อย่านี้เรียก "ความเรียง หรือ เรื่องสั้น" คะ
ขณะที่ฉันกำลังนั่งทานข้าวมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อย (หรือเปล่า) เสียงเรียกจากโทรศัพท์มือถือยี่ห้อเดียวกับผลไม้ชนิดหนึ่งก็ดังขึ้นด้วยกำลังเสียง 380 เดซิเบล ฉันหยิบมันขึ้นมาดู ปรากฏเบอร์แปลกประหลาดบนหน้าจอ ตัวเลขสิบตัวที่ฉันไม่เคยเห็นมันบนจอโทรศัพท์ระบบลากจิ้มของฉันมาก่อน ฉันคิดขึ้นในใจอย่างออกเสียง เบอร์ใคร (วะ) ??
ฉันเป็นคนไม่ชอบการรอคอย เมื่อเกิดความสงสัยกับตัวเลขแปลกประหลาดสิบตัวนั่นจึงกดรับ
“เฮ้ !!! ซับโหยว...” เสียงอีกฝ่ายเป็นผู้ชายตอบกลับมา “อยู่หนายยย...” มันลากเสียง
“อยู่ที่ไหนก็ได้ ในโลกนี้” ฉันตอบกลับไปตามอย่างที่มันกวนโสตประสาทมา
“งั้น...เราก็คงอยู่ในโลกใบเดียวกันนะ” นั่น...ยัง ยังๆ ไม่จบ ฉันกำลังจะอ้าปากพูดบทต่อไปซึ่งคงจะเป็นภาษาต่างดาวแล้วล่ะถ้ามันไม่พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“แฮะๆ ต้องเองเจ๊ พรุ่งนี้ทำบุญร้อยวันแม่นะบอกน้าให้ด้วย” อ้อ..เฉลยแล้วรึ เกือบได้ฟังภาษาต่างดาวแล้วไง
“เกือบแล้วไง ไอ้ต้อง…” ‘ไอ้ต้อง’ เป็นลูกผู้พี่ของฉันเอง แม่มันเป็นพี่สาวของพ่อฉัน แต่บังเอิญฉันเกิดก่อนมันหลายปี มันก็เลยต้องกลายเป็นน้องไปตามประสบการณ์การใช้ชีวิตบนโลกกลมๆ ใบนี้
“ก็เก๊ารู้ทันไงตะเอง” มันทำคีย์เสียงล้อเลียน
“อืม..ดี เดี๋ยวจะบอกน้าให้ แต่คิดว่าคงไม่ไปหรอก น้าไม่ค่อยสบาย” ‘น้า’ ที่ว่าคือแม่ฉันมีศักดิ์เป็นน้าสะใภ้มัน ส่วนน้ามันจริงๆ หรือพ่อฉัน ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันฉันหรอก แต่อยู่บ้านเดียวกับมันนั่นแหละ (เรื่องมันยาว ไว้จะเล่าให้ฟัง)
มันรับคำและวางหูไป ฉันกลับมาให้ความสนใจจานข้าวตรงหน้าอีกครั้ง และตักกับข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยเช่นเดิม
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ อันได้แก่ เสียบกาน้ำร้อนไฟฟ้าที่แม่ได้รับบริจาคมาจากหลวงพี่รูปหนึ่ง เมื่อครั้งที่แม่ไปบวชชีพราหมณ์ เมื่อน้ำเดือดไฟจุดกลมๆ สีส้ม เลื่อนลง ฉันก็กดใส่แก้วที่มีผงกาแฟสำเร็จรูปแบบสลิมที่สาวๆ นิยมกินกัน ที่ฉันเทรอไว้ก่อนแล้ว ดื่มกาแฟเสร็จก็ไปรดน้ำต้นไม้ นี่แหละกิจวัตรของฉันในยามเช้า
หลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จฉันกลับเข้ามาในบ้านเพื่ออาบน้ำ เตรียมตัวไปทำบุร้อยวันป้า อ้อ..ต้องเรียกน้องสาวตัวดีตื่นก่อน เพราะหล่อนอาบน้ำแต่งตัวนานมากกก..... (ลากเสียงยาวๆ )
ผลออกมาเหมือนทุกครั้ง คือฉันแต่งตัวเสร็จ มันเพิ่งอาบน้ำ แม่ก็เลยชวนไปตลาดเพื่อหาของติดไม้ติดมือไปทำบุญร่วมกับเจ้าภาพ
พระเจ้า !!! ไม่ใช่สิเราคนไทยต้อง คุณพระ !!! ฉันกับแม่กลับจากตลาด คุณนายน้องของฉันยังแต่งตัวไม่เสร็จ ฉันพลิกนาฬิกาข้อมือเรือนละสามหมื่นกว่าบาทที่ได้จากการช่วยเหลือผู้ประสบภัยขาดแคลนนาฬิกาข้อมือจากผู้ชายใจดีคนหนึ่ง ขณะนี้เข็มสั้นชี้ค่อนไปเกือบถึงเลขสิบ เข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบตรงเป๊ะ อีกสิบนาทีสิบโมง อั๊ยย๊ะ !!! (ขออนุญาตตกกะใจอีกครั้ง) จะทันพระไหมล่ะนี่
สิบโมงสิบนาที.. คุณนายน้องของฉันย้วยละยาดออกมาจากห้อง เราสองพากันขึ้นรถกระป๋องประหยัดน้ำมันของแม่ ออกเดินทางโดยคุณนายน้องเป็นพลขับ สิบโมงครึ่งเราจึงมาถึงบ้านป้า ฉันหิ้วตะกร้าที่ใส่ของทำบุญซึ่งแม่เป็นคนจัดเตรียมให้ กระหืดกระหอบเข้ามาภายในบ้าน สายตาเห็นคุณป้าคุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนนั่งประนมมือไหว้พระ และโสตประสาทการรับรู้ด้วยเสียงของฉันก็ได้ยินคำว่า “ภวันตุเต”
โอ้ว...แม่เจ้า !!! เส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ อย่ากระนั้นเลย ฉันยื่นตะกร้าให้ ‘ไอ้ส้ม’ (ศรีภรรยาของไอ้ต้อง) พรอมกับบอกเสียงดังแข่งกับเสียงมัคทายกที่ดังมาจากลำโพงหน้าบ้าน
“ใส่จานเร็วๆ ” ไอ้ส้มแทบจะลดมือจากการไหว้ทักทายฉันไม่ทัน เมื่อตะกร้าไปอยู่ในมือของไอ้ส้ม ฉันก็อาศัยช่วงชุนลมุน ขณะรอทีมงานเดินอาหารไปตั้งหน้าหิ้งพระพุทธ และจัดวงสำหรับพระสงฆ์ หันไปยกมือไหว้ญาติๆ ทุกคนในงาน ฉันไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงญาติๆ ก็ไม่ได้แปลกใจหรือให้ความสนใจเป็นพิเศษ กับการที่ฉันและคุณนายน้องมาสาย เกือบไม่ทันกล่าวคำถวายข้าวพระ ทุกคนรับไหว้แล้วก็หันไปให้ความสนใจกับสิ่งที่ตนเองทำอยู่ก่อนหน้านี้ เนื่องจากทุกท่านคงชินกันเสียแล้ว หลังจากนั้นเสียงมัคทายกกล่าวออกไมค์ดังฟังชัด
“ต่อไปนี้ กล่าวคำถวายข้าวพระพุทธพร้อมกัน” ฉันกับคุณนายน้องหันหาเก้าอี้ใกล้ๆ นั่งลงประนมมือกล่าวคำถวายข้าวพระพุทธ อย่างไม่สะทกสะท้านสิ่งใด
ทุกอย่างดำเนินต่อไป จนกระทั่งพระฉันภัตตาหารคาวหวาน และให้พรเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินทางกลับวัด เหล่าสมาชิก สาธุชนทั้งหลาย ก็ตั้งวงกินข้าว เด็กๆ ซึ่งมีทั้งลูกผู้น้อง และหลานๆ หลายคนทยอยเดินออกมาจากบ้านอีกหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านป้าอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ กัน มีตั้งแต่เด็กเล็ก จนถึงเด็กวัยรุ่นแรกหนุ่มสาว และบางคนจบปริญญาตรีมีหน้าที่การงานแล้วด้วย ทุกคนเดินผ่านหน้าฉันไปเหมือนฉันไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น ทั้งที่เด็กหลายคนโดยเฉพาะที่มีศักดิ์เป็นน้องๆ รู้จักคุ้นเคยกันกับฉันเป็นอย่างดี บางคนฉันก็เลี้ยงมาตอนเล็กๆ
จนกระทั่ง ‘เจ้าเจ’ ซึ่งเป็นลูกชาย ‘ไอ้ต้อง’ อายุสองขวบ เจอหน้ากันกับฉันไม่กี่ครั้งเดินมา พอมันเห็นฉันนั่งอยู่ก็เดินเขามาหาใกล้ๆ แล้วเรียก
“ป้าๆ คับๆ ” ด้วยสำเนียงของเด็กสองขวบพร้อมกับยกมือไหว้พงกหัวหงึกๆ
น่าแปลกที่เด็กโต ที่ได้รับการศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ และทำงานอยู่ในหน้าที่การงานที่ดี กลับไม่มีมารยาทกับญาติของตัวเอง เอาน่า...ฉันอาจจะคิดไปเอง บางทีเด็กพวกนั้นอาจจะไม่เห็นฉันจริงๆ ก็ได้ รอดูไปก่อน ฉันละความสนใจจากเด็กพวกนั้น รวมถึง ‘เจ้าเจ’ หันมากินข้าวที่คุณนายน้องตั้งวงรอ
หลังจากกินอิ่ม และได้ของติดไม้ติดมือกลับไปฝากแม่นิดหน่อย ฉันก็ลาญาติๆ กลับ
ฉันทำเช่นเดียวกับตอนที่มาถึง คือ ไหว้เรียงตัวทุกคน
น่าแปลก !!! ครั้งที่สอง...ทุกคนรับไหว้ฉันกับคุณนายน้อง แต่...ไม่มีใครสนใจเด็กๆ ว่ามัน ‘ไหว้’ ฉันหรือยัง
อืม...นี่เขาไม่นับเราเป็นญาติ หรือ...เขาไม่มารยาทกันแน่ ???
แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 55 20:19:09
จากคุณ |
:
ยิ้มหวานกว่า
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ม.ค. 55 20:07:45
|
|
|
|