 |
“พี่เข้!”
บัณฑิตากางกระดาษแผ่นยาวตรงหน้าเขมรัฐ ในช่วงบ่ายคล้อยที่ชายหนุ่มมารับลูกชายกลับบ้าน “ทะเบียนสมรสเหรอ ไม่เอาน่าน้องบุ้ง พี่ไม่อยากถูกฟ้องหย่า ขี้เกียจแบ่งสมบัติ”
เธอฉีกยิ้มกว้าง “ใช่ที่ไหนล่ะ ทรานสคริปต์เจ้าค่ะ เรียนจบแน่นอนแล้ว”
“อ้อ ใบเสร็จสำหรับค่าหน่วยกิตที่พี่เข้โอนให้นี่เอง” เขารับมาดู กวาดสายตาผ่าน ๆ เห็นว่าผลการเรียนหญิงสาวไม่เลว เงยหน้าขึ้นมาทำเสียงดุ
“น้องบุ้งเอาอะไรไปแลกเกรด พี่ไม่ยอมนะ”
“พี่เข้!”
เขมรัฐหัวเราะ
“แหม ใจคอจะต้อนให้จนมุมให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย ทำไม ช่วงนี้คันเขี้ยวจัดไม่มีคนมาให้ฟัด เอ้ย! กัดมากเลยเหงาเหรอ อย่างว่า ช่วงนี้เห็นเขากลับด้วยกันทุกวันเลย”
“พูดเรื่องอะไรวะเนี่ย”
“แหม ทำตาแป๋วแหววเหมือนเจ้าโขงตอนทำผิดเลยนะ” เธอรับผลการเรียนกลับ “ไม่พูดแล้ว ไม่ใช่เรื่องของบุ้ง”
“ประเด็นคือ?” เขายกคิ้ว หญิงสาวฉีกยิ้ม
“เรียบจบแล้ว จะรับปริญญาแล้ว ปกติเขาต้องทำอะไรให้บัณฑิตกันล่ะ”
เขมรัฐเป่าปาก “ตั้งแต่รู้จักกันมานี่ ขนหน้าแข้งป๋าหายไปเยอะเลยรู้ไหม”
“ตกลงนะ” เธอยิ้มแฉ่ง ทำท่าจะเดินไปแต่แล้วหันกลับมาทำตาโต “จริงด้วย มะรืนนี้วาเลนไทน์พอดี เหตุผลของบุ้งคือเรียนจบ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งสำหรับครูปูนิ่ม ไม่ต้องให้บอกใช่ไหม”
ปุริมาวางสายจากเขมรัฐ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่บัณฑิตาชวนไปกินมื้อเย็น ซึ่งเป็นงานเดียวกันก็คือฉลองที่เธอเรียนจบ สถานที่คือร้านอาหารริมทะเล เวลาคือช่วงเย็นวันพรุ่งนี้ ไม่มีอะไรแปลกประหลาด ยกเว้นเมื่อปุริมามองไปที่ปฏิทิน
14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ บังเอิญหรือจงใจกันล่ะนี่ แต่ที่แน่ ๆ เธออยากไป...
หญิงสาวขึ้นไปนั่งบนรถเมื่อถึงเวลากลับบ้าน วันนี้สีหน้าผู้เป็นพ่อดีขึ้นกว่าเดิม แต่ใต้ตายังมีรอยอิดโรย เกิดความลังเลแต่พอคิดดู คืนนี้พ่อคงพักผ่อนเต็มที่ พรุ่งนี้คงไม่น่าจะมีอะไร
“พ่อคะ ครูบุ้งชวนไปกินเลี้ยงในโอกาสที่เรียนจบค่ะ” เธอเหลือบมอง “ถ้าหนูขอไปได้ไหมคะ”
รถเคลื่อนตัวออกจากโรงเรียน คเชนทร์ถามกลับเรียบ ๆ “วันไหนล่ะ แล้วที่ไหนล่ะ”
“พรุ่งนี้เย็นค่ะ ที่...ก็ใกล้ ๆ แถวนี้”
“ใกล้ ๆ ร้านนายเข้ใช่ไหม”
คนเป็นลูกหน้าร้อน เห็นรอยยิ้มกับสายตารู้ทันก็รู้สึกเหมือนเด็กทำผิด เธอนิ่งทำนองว่าอีกฝ่ายพูดถูก
“นายเข้เป็นคนแนะนำครูบุ้งมาทำงาน แสดงว่าเขาก็ต้องรู้จักกันดี ถ้าจะมีงานเลี้ยง แค่นี้ทำไมจะเดาไม่ได้ล่ะ”
“ให้ไปหรือเปล่าล่ะคะ”
“อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ พ่อก็แค่ถามเอง” คเชนทร์พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งปรามเพราะปุริมามีสีหน้าที่ค่อนไปทางประชดประชัน ใจดั้งเดิมเขาไม่ต้องการให้เธอไปสนิทสนมกับนายฟาร์มคนนั้นมากมาย ถึงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้าย แต่มันคนละเรื่องกับชื่อเสียงเรื่องผู้หญิง ในฐานะพ่อก็ไม่ต้องการให้ลูกสาวตกเป็นขี้ปากชาวบ้านนักเช่นกัน
เห็นใจลูกครามครันแล้วพยายามทำความเข้าใจ ปุริมาอายุยี่สิบหก แม้ว่าอยู่กับแม่จะถูกตั้งกฎเกณฑ์แต่คงได้โอกาสสนุกสนานกับเพื่อนฝูงตามประสา พอมาอยู่ต่างจังหวัดที่ค่ำลงได้แต่เข้าบ้านก็คงเบื่อบ้าง
อีกประการหนึ่งคือ เขากลัวเหลือเกิน ถ้าการสั่งห้ามกลายเป็นคำยุ จึงตอบในที่สุด
“อย่ากลับดึกนะ”
รอยยิ้มสมใจอาบบนใบหน้าสวยพร้อมคำขอบคุณเสียงหวาน
ครัวริมเลวันนี้ปิดเร็วกว่าปกติ เมื่อลูกค้ารายสุดท้ายออกไป ป้าไก่ก็ดึงมู่ลี่ไม้ไผ่ลงมาปิด โดยมีเจ้าของร้านเก็บจานไปส่งให้อ่องทำการล้าง
“แล้วนี่พวกเข้จะมากี่โมง ไก่ต้องอยู่ด้วยไหม” เจ๊หงส์ถาม เช็ดมือกับผ้าขนหนู
“ไม่ค่ะ เดี๋ยวให้กบทำ แต่ฉันว่าจะเตรียมพวกเครื่องปรุงอะไรไว้ให้”
“ดีจริง ๆ ใช้งานคุ้มกันทั้งแม่ทั้งลูกเลย ไอ้จระเข้”
“นินทาอะไรครับคุณนาย”
ร่างสูงเข้มเดินมุดมู่ลี่เข้ามา ‘คนนินทา’ ทำหน้าเยาะ “อุ้ย ดูสิ ตายยากอีก พูดปุ๊บก็มาปั๊บ”
คุณหงส์กอดอก หันมองซ้ายขวาไม่เห็นคนเดินตามก็เอ่ยปาก
“ลูกสมุนล่ะ”
“เดี๋ยวตามมา ผมจะไปส่งปิ่นโตให้ปูนิ่มก่อน จะได้รับมาพร้อมกัน”
หญิงวัยกลางคนยกคิ้ว “นี่ชวนหนูปูนิ่มมาด้วยเหรอ โอ้ ก้าวหน้านะเรา”
“ผมไม่อะไรเลยนะ” เขมรัฐพูดประโยคกับสีหน้าล้อเลียนแบบที่ทำประจำ ครั้นแล้วรีบยิ้มเอาใจเพราะอีกฝ่ายเริ่มขมวดคิ้ว “บุ้งชวนต่างหาก งานนี้ของบุ้ง”
คุณหงส์พยักหน้า หันไปทางลูกจ้างที่บอกกับชายหนุ่มว่าเตรียมปิ่นโตไว้เรียบร้อยแล้ว “แกน่าจะให้ใครไปส่ง แล้วมาช่วยไก่เตรียมของ ดูสิ เสร็จงานประจำยังต้องมีทำงานพิเศษให้อีก จ่ายค่าล่วงเวลาด้วยนะ สามแรง”
เขมรัฐห่อปาก “โอทีวันปกติเท่าครึ่งเท่านั้นแหล่ะแม่ เอามาจากไหนสามแรง”
“ไม่รู้ล่ะ จัดงานเลี้ยงเอาใจสาวแบบนี้ต้องคิดหนัก ๆ ปูปลากุ้งผักนี่เก็บเงินนะยะ ไม่ลงบัญชี”
คนเป็นลูกเบะปาก คว้าปิ่นโตแล้วเดินลิ่วออกไปก่อนที่ถูกจิกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี แม่ครัวใหญ่หัวเราะชอบใจ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะเจ๊ แค่นี้ไม่หนักหนาอะไร”
“เคยตัว เจ้านี่ได้คนบ้านเธอไปเป็นลูกน้องหมดเลยดูสิ”
อีกฝ่ายยิ้มชอบใจ หยิบไข่เยี่ยวม้าวางบนถาดคู่กับกะเพราและพริกขี้หนูสีแดงสด
“เจ๊ช่วยฉันกับครอบครัวมาเยอะแล้ว มีอะไรที่ฉันตอบแทนได้ก็ยินดีค่ะ” เธอบอก และนั่นคือความจริง ครอบครัวนาวามาศเจือจุนสามคนพ่อแม่ลูกจนแทบเรียกว่า ‘ชุบชีวิต’ ใหม่ให้ กระนั้นแค่งานเพิ่มเล็กน้อยไม่ถือว่าหนักหนาอะไร
ท้ายสุดคุณหงส์ก็ช่วยไก่เก็บกวาดจนเสร็จ เพื่อให้หนุ่มสาวใช้เป็นสถานที่หย่อนใจ
มันเป็นคืนที่สนุกสนานที่สุดตั้งแต่มาอยู่ ณ เมืองนี้ของปุริมา เธอคิดว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ประทับใจไปอีกนาน ทั้งที่ไม่ใช่ร้านอาหารหรูที่ระบบเสียงสุดยอด ก็แค่ร้านมุงใบจาก กำแพงไม้ไผ่เปิดรับลมทะเล เพลงคาราโอเกะจากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค แต่ความสนุกสนานอยู่ที่บทสนทนายั่วแหย่ กระเซ้าหยอกเย้ากันระหว่างลูกจ้างนายจ้าง ซึ่งพอเลิกงานก็เหมือนเพื่อนฝูง
บัณฑิตาได้รับคำแสดงความยินดี ปุริมายังซื้อกระเป๋าสตางค์ให้เป็นของขวัญ อีกฝ่ายดีใจอย่างเห็นได้ชัดแม้ว่าจะไม่ได้ของมีราคาอะไร คนงานหนุ่ม ๆ ออกเงินซื้อกระเป๋าใส่แล็บท๊อปให้
“ป๋า...” เธอทำเสียงหวานใส่เขมรัฐ
“ยังไม่ได้รับจริงซะหน่อยจะรีบเอาไปไหน บุ้งนี่ชอบเอาก่อนเรื่อยเลย”
“พี่เข้!”
“ยินดีด้วยนะน้องบุ้ง”
หมอ ไซ จ๊อก รวมทั้งหมัดคนงานจากแพชื่นชม วันนี้เป็นอีกวันที่จิ๊บได้มากินดื่ม แต่ว่าคนเป็นภรรยามาด้วย ชายหนุ่มจึงไม่ได้ออกลีลาหยอดคำหวานให้หญิงสาวเหมือนเคย
ปุริมาติดใจพล่าปูนิ่มฝีมือธรณิศ เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มรส น้ำยำเผ็ดเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดแทรกกับความฝาดมันของตะไคร้และใบมะกรูดหั่นฝอย เนื้อปูนิ่มสด ๆ ชุปแป้งทอด อร่อยจนแทบไม่อยากกลืน
“พี่กบทำกับข้าวเก่งจังเลย”
ชายหนุ่มรับคำชมยิ้ม ๆ มือกระดกกระทะที่กำลังผัดฉ่าทะเล เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ให้ของขวัญกับบัณฑิตใหม่ อีกฝ่ายจึงยังไม่มีทั้งรอยยิ้มและคำสนทนาด้วยเลย
“กบ ผัดเสร็จจานนั้นแล้วมากินก่อน เดี๋ยวเหล้าบูดนะเว้ย” เขมรัฐบอก
เมื่อเมนูอยู่ในจานถูกวางลงกลางโต๊ะ คนทำครัวก็ได้รับแก้วพร้อมน้ำสีอำพันทันที โขงมองตาแทบไม่กระพริบ
“จ้องไปอย่างนั้นแหละดีแล้ว ออสโมซิสแอลกอฮอล์เอา”
คนอื่นหัวเราะ แต่เจ้าตัวไม่ค่อยขำ “รู้งี้เอากีตาร์มาด้วยดีกว่า จะได้โชว์เจ๊”
“นั่นสิ อยากฟังอดัม เลวีน* โซโล่ด้วยเหมือนกัน” ปุริมายักคิ้ว
เด็กชายตาโตที่สาวรุ่นพี่รู้จักนักร้องที่ตนเองชื่นชอบ “แต่เธอยังห่างไกลกับความหล่อของอดัมอยู่หลายขุมเลย”
“เดี๋ยวผมจะไปเบิกอายุมาใช้ก่อน ยี่สิบเมื่อไหร่เจ๊อย่ามาง้อนะ”
คนฟังหัวเราะ หัวใจเบิกบานเหลือเกินคืนนี้ ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปบรรยากาศก็ยิ่งดี เริ่มมีเสียงเพลงเรียกการปรบมือ แม้ว่าจะไม่ไพเราะ แต่คนร้องคงไม่ต้องการคำชม
“โปรดเมตตารักพี่สักนิด พี่มอบชีวิตอุทิศให้สาวมหา’ลัย แบกความรักขึ้นรถเมล์มาให้ แต่เงินไม่พอยาไส้จึงได้แค่ว่ายน้ำข้ามมา...**”
บัณฑิตากรี๊ดกร๊าด ก่อนจะถูกดันให้ร้องบ้าง
“สอด ๆ เลยน้องบุ้ง” นายฟาร์มแซว
“ไม่สอดแล้ว!” เธอแหว เขินสายตาจากคนหน้าเครา แม้ปกติคุยทะเล้นกับเขมรัฐได้ แต่พออยู่ต่อหน้าธรณิศก็กระดาก เห็นแบบนี้ก็อายเป็นเหมือนกันนะยะ
ปุริมาปรบมือด้วยความชื่นชม ด้วยใจจริง เธอเห็นด้วยว่าเพื่อนครูคนนี้ร้องเพลงได้เพราะสมราคา ถึงระบบจะไม่ดีนักแต่น้ำเสียงเยี่ยมยอด เธอหันไปทางชายอีกคน
“พี่กบไม่ร้องเพลงบ้างเหรอคะ”
ธรณิศส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ผมร้องไม่เก่ง”
“กบเหรอ หายใจยังคร่อมคีย์เลย”
เขมรัฐแทรก หญิงสาวหันไปค้อน คนรูปหล่อขยับมานั่งใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จึงขยับออกเล็กน้อย
“ขยับหนี กลัวอะไรพี่จ้ะน้องปูนิ่ม”
ปุริมาค้อน “ไม่ต้องมาทำเป็นถาม อย่าคิดว่าฉันเป็นมิตรด้วยแล้วนะ ยังไม่ไว้ใจหรอกย่ะ”
“ปูนิ่มก็พูดเกินไป ผมบอกแล้วไงว่าไม่นิยมลักกินของคนอื่น”
“ต่อให้ผู้หญิงยอม ?” เธอย้อนถาม ชายหนุ่มส่ายหน้า
“ชีวิตผมอีกยาวไกล ไม่เอาตัวไปเสี่ยงเท้าเอาเหาใส่ศีรษะหรอกขอรับ”
หญิงสาวยกแก้วขึ้นดื่ม ตาเป็นประกาย “ไม่แย่งของใคร...แต่ทั้งที่รู้ว่าฉันเป็นเด็ก ผอ.แล้วมาวุ่นวายวนเวียนรอบตัวฉันทำไมล่ะ” เธอถามยิ้ม ๆ น้ำเสียงคล้ายกับในคืนที่ไปดูหนังตะลุง
เขมรัฐไหวไหล่ "ผมไม่ได้ทำอะไรเสียหายนี่ ก็แค่อยากผูกมิตร อีกอย่างคุณเคยได้ยินเรื่องนักฟุตบอลที่ไม่ยอมแพ้จนกว่ากรรมการจะเป่านกหวีดไหม นั่นคือผมล่ะ” มุมปากแต้มยิ้มนิดนึงก่อนจะเอ่ย
"แล้วถ้า...คุณเป็นเมียผอ.จริง ๆ ล่ะก็นะ"
ปุริมาสะท้านจนต้องเป็นฝ่ายหันหน้าหลบ ใจระรัว ระงับอาการ เขาอาจกำลังสงสัยแล้วก็ได้
ส่วนเขมรัฐก็ลอบสังเกตกริยาของหญิงสาว ความรู้สึกตะหงิดคล้ายมีอะไรติดในซอกฝันค่อย ๆ ชัดขึ้น อดีตเคยผ่านผู้หญิงมามากมาย แต่สิ่งที่ยังผุดผ่องสำหรับคนเจ้าชู้อย่างเขาก็คือไม่เคยยุ่งกับเมียชาวบ้าน
ครั้งเดียวจริง ๆ ที่ ‘เกือบ’ ได้ปีนต้นงิ้ว เพราะไปจีบคนมีเจ้าของ ดีว่าทุกอย่างไม่เลยเถิดไปเนื่องจากเธอคนนั้นไม่ใช่วิศวกรสาวที่เชี่ยวชาญการสับรางนัก รถไฟถึงได้ชนกัน เขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของผู้ชายที่หึงหวงผู้หญิงของตนเอง
ซึ่งไม่ใช่แบบที่ผอ.คเชนทร์ส่งผ่านสายตา
นั่นคือความหวง แต่...เหมือนจะเป็นอีกแบบ เป็นคนที่รัก แต่...ไม่ใช่คนที่ร่วมรัก
“แต่ผอ.ก็คงเข้าใจแล้วนะ”
“หืม”
“ก็พักนี้ไม่หวงคุณแล้วนี่ เริ่มปล่อยมาเฮฮากับพวกผมมากขึ้นนะเนี่ย มาอยู่ใกล้คนตัวดำ ดูสีผิวสิเปลี่ยนหรือยัง” เขาทำทีชะโงกมองแขนเธอ ต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง
“จะเลิกกันกี่โมง ฉันต้องกลับไม่ดึกมาก”
เขาดูนาฬิกาข้อมือ อีกสักพักก็ต้องเตรียมเก็บแล้ว โขงนอนไม่เกินสี่ทุ่ม เดี๋ยวมันตื่นสาย”
“พี่เข้ไปส่งบุ้งก่อนนะ แล้วค่อยไปส่งปูนิ่ม เพราะถ้าพี่เข้โดนผอ.เป่าหัวซะก่อน บุ้งกลับไม่ได้แน่” สาวตัวเล็กยิ้มร่าเข้ามาในบทสนทนา น้ำเสียงและแววตาบอกชัดเจนว่าตั้งใจแซวรุ่นพี่
“มันจะยากอะไรจะน้องบุ้ง พี่เข้โดนเป่า ยังเหลือพี่หมอ พี่ไซ อีกตั้งหลายพี่”
“น้องบุ้งกลัวพวกพี่เหรอ พี่ไม่ใช่ขโมยขโจรที่ไหนนะ” หมอพูด หน้าแดงเพราะฤทธิ์เหล้า “แต่ถ้าเผลอปล่อยหัวใจไปเพ่นพ่านแล้วถูกขโมยจะว่ากันไม่ได้นะ”
“เยสสส หมอ ขอกูตีมือหน่อย ถูกใจว่ะ”
“เฮ้ย ๆ เบา ๆ” เขมรัฐทำเสียงจริงจังเหมือนจะปรามว่าบัณฑิตาเป็นคนของเขา “สังคมเราอยู่ร่วมกันได้เพราะมีกฎหมายควบคุม ใครจะมาลักมาขโมยอะไรกันได้ง่าย ๆ ไม่มี๊”
ชายหนุ่มกระดกแก้ว “มาตราสามศูนย์แปด บทว่าด้วยการขโมยของมันมีอยู่ว่า...” เขาเว้นวรรค กระแอมเหมือนนักปราชญ์
“ผู้ใดลักทรัพย์จะโดนทั้งจำทั้งปรับ แต่ผู้ใดถูกลักหลับ จะโดนทั้งจับทั้งคลำ”
“วิ้วววววววววว”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
บรรดาคนร่วมงานเลี้ยงเป่าปากปรบมือเกรียวกราว อารมณ์ครื้นเครงอยู่ในสีหน้าเปี่ยมสุข ปุริมาพลอยขำจนน้ำตาไหล ถึงจะเขินและหมั่นไส้แต่ก็ทึ่งกับความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาอย่างมาก โดยเฉพาะนายหัวมาดเข้มคนนี้
ใหม่ ๆ ก็โกรธลมออกหู แต่นานไปเริ่มจะชิน อย่างน้อยก็แค่ลมปาก
แม้เขาจะเจ้าชู้กะล่อน ลื่นเป็นปลาไหล ยอมถึงเนื้อถึงตัวกับผู้หญิง ที่เห็นก็บัณฑิตาคนหนึ่ง แต่กับเธอไม่เคยรุ่มร่ามดังว่า ถึงมีโอกาสอยู่ใกล้ขนาดนั่งรถไปด้วยกัน อย่าว่าจะลวนลาม แทบไม่เคยแตะโดนตัวเลยด้วยซ้ำ
ผู้ชายที่เวลาทำงานก็จริงจัง ตั้งใจกับอาชีพ ยามพักผ่อนก็ใช้ชีวิตเต็มที่ เริ่มจะเข้าใจว่าทำไมเขาเป็นที่รักที่พูดถึงของใครต่อใคร มันไม่ใช่คำหวานพร่ำเพรื่อที่หาสาระไม่ได้ แต่ความเป็นมิตรผ่อนคลายสร้างรอยยิ้มให้คนฟัง
มันคือเสน่ห์ที่เธอต้องยอมรับเสียแล้ว...
ตอนที่งานเลิก ทุกคนช่วยกันเก็บกวาด ธรณิศเดินมาหยุดตรงหน้าบัณฑิตา แล้วก็ยื่นบางอย่างให้ หญิงสาวตาโต มันคือเครื่องสำอางค์
“ขอโทษที่ให้ช้า เมื่อกี้ติดทำอาหารอยู่”
เขาบอกเขิน ๆ แต่บัณฑิตาแทบไม่สนใจ เธอพยายามจะไม่ยิ้ม แต่แก้มร้อนระเรื่อไปแล้ว
“พี่กบซื้อเองเหรอ”
ชายหนุ่มพยักหน้า คนรับพยายามจะจินตนาการว่าผู้ชายหน้าเข้มดุเข้าไปบริเวณเครื่องประทินโฉมของหญิงสาวจะดูแปลกประหลาดขนาดไหน หากไม่ค่อยได้ผลเพราะหัวใจเธอกำลังพองโต
“รู้ได้ยังไงคะว่า บุ้งใช้ยี่ห้อนี้”
“ก็เคยเห็น” คราวนี้คิดออกทันทีว่า เธอเคยหยิบโลชั่นมาทามือตอนที่นั่งรถไปวัดกับเขา
“โห ให้เครื่องสำอางค์ แค่นี้หนอนก็สวยเรี่ยราดแล้ว”
เขมรัฐยื่นหน้าเข้ามา ครั้นแล้วก็ยิ้มกริ่มพลางตบไหล่ลูกน้อง
“บีเอสวยไหมวะกบ”
สายตาธรณิศยังจับจ้องที่บัณฑิตา ใจเต้นกับการหยอกที่ไม่รู้จุดประสงค์แน่ชัดของเจ้านาย แต่หญิงสาวก็ดูเหมือนอยากจะได้ยินคำตอบจากเขา
“สวย...แต่บุ้งน่ารักกว่า”
พูดจบก็เดินไป ทิ้งให้บัณฑิตายืนนิ่ง หัวใจกลายเป็นขี้ผึ้งที่ละลายด้วยคำพูดร้อนแรง ร่างกายแทบลอยไปในอากาศแล้วถ้าไม่มีเสียงเขมรัฐเป่าปากเรียกสติ แล้วเธอก็เขินเขาจนต้องทำเสียงดังกลบเกลื่อน
จริงสินะ วันนี้วันแห่งความรักนี่นา
........................................................................................
*Adam Levine นักร้อง,นักกีตาร์ชาวอเมริกันวง Maroon 5
**แปลงจากเพลงท่าฉลอม
จบตอน 23 ค่ะ
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ม.ค. 55 13:01:06
|
|
|
|
 |