- เรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ในมหาสนุก ฉบับที่ 1078 ประจำวันที่ 29 ธันวาคม - 3 มกราคม พ.ศ.2555 และเป็นเรื่องที่สองในนามปากกาทะเลเดือดที่ได้ตีพิมพ์ เป็นแนวสยองขวัญ(?) นะครับ และขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านมากๆ คร้าบ ^^
-------------------------
ดวงวิญญาณสีขาว
โดย
ทะเลเดือด
นาวินคุ้นชินกับการเจอผีเสียแล้ว เพราะเขาสามารถเห็นมวลพลังงานที่เรียกว่าดวงวิญญาณได้ตั้งแต่อายุห้าขวบ แต่เขาก็ไม่ได้ดีใจนักหากต้องเจอผีสักตน สิ่งที่ทำให้นาวินไม่ใคร่อยากพบปะเหล่าภูตผีนักก็เพราะทุกครั้งที่เขาเห็นดวงวิญญาณสักดวง ก็ไม่พ้นมีเรื่องวุ่นวายตามมาให้ปวดหัว
ดวงวิญญาณเหล่านั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะติดต่อกับเขาโดยไม่สนใจกาละเทศะ บ่อยครั้งที่ดวงวิญญาณชอบโผล่มาตอนเขาเข้าห้องน้ำ หรือมาเขย่าขาเตียงตอนนอน ทั้งๆที่อยู่ในบ้านของเขาเอง แต่นาวินกลับไม่สามารถขัดขวางการกระทำของดวงวิญญาณเหล่านั้นได้เลยแม้แต่น้อย
พ่อ แม่ และน้องสาวของเขารู้ดีว่านาวินมีความสามารถพิเศษในการเห็นผี ทุกคนเห็นเป็นเรื่องตลก แต่ก็ไม่ได้คิดว่าสมองของนาวินผิดปกติ พวกเขาเชื่อนาวิน เพียงแต่ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องน่ากลัวชวนขนหัวลุกแต่ประการใด
นาวินทราบดีว่าในขณะนี้เป็นยุคของวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนสามารถยืนยันได้ว่าโลกหลังความตายอยู่ที่ใด สวรรค์และนรกมีอยู่จริงตามคำสอนในศาสนคัมภีร์หรือเปล่า ดวงวิญญาณหรือที่เรียกว่าผีมีจริงหรือไม่?
โดยส่วนตัวเขาก็อยากจะถามดวงวิญญาณที่ชอบมาปรากฏตัวให้เห็นเหมือนกัน แต่พอถึงเวลาที่ต้องเผชิญเหตุการณ์จริงทีไร ความคิดทั้งหมดก็กระจายหายไปเหมือนกองทรายที่ถูกคลื่นทะเลซัดจนพังไม่มีชิ้นดี
น่าแปลกที่ในชีวิตนี้ นาวินต้องวนๆเวียนๆเกี่ยวข้องกับเรื่องสยองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขามีอาชีพเป็นนักเขียน และหากจะให้จำแนกเฉพาะเจาะจงไปก็คือนักเขียนแนวสยองขวัญ ในวันนี้หลังจากปิดต้นฉบับนิยายเรื่องล่าสุด นาวินตั้งใจให้เป็นวันพักผ่อน วันนี้เขาจะไม่ทำอะไรนอกจากกินและนอน การเป็นคนโสดก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย นาวินทราบว่าข้อดีของมันคือการสามารถอยู่ในโลกส่วนตัวได้โดยไม่ต้องสนใจใครอื่น ไม่ต้องคอยโทรศัพท์หาใคร ไม่ต้องวุ่นวายคิดถึงใครบางคน แต่ในทางกลับกัน ในวันเวลาที่ว่างแสนว่างอย่างนี้ ความเหงาก็ช่างเป็นศัตรูอันร้ายกาจของเขาเหลือเกิน
มันเป็นวันพุธที่น่าเบื่อ ฝนของเดือนตุลาคมโปรยเม็ดกระทบหน้าต่างตลอดวันตลอดคืน นาวินลงจากห้องของตัวเองมาในเวลาบ่ายโมง ในบ้านสองชั้นหลังนี้เงียบสงัด ไม่มีใครอื่นอยู่บ้านนอกจากเขา รูปของพ่อในเครื่องแบบตำรวจปรากฏเด่นหราบนผนังห้องนั่งเล่นพร้อมกับรูปถ่ายครอบครัวรูปอื่นๆ
นาวินหยุดยืนดูรูปเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่งอย่างเกียจคร้าน เขาไม่ได้เอะใจเลยว่าในขณะนี้ ขณะที่จิตใจของเขากำลังล่องลอยไปในรูปภาพ ที่ด้านหลังของเขากำลังปรากฏหมอกควันสีขาวกลุ่มหนึ่งโชยขึ้นจากโต๊ะกระจกหน้าโซฟา และกว่าที่นาวินจะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติภายในห้อง หมอกควันกลุ่มนั้นก็รวมตัวกันเป็นรูปทรงของเด็กทารกคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
นาวินตัวแข็งทื่อ เขายกมือขยับแว่นให้เข้าที่ก่อนจะข่มใจหันหลังกลับไปมอง ดวงวิญญาณสีขาวของเด็กทารกคนนั้นยังอยู่ที่เดิม บนโต๊ะหน้าโซฟา กำลังนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนหนังสือพิมพ์กรอบเช้าที่อ่านทิ้งเอาไว้เพียงผ่านๆ ชายหนุ่มผงะถอยหลังตามสัญชาตญาณ เขารีบกราดสายตาไปโดยรอบเพื่อมองหาว่ายังมีดวงวิญญาณอื่นติดตามดวงวิญญาณเด็กตนนี้มาอีกหรือเปล่า
เมื่อปรากฏว่าไม่มี นาวินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปได้เล็กน้อย เขารวบรวมสมาธิและความกล้าหาญ ขยับกายเข้าไปใกล้โต๊ะที่ดวงวิญญาณทารกนั่งอยู่ ภาพที่เห็นชวนให้นาวินนึกถึงผีน้อยแคสเปอร์ที่เคยดูในโทรทัศน์ตอนเป็นเด็กขึ้นมาตะหงิดๆ
นาวินรู้ดีว่าวิญญาณของทารกจะไม่มีพลังสื่อสารมากเท่าวิญญาณของผู้ใหญ่ การปรากฏกายในแต่ละครั้งจะต้องอาศัยพลังงานมาก ซึ่งนั่นหมายความว่า ดวงวิญญาณทารกหนึ่งดวง อาจมีพลังสามารถปรากฏกายให้ผู้อื่นเห็นได้ แต่อาจไม่มีพลังมากพอในการพูดคุย เว้นแต่วิญญาณของทารกดวงนั้นจะมีพลังจิตแก่กล้าเกินเด็ก
“วะ...ว่า...ว่าไง?” นาวินพูดตะกุกตะกัก “มีอะไรให้ฉันช่วยรึเปล่า?”
ดวงวิญญาณเด็กตนนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิม ร่างกายของหนูน้อยโปร่งใสจนสามารถมองทะลุได้ เสียงฟ้าร้องครืนครันดังแทรกเข้ามาช่วยให้บรรยากาศน่ากลัวมากขึ้นเกินกว่าที่จำเป็น ดวงวิญญาณของหนูน้อยพยักหน้า ยกมือข้างหนึ่งตบหนังสือพิมพ์ที่ตนเองกำลังนั่งทับอยู่เหมือนชักชวนให้นาวินเขยิบเข้าไปดู
“มีพลังมากพอที่จะพูดได้บ้างไหม?” ชายหนุ่มถาม แม้จะพอคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้วก็ตาม
ดวงวิญญาณหนูน้อยส่ายหน้า นัยน์ตาเศร้าสลดลงวูบหนึ่งก่อนจะยิ้มหวาน แล้วตบหนังสือพิมพ์อีกครั้ง เมื่อนาวินเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ เขาก็พบว่าหนูน้อยกำลังชี้มือไปที่หัวข้อข่าว – สถิติการตั้งครรภ์ในวัยเรียนและการทำแท้งในหมู่นักศึกษา – เมื่อได้ไตร่ตรองดูดีๆ นาวินก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น
“โดนแม่ทำแท้งมาใช่ไหม?” เขาถาม แต่ดวงวิญญาณของหนูน้อยกลับส่ายหน้า ดังนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า “ถ้าอย่างนั้น แม่ของนายก็อยู่ใน ระหว่างกำลังคิดจะทำแท้งสินะ?”
คราวนี้ ดวงวิญญาณของหนูน้อยพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
แต่น่าเสียดายที่ดวงวิญญาณสีขาวบริสุทธิ์ของหนูน้อยตนนั้นสามารถรวมพลังในการปรากฏกายและสื่อสารกับนาวินได้เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น เบาะแสสุดท้ายที่หนูน้อยทิ้งเอาไว้ก่อนที่ร่างกายจะจางหายไปก็คือการชี้มือไปยังรูปของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งประสบเหตุถูกโจรวิ่งราวกระชากกระเป๋ารูปของหล่อนปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกับที่ลงข่าวสถิติการทำแท้งฉบับนั้น
โชคดีที่หนังสือพิมพ์ลงชื่อเสียงเรียงนามของหญิงวัยกลางคนเอาไว้ครบถ้วน นาวินจึงได้รู้ว่าหล่อนเป็นอาจารย์อาวุโสในคณะอักษรศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยที่น้องสาวของเขากำลังเรียนอยู่ แต่นาวินก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น เขาไม่เข้าใจว่าดวงวิญญาณของทารกตนนั้นกำลังจะบอกว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้คือแม่ใจยักษ์ที่คิดจะทำแท้งลูกในไส้อย่างนั้นหรือ?
แต่หากมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สิ่งที่เขาควรทำก็คือขัดขวางการทำแท้งที่กำลังจะเกิดขึ้น การที่ดวงวิญญาณของทารกน้อยสามารถดั้นด้นมาขอความช่วยเหลือจากเขาได้ ย่อมหมายความว่านาวินกับทารกน้อยคงมีบ่วงกรรมติดพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน และในชาตินี้ นาวินก็ต้องช่วยเหลือทารกน้อยเพื่อชดใช้บ่วงกรรมนั้น ไม่ว่ามันจะดูยากลำบากขนาดไหนก็ตาม
********
“เอาจริงๆหรือพี่วิน อาจารย์แกเพิ่งโดนกระชากกระเป๋ามาเมื่อวาน อารมณ์ยิ่งไม่ค่อยดีอยู่ด้วย ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปถามเซ้าซี้ ประเดี๋ยวแกก็ด่าเปิดเปิงหรอก” เสียงของณารินผู้เป็นน้องสาวดังเตือนพี่ชายเบาๆขณะทั้งคู่ยืนหลบอยู่มุมหนึ่งใต้กันสาดในลานจอดรถของมหาวิทยาลัยย่านดอนเมือง “มือชั้นนี้แล้ว ไว้ใจพี่เถอะน่า” นาวินตอบกลับเสียงเรียบ น้องสาวได้แต่ส่ายศีรษะ เธอชินเสียแล้วกับพฤติกรรมของพี่ชายผู้มีอายุมากกว่าเธอสามปีที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ โดยให้เหตุผลว่าต้องทำเพื่อช่วยดวงวิญญาณที่ตกทุกข์ได้ยาก คราวนี้พี่ชายบอกเธอว่าดวงวิญญาณที่เดือดร้อนเป็นวิญญาณของเด็กที่กำลังจะถูกทำแท้ง ณารินแทบอุทานเสียงหลงเมื่อนาวินนำรูปของอาจารย์พัชรศรีมาให้ดูและบอกเธอว่าอาจารย์อาจจะเป็นแม่ของเด็กในท้อง “จะบ้าหรือไงพี่ อาจารย์แกอายุอานามเกือบจะหกสิบอยู่แล้ว แถมเป็นโสดมาเกือบยี่สิบปี จะท้องได้ยังไง!” ณารินจำได้ว่านั่นคือคำแรกที่เธอพูดออกไปหลังจากพบว่านาวินได้ขับรถออกจากบ้านฝ่าสายฝนมาที่มหาวิทยาลัยของเธอด้วยเหตุของดวงวิญญาณสีขาวที่ปรากฏกายเพียงครั้งเดียว แต่นาวินก็บอกว่าเรื่องอย่างนี้ไม่มีใครอื่นรู้ได้นอกจากจะถามจากเจ้าตัวเองเท่านั้น ในที่สุด เวลาที่นาวินรอคอยก็มาถึง ฝนยังคงโปรยเม็ดเมื่อเขาเห็นอาจารย์พัชรศรีเดินกางร่มออกจากตึกเรียนมุ่งหน้ามายังลานจอดรถ เขาฉวยร่มจากมือของน้องสาวแล้ววิ่งออกไป อาจารย์หญิงวัยกลางคนกำลังจะเดินถึงรถของหล่อนอยู่แล้วเมื่อชายหนุ่มก้าวพรวดเข้าไปและร้องเรียกหล่อนอย่างสุภาพ ณารินผู้เป็นน้องสาวได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ห่างๆ เธอไม่กล้าตามพี่ชายเข้าไปเพราะเธอกับแพรฟ้า - ลูกสาวของอาจารย์พัชรศรีเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน หากแพรฟ้ารู้ว่าพี่ชายของณารินคิดว่าแม่ของเธอตั้งครรภ์และกำลังจะทำแท้ง ณารินกับแพรฟ้าก็คงจะมองหน้ากันอย่างไม่สะดวกใจเท่าไหร่นัก
ณารินเฝ้ามองพี่ชายยืนคุยกับอาจารย์พัชรศรีกลางสายฝนครู่หนึ่ง ร่มที่พี่ชายของเธอถืออยู่มีสีแดง ส่วนร่มของอาจารย์พัชรศรีเป็นสีเหลืองดูตัดกันชัดเจนในม่านฝน เธอไม่รู้ว่าบทสนทนาระหว่างพี่ชายของเธอกับอาจารย์พัชรศรีดำเนินไปเช่นไรและจะมีจุดจบอย่างไร เธอไม่อยากนึกถึงมัน –
“อ้าว ยัยริน มายืนทำอะไรคนเดียวอยู่ตรงนี้ ไม่มีร่มหรือจ๊ะ?” เสียงใสๆเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของณาริน หญิงสาวเย็นวาบไปทั่วกาย เธอจำเสียงนั้นได้ดี มันเป็นเสียงของแพรฟ้า...ณารินหันขวับกลับไปมองและเธอก็พบว่าผู้ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้คือแพรฟ้าจริงๆ!
“กลับด้วยกันไหมจ๊ะริน แพรกำลังนั่งรถแม่กลับบ้านพอดี วันนี้ไม่ไหว ฝนตก ตอนแรกว่าจะไปหาหนังดูสักเรื่องสองเรื่อง เจออากาศอย่างนี้เข้าไป แถมเป็นวันนี้ด้วย หมดอารมณ์” แพรฟ้าเป็นคนช่างพูดเสมอ เธอมักจะหาเรื่องมาพูดได้ทุกสถานการณ์ ณารินภาวนาว่าแพรฟ้าคงจะไม่ทันสังเกตเห็นชายหนุ่มแว่นหนาคนหนึ่งกำลังยืนคุยกับแม่ของเธอกลางสายฝน แต่นอกจากแพรฟ้าจะเป็นคนช่างพูดแล้ว เธอยังเป็นคนช่างสังเกตอีกด้วย
“เอ๊ะ นั่นแม่นี่นา กำลังยืนคุยกับใครน่ะ ท่าทางไม่เหมือนนักศึกษาสักหน่อย” แพรฟ้ากล่าวพร้อมกับจ้องมองไปยังกลางลานจอดรถ ณารินเหลียวมองตามสายตาของเพื่อนสาว เธอพบว่าในขณะนี้ สายตาของพี่ชายก็กำลังจับจ้องมายังทิศทางของเธอและแพรฟ้าเหมือนกัน
“พี่ชายรินเองจ้ะ” ณารินตอบออกไปโดยอัตโนมัติก่อนจะห้ามตนเองทัน แพรฟ้าขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าพี่ชายของเพื่อนมีธุระอะไรกับแม่ของเธอ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามณาริน ชายหนุ่มคนนั้นก็ยุติการสนทนากับแม่ของเธออย่างนอบน้อมและเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่ใต้กันสาดซึ่งน้องสาวของเขายืนอยู่
แพรฟ้าเห็นแม่ของตนเองเปิดประตูก้าวขึ้นรถ สองตายังไม่วายมองตามหลังคู่สนทนาอย่างหงุดหงิดและโมโหเล็กน้อย รถเก๋งสีขาวปลอดคันนั้นสตาร์ทเครื่องพอดีเมื่อชายหนุ่มแว่นหนาเดินมาถึงใต้กันสาด แพรฟ้ากำลังคิดอยู่ว่าเธอควรจะขอตัวไปขึ้นรถกับแม่ หรืออยู่ตรงนี้อีกครู่หนึ่งเพื่อทำความรู้จักกับพี่ชายของเพื่อนกันแน่ เธอตัดสินใจทำอย่างหลัง โดยหวังว่าแม่คงจะจอดรถรอเธอ
“ได้เรื่องไหมล่ะพี่วิน?” ณารินถามพี่ชาย แต่พี่ชายกลับไม่สนใจผู้เป็นน้องสาวเลยสักนิด เขาทิ้งร่มให้ณารินถือขณะตนเองเดินพรวดๆมาหยุดอยู่ตรงหน้าแพรฟ้า
แพรฟ้าส่งยิ้มให้ แต่ชายหนุ่มกลับตอบรับด้วยเสียงที่อัดแน่นความรำคาญ ปราศจากอารมณ์โรแมนติก ทั้งที่มันควรจะเป็นอย่างนั้นที่สุดว่า
“น้องครับ เย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันได้มั้ยครับ?”
********
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ม.ค. 55 11:33:18
|
|
|
|