว่าเดิม จึงได้แต่ทนลากเท้าที่เต็มไปด้วยน้ำขังเดินแกมวิ่งอยู่ใต้เงาไม้กลับมาทางหมู่บ้านที่อยู่ห่างกันไม่ถึงยี่สิบก้าว
เสียงฟ้าผ่าไล่หลังไม่ห่างจนแผ่นดินสะเทือน และตอนนั้นเอง ที่ชายคาบ้านหลังที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างแค่ก้าวเดียว แว่นตาเจ้ากรรมก็เลื่อนหลุดพาให้ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนไปหมด
บ้านไม้ตรงหน้าเหมือนถูกบดบังด้วยม่านพรายของสายฝน หญิงสาวต้องกะพริบตาถี่ๆก่อนก้มควานมือเปะปะกว่าจะสัมผัสแว่นตาที่เลอะน้ำโคลน
และตอนนั้นเองที่มุกมณีก็เจ็บแปลบขึ้นมา
เป็นความเจ็บที่ไม่เคยคุ้น ไม่เคยสัมผัส
ความเจ็บที่สาหัสราวใครบิดอะไรบางอย่างในร่างกาย ก่อนกระชากออกไปอย่างไม่ปราณีจนหล่อนสิ้นสติ
จากทรวงอกข้างซ้าย....