รถยนต์BMWซี่รีส์7 คันสีดำ แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง พอรถจอดสนิทเด็กสาวรีบหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่ข้างกายขึ้น ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ทำความขอบคุณต่อผู้ใหญ่ที่นั่งทำหน้าที่ขับรถมาส่งเธอที่โรงเรียนในเช้าวันนี้
“ขอบคุณ คุณลุงมากๆ ค่ะ”
“ตั้งใจเรียนนะฝ้าย”
มนัญชยาระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนรับคำ “ค่ะ ลุง”
จากนั้นก็ก้าวลงจากรถทันที โดยไม่ได้เหลียวกลับมาสนใจเด็กสาวอีกที่มีใบหน้าเรียบเฉยอีกคน ที่นั่งติดๆ อยู่ตรงหน้ากับบิดาของเธอ
“พ่อคะ รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวก็ไปส่งเพลินสาย เพลิน ก็ไม่ทันส่งการบ้านอาจารย์ก่อนแปดโมงเช้าหรอก”
ณิชนันท์ หันไปเร่งบิดาทันทีเมื่อเห็นเด็กสาวอีกคนลงจากรถแล้ว ความขุ่นเคืองที่กักเก็บเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มเผยออกมาให้บิดาเห็น ที่เป็นเช่นนี้เพราะ แทนที่บิดาจะมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนของเธอเอง เหมือนทุกเช้าที่ผ่านมา แต่กลับกันตรงที่เช้านี้ บิดาเธอจะต้องแวะกลับมาส่งเด็กสาวอีกคนแทนก่อน และนั่นจะทำให้เธอไปโรงเรียนช้ากว่าปรกติ
ธีริทธ์อ่านสีหน้าอันรีบเร่งและหงุดหงิดของลูกสาวออก ก่อนจะรับคำลูกสาวเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาน้อยๆ ประกอบ จากนั้นก็รีบออกรถไปโดยเร็ว “พ่อรู้แล้วน่า”
มนัญชยาละสายตาจากท้ายรถราคาแพงลิ่วคันดังกล่าว แล้วหันกลับมามองโรงเรียนของเธอที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สีหน้าและรอยยิ้มของเด็กสาวบ่งบอกว่าเธอดูแจ่มใสขึ้นกว่าทุกวัน เพียงเพราะ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตตัวเองมีความสำคัญ มีค่าขึ้น เพียงแค่ลุงธีและป้ามนเอาใจใส่เธอด้วยความเมตตา ซึ่งแน่นอนว่าที่บ้านหลังใหม่ของเธอบรรยากาศมันช่างแตกต่างจากบ้านหลังเดิม ซึ่งความแตกต่างอันนี้สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้อย่างง่าย ๆ เลยก็ให้ดูตอนที่เธอนั่งรถลุงธีมาโรงเรียนเมื่อครู่สิ
มันช่างแตกต่างกับที่ต้องนั่งรถมาโรงเรียนโดยมีมารดาแท้จริงเป็นคนขับรถมาส่งเอง ที่เธอจะต้องทนฟังเสียงแม่บ่นด่าตะคอก ที่แม่มักจะอารมณ์เสียมาจากพ่อ แต่เมื่อแม่ทำอะไรพ่อไม่ได้มากนัก แม่ก็มักจะหันมาระบายกับเธอแทน
ชั่ววูบ เมื่อมนัญชยาได้หวนกลับไปคิดถึงอดีตที่น่าขื่นขม แววตาที่สดใสของเด็กสาวกลับสลดลงวูบอีกครั้ง …
“ฝ้าย มาเรียนได้แล้วเหรอ แล้วใครมาส่งเธอน่ะ?”
ขณะที่เด็กสาวกำลังเดินถือกระเป๋าเข้าไปภายในโรงเรียน เพื่อนห้องเรียนเดียวกันคนหนึ่งก็ทำท่าทีเดินเร็วๆ แล้วชวนคุย ดูท่าทางสงสัยใคร่รู้ในเรื่องของเธอเสียเต็มประดา มนัญชยามองออก ยามปรายหางตาเหลือบมองดูคนสอดรู้สอดเห็นประจำห้องเรียน
“คุณลุง คุณป้า” มนัญชยาหันไปตอบคำถามเรียบๆ อย่างไม่ใส่ใจ เพื่อนคนนี้เท่าไหร่นัก เพราะเธอไม่ค่อยชอบเพื่อนนักเรียนคนนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“เหรอ” เด็กสาวคนเดิมทำท่ารู้แล้วไปงั้นๆ ไม่ได้สนใจถาม ‘คุณลุง คุณป้า’ ที่มนัญชยาพูดจะหมายถึงใคร เพราะตอนนี้ภายในใจของเธอ มันกำลังมีเรื่องหนึ่งที่อยากรู้อย่างท่วมท้นเชียว ว่าแล้วเด็กสาวคนเดิมก็รีบยื่นหน้าเข้าไปถามมนัญชยาใกล้ๆ
“นี่ๆ ฝ้ายๆ ฉันอยากรู้ ว่าทำไมแม่ถึงได้ยิงพ่อเธอล่ะ”
ยามที่ได้ยินคำถามนั้น ใบหน้าที่ดูมีร่องรอยแห่งความสุขจากสิ่งดีๆ เปลี่ยนไปจนหมดสิ้น เธอหยุดเดินและหมุนตัวกลับมามองเพื่อนคนนี้ช้าๆ ด้วยสายตานิ่งกระด้าง นี่ไงที่เธอถึงได้บอกว่าเธอไม่ชอบเพื่อนคนนี้เท่าไหร่ ก็เพราะเป็นแบบนี้ยังไงเล่า!
ถึงแม้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะไม่มีจุดประสงค์อื่นที่แอบแฝงมากับคำถามที่ส่อไปในแววอยากรู้อยากเห็นแค่นั้นก็เถอะ..แต่คำพูดแต่ละคำที่เธอได้เอ่ยออกมาดูเหมือนมันเป็นดั่งของมีคมบางอย่างที่ได้กรีดซ้ำลงไปที่แผลในใจที่เธอรอคอยให้แผลนั้นมันเหือดแห้งและได้ปิดสนิท แต่ดูราวกับว่าบาดแผลอันนั้นจะไม่มีวันได้แห้งหายเสียแล้ว เพียงแค่คนตรงหน้า ได้เอ่ยถามถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“ทำไมเหรอ แล้วตอนนี้แม่เธอออกจากโรงพยาบาลบ้ารึยัง”
มือข้างหนึ่งของคนถูกถามที่เคยกำแน่นกระเป๋านักเรียนแน่น คลายมือออกทันใดจนกระเป๋านักเรียนใบโตตกสู่พื้น หลังจากนั้น มนัญชยาก็ถลาเข้าไปผลักคนช่างถามให้ล้มลงไปตรงหน้าทันที
“อ่ะ โอ๊ย!”
เห็นทั้งพี่ชายและพี่สะใภ้ขับรถกลับเข้ามาพร้อมๆ กัน นนทัชที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาและกำลังยืนเตร็ดเตร่รับลมเย็นๆ ของสายลมยามเย็นในสวนสวยๆ ก็รีบสาวเท้าตรงดิ่งเข้าไปที่คนทั้งสองที่กำลังก้าวลงจากรถตามลำดับ
“วันนี้ตอนบ่ายๆ ผมแวะเข้าไปที่บริษัทเห็นพี่กำลังขับรถออกจากบริษัท ทำไมพี่รีบออกจากบริษัทล่ะครับ”
นนทัชรีบถามถึงเรื่องหนึ่งด้วยความสงสัยทันที ด้วยแปลกใจว่า วันนี้ตอนบ่าย ก่อนที่ตนจะแวะไปเรียน ก็ได้แวะเข้าบริษัทเห็นพี่ชายของตนดูเหมือนรีบร้อนออกจากบริษัทไป
“มีอะไรรึเปล่าครับ พี่มน?”
พี่ชายยังไม่ทันได้เอ่ยตอบคำถามเลย ด้วยความร้อนใจ นนทัชก็หันหน้าไปถามพี่สะใภ้ และยิ่งอยากรู้ขึ้นมาอีกเป็นกองยามที่เห็นทั้งพี่ชายตนและพี่สะใภ้มองหน้ากันไปมา ราวกับว่าเรื่องที่ตนถามอยู่นี่ต้องมีที่มาที่ไปยาวแน่ๆ
“คือ ตอนสาย โรงเรียนของหนูฝ้าย โทรมาแจ้งจากที่โรงเรียนว่าเกิดเรื่อง..”
“แล้ว…” หัวคิ้วเข้มๆ ของนนทัชขมวดเข้าด้วยกันน้อยๆ รอฟังเรื่องราวจากปากพี่สะใภ้เสียดิบดี แต่ยังชุติมนยังไม่ทันได้เอ่ยเล่าต่อ คนเป็นสามีก็เป็นคนมาแตะร่างเธอและร่างของนนทัชเบาๆ เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เข้าไปนั่งคุยกันตรงนั้นดีกว่า”
เมื่อธีริทธ์พาภรรยาและน้องชายมานั่งตรงชุดม้านั่งภายใต้ซุ้มพันธ์ไม้เลื้อยที่ออกดอกสะพรั่งไปทั่ว จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนของมนัญชยาให้ นนท์ทัชฟังคร่าวๆ แถมท้ายด้วยเรื่องที่ตนและภรรยาได้ปรึกษาหารือกันทันทีหลังจากรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนของมนัญชยา
“ ที่จริงเรื่องที่ฝ้ายผลักเพื่อนนักเรียนด้วยกันในโรงเรียน มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอกที่จะทำให้พี่สองคนอยากจะย้ายหนูฝ้ายออกจากโรงเรียนนั้น..”
“เพราะว่า อะไรครับพี่” ธีริทธ์ถามแทรกด้วยความสนใจ
“เพราะ เราสองคนปรึกษากันว่า จะย้ายหนูฝ้ายไปเรียนที่เดียวกับยัยเพลิน มันยากเกินไปที่จะให้ฝ้ายกลับไปเรียนที่มีสภาพแวดล้อมเดิมๆ คือ ที่พี่สองคนทำแบบนี้ ก็ เพียงแค่อยากให้เธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆ เสียที กับครอบครัวใหม่ของพวกเราเอง”
นนท์ทัช พยักหน้ารับทราบเรียบๆ ตามคำบอกเล่าของพี่สะใภ้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามเรียบๆ “แล้วนี่ยัยตัวยุ่งของเรา รู้รึยังนี่ว่าจะได้เพื่อนใหม่ ไปเรียนด้วยกัน”
“ยังเลยแต่เดี๋ยวก็คงรู้แล้วล่ะ คงดีใจที่มีเพื่อนใหม่”
ฟังคำพูดของพี่สาวนนท์ก็เพียงแค่ยิ้มที่มุมปากรับ และคิดตามไปด้วยว่า ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น หลานสาวของตนอาจจะดีใจก็ได้ที่จะได้เพื่อนใหม่ในห้องเรียนมาอีกหนึ่งคน
(มีต่อค่ะ)
แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 55 00:46:39
จากคุณ |
:
พิณพลอย
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ม.ค. 55 20:55:15
|
|
|
|