Change the Fate ปาฏิหาริย์เปลี่ยนรัก บทที่ 2 + บทที่ 3
|
 |
สวัสดีครับ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาชี้แนะในกระทู้ที่แล้วนะครับ ทำให้ผมได้เห็นข้อบกพร่องที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน ขอบคุณจริงๆ ครับ
**นิยายเรื่องนี้ ไม่ใช่นิยาย Yaoi นะคร้าบ (มีหลายคนเข้าใจผิด เลยขอแจ้งอีกที ^_^)**
บทนำ + บทที่ 1 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11537280/W11537280.html
===================================
[ 2 ] เด็กหนุ่มปริศนา
รุ่งอรุณของวันจันทร์มาถึงอย่างรวดเร็วจนน่าจับตีก้นนัก
ผมลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้าเรียนตามปกติ สายตาทอดมองร่างไอ้ชินที่กำลังนอนแผ่หรากรนเสียงดังบนเตียงอย่างระเหี่ยใจ
มันคงโดดเรียนชัวร์ๆ แล้วสินะเนี่ย
ผมแง้มเปิดประตูห้องนอนอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องของไอ้ซีกับไอ้เรน แล้วก็พบว่าเจ้าของห้องทั้งสอง กำลังนอนเกาพุงแกรกๆ อยู่ ส่วนท่านอนนี่ดูแทบไม่ได้เลย ขออนุญาตไม่บรรยายก็แล้วกัน…
ดูจากรูปการณ์แล้ว ท่าทางผมจะโดนปล่อยเกาะอย่างเป็นทางการอีกแล้วสินะ
ผมจำใจเดินออกจากหอแล้วเดินไปขึ้นรถรางของมหา’ลัย ซึ่งมีลักษณะคล้ายรถเมล์ขนาดเล็ก แต่ให้บริการฟรีแก่นักศึกษา ผมกระโดดขึ้นไปยืนจับราวอย่างสุภาพบุรุษ (ความจริงคือที่นั่งมันเต็มน่ะ)
“หวัดดีจ้ะ คิน”
เสียงหวานใส เอ่ยทักขึ้นทำเอาผมสะดุ้งโหยง พอหันไปทางต้นเสียงก็พบ ‘อลิส’ ดาวคณะของผมเอง เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งเก่ง แถมยังมีรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ จนใครเห็นก็ต้องหลงรัก
ผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นเหมือนกัน…
“ดีครับ อลิส” ผมทักตอบเธอเพียงเท่านั้น ก็ไม่รู้จะคุยอะไรต่อนี่หว่า ที่น่าขนลุกคือเหล่าชายฉกรรจ์ซึ่งนั่งๆ ยืนๆ อยู่ใกล้ๆ ผม ต่างพากันจ้องหน้าผมเขม็งเลย นี่ถ้าผมเผลอชวนเธอคุยนี่ คงโดนยำเละเป็นโจ๊กแน่ๆ
แต่แปลกแฮะ ทำไมเธอไม่ไปนั่งที่ล่ะ มายืนโหนราวโยกเยกกับผมทำไม ถ้าเธอทำทีท่าว่าจะนั่งแล้ว ผมพนันได้เลยว่าเหล่าชายฉกรรจ์เหล่านั้นจะต้องรีบสละที่นั่งให้เธอเป็นแน่แท้
“ทำไมคินมาเรียนคนเดียวล่ะ?”
“พอดีเพื่อนผม มันพร้อมใจกันโดดครับ” ผมยิ้มแหะๆ ตอบเธอ พลางเกาศีรษะแก้เขินไปด้วย
“จริงเหรอ เหมือนเราเลย เมื่อวันเปิดเทอมเพื่อนเราก็โดดกัน ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีคนมาเรียนด้วยมั้ย เราสองคนนี่ เหมือนลงเรือลำเดียวกันเลยนะ”
เธอเอ่ยยิ้มๆ พลางกระชับกอดแฟ้มเอกสารในอ้อมอก มือขาวเนียนข้างที่จับราวอยู่นั้นค่อยๆ ปล่อยออกมาทัดผมยาวสยายสีน้ำตาลอ่อนที่ปลิวปรกข้างแก้มไว้ที่หูครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมขึ้นไปจับราวอีกครั้ง ทุกท่วงท่าของเธอช่างอ่อนหวานดูมีเสน่ห์จริงๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตของเธอก็เป็นประกายสวยมาก…
นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโต??
แล้วไหงภาพเจ้าหมอนั่นถึงโผล่เข้ามาซ้อนทับกับอลิสได้ล่ะ… ออกไปจากหัวฉันเดี๋ยวนี้นะเฮ้ย!
ผมคิดพลางหลับตาปี๋สะบัดหน้าพยายามไล่ภาพหมอนั่นออกจากหัว
“เป็นอะไรไปน่ะ ฝุ่นเข้าตาเหรอ?” อลิสเอียงคอเอ่ยถาม คงเพราะเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของผมเข้า
“เปล่าครับ แหะๆ” ผมตอบพลางเกาศีรษะอีกครั้ง พยายามเสหน้าหลบดวงตากลมโตของเธอ… มันสวยจนใจของผมเต้นลีลาศได้เลยทีเดียว
“คินเนี่ย เป็นคนตลกอย่างที่คิดเอาไว้เลย” ดาวคณะหัวเราะคิก เรียวปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสีหวาน ระบายยิ้มน้อยๆ
โอ้ แม่เจ้า… ทำไมมีนางฟ้ามายืนบนรถรางได้เนี่ย นางฟ้าต้องกางปีกสีขาวบริสุทธิ์บินเอาไม่ใช่หรือไง แล้วบนหัวก็ต้องมีวงแหวนสีทองลอยเด่นเป็นสง่าอยู่ด้วย…
โว้ย… เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว ไอ้ภาคิน!!
แล้วทำไมจู่ๆ เธอถึงมาชวนผมคุยได้นะ ทั้งๆ ที่สามปีที่ผ่านมา เราไม่เคยพูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ
หรือเพราะว่าก่อนหน้านี้ผมคบอยู่กับเพื่อนของเธอนะ?
ผมคบกับ ‘คุกกี้’ เพื่อนของอลิสมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งแล้ว เราสองคนทำกิจกรรมของคณะร่วมกันบ่อยจนสนิทสนมกัน…
แล้วในขณะที่เราสองคนกำลังช่วยกันทาสีห้องน้ำโรงเรียน ตอนไปออกค่ายอาสาพัฒนาโรงเรียนที่ต่างจังหวัดอยู่นั่นเอง ผมก็ตัดสินใจขอเธอเป็นแฟน…
เธอดูกึ่งอึ้งกึ่งขำ คงไม่รู้ว่าจะหัวเราะออกมาหรือเอ่ยตอบรับดี จนผมต้องย้ำความรู้สึกออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอเงียบไปสักพัก ผิวแก้มเริ่มแดงก่ำ ในที่สุดเธอก็พยักหน้าตอบผมอย่างเขินอาย
ไชโย!! ผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาแล้ว
ช่วงนั้นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผม มันกลายเป็นสีชมพูไปหมดเลย ท้องฟ้าสีชมพู อาจารย์สีชมพู โดราเอม่อนสีชมพู ขบวนการห้าสีกลายเป็นขบวนการสีชมพู ขนาดหน้านักการเมืองในสภาผมยังเห็นเป็นสีชมพูเลย (เฮ่ยๆ)
อย่างที่หลายคนเคยบอกเอาไว้ไม่มีผิด ว่าความรักนั้นเป็นเหมือนดั่งเวทมนตร์ สามารถดลบันดาลให้โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพูได้
ตอนนั้นผมมีความสุขมากจริงๆ อมยิ้มเป็นคนบ้าได้ทั้งวัน เราสองคนเดินทางไปเรียนด้วยกัน นั่งเรียน นั่งกินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ไม่เจอหน้าก็โทรศัพท์คุยกัน มี sms หวานๆ ส่งถึงกันทุกคืน
เฮ่อ… แต่ชีวิตคนเราพอมีความสุขได้สักพัก ความทุกข์ก็ย่อมมาเยือนเป็นธรรมดา
คุกกี้แอบไปมีกิ๊กครับ!
หมอนั่นเป็นเดือนคณะวิศวะฯ ทั้งรวย ทั้งหล่อขั้นเทพ ขับรถเก๋งคันเท่มาเรียนทุกวัน ผลการเรียนก็สูงโด่งกำลังลุ้นเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอยู่ แถมยังเป็นนักกิจกรรมตัวยง เรียกได้ว่าเป็นที่หมายปองของสาวๆ (ส่วนจะเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ ด้วยหรือเปล่า อันนี้ผมไม่แน่ใจนะ…)
หมอนั่นท่าทางจะรักคุกกี้มาก ทุ่มสุดตัวซื้อโน่นซื้อนี่ให้ตลอด ตั้งแต่ต่างหูเล็กๆ ยันอุปกรณ์สื่อสารราคาแพง แถมยังแอบพาเธอไปเที่ยวในเวลาที่ผมกำลังตั้งใจอ่านหนังสือสอบอยู่ด้วย (มีผู้หวังดีคาบข่าวมาบอกน่ะ…)
ผมไม่โวยวายอะไรทั้งนั้นแหละ ตอนที่เธอก้มหน้าก้มตาบอกเลิกผมในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา เพราะผมรู้ตัวเองดี… รู้ว่าผมคงไม่สามารถทำให้เธอมีความสุขแบบนั้นได้
สู้ปล่อยเธอไปที่ชอบ… เฮ่ย! ไปมีความสุขดีกว่า แค่ได้เห็นเธอมีความสุข ผมก็ดีใจแล้วล่ะ…
“คิน… คินจ๊ะ ถึงอาคารเรียนแล้วนะ”
เสียงหวานใสของอลิสช่วยปลุกผมให้ตื่นจากห้วงอดีตอันน่าหลั่งน้ำตา ผมรีบเดินตามเธอลงจากรถราง แล้วก็พบคุกกี้ยืนอยู่ตรงจุดจอดรถพอดี
เป็นการพบกันครั้งแรก หลังจากที่เธอบอกเลิกผม
“หวะ… หวัดดี คุกกี้!” ผมเอ่ยทักเธอด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อย เราสองคนก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้นี่นา
“…อลิสๆ เรารีบเข้าเรียนกันเถอะ สายแล้วนะ”
พูดจบ คุกกี้ก็คว้าแขนของอลิส แล้วออกแรงดึงให้เพื่อนของเธอรีบเดินตามเธอไป อลิสหันมามองหน้าผมครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามคุกกี้ไปอย่างว่าง่าย
ผมถอนหายใจ รู้สึกเจ็บแปลบเล็กๆ ก่อนจะสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความเศร้าหมองออกไป ยกมือขึ้นกระชับกระเป๋าสะพายข้างแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังอาคารเรียน อากาศยามเช้าของเดือนมิถุนายนกำลังร้อนอบอ้าวได้ที่ เล่นเอาเหงื่อผมชุ่มเสื้อเชิ้ตเลย ผมจึงเดินไป กระพือเสื้อคลายร้อนไปด้วย แต่แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับใบหน้าของใครคนหนึ่งเข้า ร่างนั้นแอบอยู่ที่มุมอาคารเรียน และกำลังจ้องมองมาทางผมอย่างตั้งใจ
เมื่อสบตากับผมเท่านั้นแหละ ร่างนั้นก็รีบวิ่งหนีไปทางด้านหลังอาคารเรียนทันที
ซวยอะไรวะเนี่ย! หลังจากที่ถูกแฟนเก่าเมิน ก็มาโดนไอ้โรคจิตแอบตามงั้นเรอะ!! ผมคิดอย่างหงุดหงิดใจ ทิ้งเรื่องเข้าเรียนไว้แล้วรีบวิ่งตามร่างนั้นไปทันที ผมวิ่งไล่ร่างตรงหน้าไปเรื่อยๆ จนมาถึงลานจอดรถด้านหลังอาคาร ผมรีบเร่งฝีเท้าตามเขาจนทันแล้วคว้าแขนของเขาเอาไว้ได้ แขนเล็กๆ ของเขาเมื่อถูกมือที่ใหญ่กว่าอย่างผมจับได้ ก็ขยับหนีไปไหนไม่ได้อีกเลย
เฮ่ย! เจ้าหมอนี่มัน…
ผมตะลึงจนตาเบิกกว้าง ร่างตรงหน้า คือเด็กหนุ่มร่างเล็กผอมบาง สูงแค่ประมาณอกของผมเท่านั้น ผิวขาวเนียนละเอียด เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนซอยยาวประบ่า นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตเป็นประกาย ในชุดนักศึกษาชาย… เสื้อเชิ้ตสีขาวหลวมโครก กางเกงสแลคสีดำตัวใหญ่จนคล้ายกางเกงฮิปฮอป
“นาย เมื่อตอนนั้นนี่หว่า”
“ขะ… ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มใบหน้าคุ้นเคยเอ่ยเสียงสั่น แล้วก้มหน้าหลบตาผมทันที
“ขอโทษอะไรเล่า!!”
เจอปฏิกิริยาตอบกลับแบบนี้ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่ หมอนี่ขอโทษผมทำไมกัน หรือว่า เขาจะรู้สึกผิดกับเรื่องที่แกล้งผมตอนวันเกิดเพื่อแลกกับเงินจำนวนนั้น
แต่ร่างตรงหน้าไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาเลย ยังคงก้มหน้าก้มตาพร้อมกับหายใจหอบแฮกๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อนอยู่อย่างนั้น
“นายชื่ออะไร เรียนอยู่คณะไหนเหรอ?”
“ผมชื่อ ‘คิน’ ครับ อยู่คณะ… มนุษย์ศาสตร์”
“นี่อย่ามาย้อนฉันเล่นนะเฟ้ย เจ้าเด็กบ้า”
ผมจับไหล่ของร่างเล็กตรงหน้าแน่นแล้วเขย่าอย่างกึ่งหงุดหงิดกึ่งสับสน เจ้าหมอนี่มันตั้งใจล้อผมเล่นหรือไง หรือว่าเขาฟังผิด เข้าใจว่าผมถามคำถามเกี่ยวกับตัวผมแทน
“ฉันถามถึงตัวนาย ไม่ใช่ฉันสักหน่อย”
“ก็… ผมชื่อคินจริงๆ นี่ครับ” ร่างตรงหน้าตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“แล้วชื่อจริงของนาย ชื่อว่าภาคินด้วยหรือเปล่านั่น?” ผมแกล้งถามขำๆ อยากรู้นักว่าจะล้อเล่นอะไรกับผมอีก
“เปล่าครับ…” เขาส่ายหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ “…ผมชื่อ ‘อคิน’ ครับ”
“อคิน??”
“ครับ”
โธ่! ก็แค่บังเอิญมีชื่อเล่นเหมือนกันก็เท่านั้นเอง ผมจะไปคิดมากทำไมเนี่ย
“แล้วตอนนี้เรียนอยู่ปีไหนล่ะ ทำไมไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนเลย”
“อยู่ปีหนึ่งครับ แต่ผมไม่ค่อยได้เข้าเรียนหรอกฮะ” เขาตอบเสียงเบาๆ และก้มหน้าก้มตาหลบผมอีกครั้ง “คือผม… อยากจะขอโทษพี่อีกครั้ง… เรื่องเมื่อวันนั้นน่ะครับ”
“เรื่องนั้นช่างมันเหอะน่า ไอ้เจ้าบ้าพวกนั่นก็เหลือเกิน เล่นอะไรพิเรนทร์ๆ ได้ตลอด มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอก อย่าคิดมากเลย”
ผมพูดยิ้มๆ พลางลูบศีรษะเขาอย่างเอ็นดู ถึงปากเจ้าหมอนี่จะบอกว่าอยู่ปีหนึ่งก็เถอะ แต่ไหงหน้าอ่อนตัวเล็กเหมือนเด็กมัธยมแบบนี้ล่ะ… ไม่ทราบว่ากินรังนกแทนนมสดทุกวันหรือไง ไอ้คุณน้อง?
แล้วทำไมต้องทำหน้าแดงแบบนั้นด้วยเนี่ย โว้ย! ไม่ลูบก็ได้
“เดี๋ยวฉันต้องเข้าเรียนแล้วล่ะ โชคดีนะไอ้น้อง” ผมกล่าวอำลาพลางโบกไม้โบกมือให้เขา ก่อนจะหันหลังเดินกลับอาคารเรียน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเดินฉับๆ ตามหลังผมมาด้วย
“จะตามมาทำไมเล่า ปีหนึ่งไม่มีวิชาเรียนที่ตึกนี้สักหน่อยนี่” ผมหันกลับไปถามอย่างกะทันหัน ทำเอาร่างที่ตามมาสะดุ้งโหยง
เจ้าหมอนี่เป็นกระต่ายหรือไง ทำไมถึงดูตื่นกลัวอะไรง่ายจัง?
“ผมขอไปนั่งเรียนด้วย… ได้ไหมครับ?” กระต่ายน้อยตื่นตูมผมน้ำตาล ก้มหน้าก้มตาถามผม
“หา? นี่ฉันอยู่ปีสี่แล้วนะ นายจะมานั่งเรียนกับฉันได้ไง บ้าหรือเปล่า” ผมถามพลางเกาศีรษะแกรกๆ อย่างงงๆ
“ก็ผม… ไม่มีเพื่อนนั่งเรียนด้วยนี่ฮะ…”
ดูท่าทางจะมีปัญหากับเพื่อนมาสินะ ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้
“เอ้า ก็ได้ ฉันเองก็ไม่มีเพื่อนนั่งเรียนด้วยเหมือนกัน ป่ะ งั้นรีบไปกันเถอะ สายแล้วนะ”
แล้วผมก็ต้องทำตัวประดุจพี่เลี้ยงเด็กจนได้สิน่า หมอนี่เดินตามผมต้อยๆ อย่างว่าง่ายเลย แถมไม่ค่อยพูดค่อยจาด้วย มองๆ ดูแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนกระต่ายดีแฮะ
ดูท่าทางอาจารย์คงสอนไปได้สักพักแล้ว ผมจึงพยายามเดินเข้าไปในห้องบรรยายขนาดใหญ่อย่างเงียบกริบ เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของอาจารย์และรบกวนเพื่อนร่วมคณะ สายตากวาดหาที่นั่งว่างๆ ด้านหลังห้อง แต่เพื่อนร่วมคณะดันหันมามองผมกันใหญ่เลยนี่สิ ผมรู้ดีว่าที่พวกมันมองมานั้นไม่ใช่เพราะผมหน้าตาดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาหรืออะไรเทือกนี้เป็นแน่ แต่พวกมันคงมองเพราะผมหิ้วหมอนี่มาเรียนด้วยชัวร์ป้าบ
หวังว่าคงไม่เข้าใจผิดกันไปไกลนักนะ…
แอร์ในห้องเย็นฉ่ำจนเสื้อชุ่มเหงื่อของผมแห้งเป็นที่เรียบร้อย ผมนั่งจดไป ปิดปากหาวไปด้วย ระหว่างที่ผมกำลังนั่งจดยิกๆ อยู่นั่นเอง ผมก็หันไปมองร่างข้างๆ ดูว่าหลับไปแล้วหรือยัง ก็ปรากฎว่าเขายังไม่หลับ… แต่นั่งเท้าคาง สายตาเหล่มองมาทางผมอย่างตั้งใจ
“มองอะไร ไอ้น้อง”
“ขะ ขอโทษครับ” เขาพูดตะกุกตะกักราวกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับได้ว่ากำลังเล่นซนยังไงยังงั้น
คุณงงเหมือนผมมั้ยครับ…? ส่วนผมนี่งงสุดๆ เลยล่ะ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าหมอนี่กำลังคิดอะไรอยู่ แล้วผมก็ไม่อยากจะเดาส่งเดชด้วย… แต่ดูเหมือนคำตอบที่ใช่มันดันมีแค่อย่างเดียวนี่สิ…
ไม่เอาน่า เดี๋ยวคำตอบอื่นที่ดีกว่าและไม่ติดเรทก็คงตามมาเองแหละ
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน”
อาจารย์ประจำวิชาเก็บเอกสาร กระแทกลงโต๊ะดังปึกๆ แล้วเดินออกจากห้องไป เพื่อนร่วมห้องพากันเก็บของเตรียมตัวไปกินข้าวกลางวันกัน แต่ก็มีหลายคนทีเดียวที่เดินมาทักทายผม
“เอ้านี่ สุขสันต์วันเกิดเว้ย”
ไอ้ป็อป เพื่อนที่เคยร่วมทีมฟุตบอลคณะมาด้วยกัน ยื่นหนังสือธรรมะให้ผม (แล้วทำไมต้องหนังสือธรรมะเล่า!) แล้วกล่าวอวยพรวันเกิด จากนั้นก็มีเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะเดินมาอวยพรผมด้วย
“เราเพิ่งรู้เองว่าเมื่อวันเสาร์เป็นวันเกิดของคิน สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะ” อลิสเดินมาอวยพรผมด้วยรอยยิ้ม
แค่การได้พูดคุยกับเธอเมื่อเช้านี้ ก็นับว่าเป็นของขวัญชิ้นเยี่ยม หาใดเปรียบแล้วล่ะคร้าบ!
“ว่าแต่… หนุ่มน้อยคนนี้ใครเหรอคิน น่ารักจัง”
ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยอะไร ก็ต้องชะงักค้างกับภาพที่เห็น…
เจ้าหนุ่มน้อยที่บังอาจมีชื่อเล่นซ้ำกับผม กำลังเบิกตากว้างจ้องมองหน้าอลิสด้วยสีหน้าตกตะลึง พวงแก้มขาวๆ ของเขาค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆ
แล้วนั่น! เจ้าเด็กบ้า แกไปจับมือเธอทำไมหา! เห็นท่าทางสุภาพเรียบร้อยหงิมๆ แบบนั้น ที่แท้ มีนิสัยชอบแต๊ะอั๋งสาวหรอกหรือเนี่ย… แล้วแต๊ะสาวไหนไม่แต๊ะ ดันเจือกแต๊ะนางฟ้า…
ฮึ่ม! ตาถึงมือถึงจริงๆ นะ เจ้าหนู
“มีอะไรหรือจ๊ะ?” อลิสถามยิ้มๆ พลางมองมือของเธอ ที่ถูกเจ้าเด็กบ้านั่นจับอยู่อย่างแปลกใจ
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ ขะ… ขอโทษนะครับ” นายคินผมน้ำตาล ก้มหน้าที่แดงเรื่อลง ก่อนจะรีบปล่อยมือออกจากมือของอลิสทันที
นี่มันทริคหลอกจับมือสาวจากสำนักไหนวะเนี่ย จะแนบเนียนเกินไปแล้วนะ เจ้าเด็กบ้า! ผมคิดอย่างฉุนๆ ความรู้สึกเอ็นดูที่มีต่อหมอนี่ลดฮวบลงทันที
“เราชื่ออลิสนะ เธอชื่ออะไร?”
“…อลิสที่มาจาก ‘อลิสา’ ใช่มั้ยครับ…”
“ใช่แล้ว เราชื่ออลิสา เธอนี่เดาเก่งจังเลย… ว่าแต่เธอล่ะชื่ออะไร จะไม่บอกกันหน่อยเหรอ”
“ผมชื่อคิน เรียนอยู่ปีหนึ่งครับ แต่เบื่อๆ ก็เลยมานั่งเรียนกับพี่คินด้วย”
เจ้าเด็กบ้าเอ่ยตอบ ริมฝีปากขยับยิ้มน้อยๆ น่าเอ็นดู… หนอย! ฉันรู้ทันหรอกน่า ว่านายกำลังพยายามสร้างความประทับใจให้เธออยู่
“อ้าว ชื่อเดียวกันเลยเหรอเนี่ย สองคนนี้ แบบนี้เวลาเรียกคงสับสนแย่เลย”
ผมเกิดก่อนมันนะครับอลิส ผมต้องมีสิทธิในชื่อนี้มากกว่ามันเซ่ ผมได้แต่ทักท้วงในใจ
“งั้นเอาแบบนี้ดีมั้ยคิน เราจะเรียกเธอว่า ‘คินใหญ่’ ส่วนคินคนนี้เราจะเรียกว่า ‘คินน้อย’ เธอคิดว่าไง” อลิสเสนอ แล้วส่งยิ้มกว้างให้ผมกับเจ้าหมอนี่
เหวย! ชื่ออะไรครับเนี่ย พิลึกกึกกือจริงๆ ให้ดิ้นตาย ผมอยากจะสบถออกไปอยู่หรอก แต่ปากดันพะงาบๆ ตอบออกไปแค่ว่า “อ่า… ก็ดีนะ” แทนเสียนี่…
ก็ถ้าตอบว่าไม่ นางฟ้าคงเสียใจแย่เลย
ด้วยเหตุนี้เอง ผมเลยได้ชื่อใหม่แกะกล่องว่า ‘คินใหญ่’ ฟังดูทะ:-)ๆ ยังไงชอบกลแฮะ นี่ถ้าพวกรูมเมทรู้เข้าคงหัวเราะก๊ากใส่หน้าผมเป็นแน่แท้ ไม่ก็ถามว่า “อะไรใหญ่วะแก” แหงมๆ
ทั้งหมดทั้งปวงนี่เป็นเพราะไอ้เปี๊ยกหน้าหวานนี่คนเดียวเลย!
หลังจากอลิสลาไปกินข้าวแล้ว ผมก็รีบเก็บของ แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันทีโดยไม่คิดจะรอเจ้าเด็กบ้าจอมแต๊ะอั๋งเลย
วันนี้จะกินอะไรดีหว่า เย็นตาโฟ… ข้าวมันไก่… หรือจะกินอาหารญี่ปุ่นดี เหย ไม่เอาดีกว่าร้านนั้นคิวยาวจะตายชัก เอาอาหารตามสั่งแล้วกัน
ตึก… ตึก…
จากที่ผมก้าวเท้าสั้นๆ อย่างเชื่องช้า ผมลองก้าวเท้ายาวๆ และเร่งสปีดในการเดินให้เร็วขึ้น
ตึก! ตึก! ตึก!
ผมลอบถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา เจ้าเด็กบ้านั่นเดินตามผมมาด้วย ไม่รู้จะตามมาทำไม
“เฮ้ย! นี่” ผมหยุดเดินอย่างกะทันหันแล้วหันขวับไปมองด้วยสายตาคมกริบ ทำเอาบุคคลที่เดินตามมาถึงกับชะงัก “ถามจริงๆ เถอะ นายมาเดินตามฉันทำไม ถ้ามีธุระอะไรก็ว่ามาเลย” ผมถามอย่างเหลืออด ไม่อยากจะมาคิดเอง เออเอง สยองเอง อีกต่อไปแล้ว สู้รับฟังความจริงไปเลยดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้เคลียร์ให้มันจบๆ ไปเลย
“ขะ ขอโทษครับ”
“ขอโทษอะไรนักหนา ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“ขอโทษ… ที่ทำให้พี่รำคาญใจ” คินน้อยเอ่ยเสียงแผ่ว ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง แล้วก้มหน้าหงอยๆ ลงอย่างรู้สึกผิด
ผู้ชายอะไรเนี่ย! มีมารยากับเขาด้วย เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นตัวเป็นๆ นี่แหละ
“เออ นายจะไปไหนก็ไป ไป มาเดินตามอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัด!” ผมขึ้นเสียงไล่อย่างหงุดหงิดใจ แล้วหันหลังก้าวเท้ายาวๆ เพื่อเดินหนีเขา
ตึก… ตึก…
เฮ่อ… ผมไม่เข้าใจเลย เจ้าตัวก็บอกว่ารู้ตัวเองดีแล้ว แถมผมเองก็ออกปากไล่ซะขนาดนั้นแล้วด้วย แต่ทำไมเขายังเดินตามผมมาอีก นี่ท่าทางจะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วนะ
ผมคิดอย่างหัวเสีย อารมณ์เริ่มคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ผมหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับไปอีกครั้ง เตรียมจะชกไอ้หมอนี่สักเปรี้ยง จะได้ลาขาดกันซะที
ทว่าผมก็ต้องเปลี่ยนใจทันที เมื่อเห็นภาพตรงหน้า…
“เดี๋ยวสิ นี่นายร้องไห้ทำไมเนี่ย?” ผมทั้งงงทั้งสับสน แล้วก็รู้สึกสงสารหมอนี่ขึ้นมาจับใจ บ่าของเขาสั่นเทาและกระตุกตามเสียงสะอื้น หยาดน้ำใสๆ ไหลอาบสองข้างแก้ม
หมอนี่ร้องไห้ทำไมกัน เพราะผมตวาดใส่งั้นหรือ… บ้าน่า…
แล้วทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเนี่ย…
ผมเดินไปตบหลังเขาเบาๆ ก่อนจะคว้าแขนเขาไว้แล้วพาเดินออกไปนั่งที่โต๊ะหินนอกอาคาร คินน้อยยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด ทำเอาผมรู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีก
“เอ้า นี่ทิชชู่… หยุดร้องได้แล้ว” ผมยื่นกระดาษทิชชู่ให้ คินน้อยรับไว้ แล้วสั่งน้ำมูกดัง “ปรื้ด~”
“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?” ผมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มของเขาเบาๆ ความรู้สึกเอ็นดูที่แผ่ซ่านอยู่ในใจของผมตอนนี้ มันมาจากไหนกันนะ
“ขอบคุณฮะ” เขาเอามือปาดเช็ดน้ำตาจนขอบตาแดงช้ำ แล้วส่งยิ้มน้อยๆ ให้ผม
“แล้วตกลงจะบอกได้หรือยัง ว่านายมาตามฉันทำไม หรือเพราะทะเลาะกับเพื่อน หรือยังไง นี่ฉันงงกับพฤติกรรมแปลกๆ ของนายเต็มทนแล้วนะ มีอะไรก็พูดออกมาสิ” ผมถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแกมดุ คินน้อยสะอึกเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลง
“ก็ผม… อยากอยู่ข้างๆ พี่… นี่ครับ…” เขาตอบด้วยเสียงที่เบาลงเรื่อยๆ จนแทบไม่ได้ยิน ก่อนจะลุกขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงเรื่อเงยขึ้นสบตาผม
“ขอโทษนะฮะ… ที่ทำให้พี่รำคาญใจ… ต่อจากนี้ไป ผมจะไม่มากวนใจพี่อีกแล้ว”
เขาว่า แล้วโค้งศีรษะให้ผมอย่างสุภาพ จากนั้นก็หันหลังสาวเท้ายาวๆ เดินจากผมไปทันที ทิ้งปริศนามากมายให้ผมครุ่นคิด…
นี่นายทำให้ฉันงงหนักกว่าเก่าอีกนะ นายคินน้อย!
=================================
[ 3 ] พ่อ
ผมอาศัยอยู่กับคุณแม่ คุณตา และคุณยาย ในบ้านอบอุ่นหลังเล็กๆ
แม่ของผมเป็นคนที่สวยมาก ทั้งสวย ทั้งใจดี และทำอาหารอร่อย จนเพื่อนของผมที่มาเที่ยวบ้านทุกคนอดเอ่ยชมไม่ได้เลย
คุณแม่รักผม และใจดีกับผมมาก คุณตากับคุณยายเองก็เช่นกัน ผมอยากกินอะไร อยากได้ของเล่นอะไร ท่านก็ให้ผมทุกอย่าง ไม่เคยดุด่า หรือตีผมเลยสักครั้ง
คุณคงคิดว่า ผมเป็นเด็กที่โชคดี น่าอิจฉาใช่มั้ยครับ?
เปล่าเลย คุณมีบางอย่าง ที่ผมไม่มี…
ทุกครั้งที่ผมออกไปนอกบ้าน แล้วเห็นครอบครัว ที่ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก
ผมอดที่จะอิจฉาพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เลย
ผมพยายามสร้างภาพในจินตนาการอยู่บ่อยครั้ง หากพ่อจูงมือซ้าย แม่จูงมือขวาของผม แล้วเราสามคนเดินไปด้วยกัน…
มันจะรู้สึกยังไงนะ?
ถึงจะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ชั่วชีวิตนี้ ผมคงไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นหรอก
จิตใจของผม มันไม่ต่างอะไรกับแก้วที่มีรูรั่ว… น้ำเปรียบเสมือนความสุข… ไม่ว่าจะรินมันลงในแก้วมากเพียงใด มันก็มีแต่จะไหลออก
…ไม่มีวันเต็ม…
ถึงแม้ภายนอกผมจะเป็นเด็กที่ร่าเริง ยิ้มแย้ม แจ่มใส แต่ภายในใจของผม มันกลับรู้สึกเหงา ว้าเหว่เหลือเกิน
ผมอยากมีพ่อเหมือนอย่างคนอื่นๆ
อยากพูดคุยกับพ่อ เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผมพบเจอให้พ่อฟัง อยากหัวเราะด้วยกัน อยากกระโดดขึ้นขี่หลังของพ่อ อยากเล่นฟุตบอลกับพ่อ อยากให้พ่อเล่านิทานให้ฟัง อยากให้พ่อลูบหัว อยากให้พ่อกอด อยากหอมแก้มพ่อแล้วเอ่ยราตรีสวัสดิ์… เหมือนที่คนอื่นๆ ได้ทำกัน
ผมมักวอนขอต่อฟากฟ้าและดวงดาว… ว่าสักวันหนึ่ง ขอให้ผมมีโอกาสได้พบกับพ่อของผม ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ตาม
ฮะๆ ฟังดูเหมือนคนบ้าเลย
แม่เล่าเรื่องของพ่อให้ผมฟังน้อยมาก บอกเพียงแค่ว่าแม่กับพ่อเรียนอยู่คณะเดียวกันในมหาวิทยาลัยเดียวกัน พ่อของผมมีชื่อว่า ‘ภาคิน’
พ่อเสียชีวิต ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
แม่เล่าว่าในตอนนั้น พ่อของผมอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง… ทำไมพ่อถึงจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียงแค่นั้นนะ มันฟังดูโหดร้ายเหลือเกิน
นอกจากข้อมูลอันน้อยนิดที่แม่เล่าให้ผมฟังแล้ว ก็มีเพียงรูปถ่ายใบเล็กๆ เพียงใบเดียวที่หลงเหลืออยู่ รูปถ่ายของพ่อที่สวมเสื้อนักกีฬาฟุตบอลสีน้ำเงิน มือหนึ่งถือลูกฟุตบอล อีกมือหนึ่งชูสองนิ้วแล้วฉีกยิ้มกว้าง
มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเหลือเกิน พ่อของผมคงเป็นคนขี้เล่นและใจดีมากเลย
เวลาผมเหงา ผมจะหยิบภาพของพ่อออกมาดู…
แปลกดีนะ มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจได้อย่างน่าประหลาด
ผมพยายามถามแม่ถึงเรื่องราวของพ่อ ก็ผมอยากรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวกับพ่อนี่นา ยิ่งมากก็ยิ่งดี แต่แม่กลับไม่ยอมบอกผม ซ้ำยังดุผมอีกต่างหาก แล้วกำชับว่าต่อจากนี้ไปห้ามไม่ให้ผมถามถึงพ่ออีก
ปกติแม่ไม่เคยดุผมเลย ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ก็พอจะเดาอะไรๆ ได้บ้าง
อาจเป็นไปได้ว่า แม่รักพ่อมาก… มากเสียจนไม่อยากจะไประลึกถึงความทรงจำในอดีตเหล่านั้น
ไม่อย่างนั้นแล้ว แม่คงคิดถึงพ่อจนเสียใจมากแน่ๆ
ผมคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด…
===================================
จากคุณ |
:
Ezkun
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ม.ค. 55 19:35:08
|
|
|
|