Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปรักอังกอร์ ๑: เค้าลาง ติดต่อทีมงาน

เล่าสู่กันฟังค่ะ)

เรื่องสาปรักอังกอร์นี้ มนต้นไม้ตั้งใจเขียนเป็นงานแนวปัจจุบันปนย้อนยุค แต่ขอเกริ่นนิดหนึ่งว่า คำว่าปัจจุบันในเรื่องนั้น เป็นช่วงปีพ.ศ ๒๔๗๔  ๒๔๗๕ ค่ะ ไม่ใช่งานเขียนในยุคปัจจุบันในปีนี้นะคะ  

ปล.บทแรกๆอาจสั้นไปนิดนะคะ พอดีเขียนไปปรับแก้ไป เขียนไปลงไปนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนน๊า


......................


๑: เค้าลาง




แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านกิ่งไม้ลงมา ตกกระทบดอกลั่นทมสีขาวที่คลี่กลีบบางเบาร่วงเกลื่อนเต็มพื้น
สายลมอ่อนพัดเอื่อย หอบเอาอากาศเย็นและกลิ่นหอมแรงของมันมาปะทะฆานประสาทของหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่ก้มลงเก็บดอกไม้บนพื้นศิลาสีคล้ำที่ทอดยาวไปยังซากปรักหักพังของปราสาทหินโบราณขึ้นมอง ก่อนจะยกขึ้นเสียบข้างหู


เอกบุษยารู้สึกสดชื่นและอารมณ์ดีเสมอ เมื่อได้กลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้ โดยเฉพาะเวลาที่อยู่คนเดียว ความเงียบสงบและกลิ่นของมันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าได้ย้อนเวลากลับไปยังที่ๆเคยจากมา เป็นความรู้สึกประหลาดที่ไม่สามารถหาคำตอบได้


เกือบทุกครั้งที่ไปเที่ยวตามปราสาทหินโบราณ เธอมักรู้สึกคุ้นเคยผูกพันและโหยหาอาวรณ์มากเป็นพิเศษ นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เธอเลือกเรียนเอกประวัติศาสตร์ และสนใจเรื่องราวความเป็นมาของโบราณสถานต่างๆเป็นอย่างมาก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ใครๆมักจะเห็นหม่อมราชวงศ์เอกบุษยา บุตรีของท่านทูตทหารตามแคมป์ขุดค้นซากโบราณคดีต่างๆ เช่นเดียวกับที่พระนคร หรืออังกอร์วัดแห่งนี้


ร่างบางก้มๆเงยๆเดินเก็บดอกสรัลทม ในภาษาเขมรโบราณไปตลอดทาง จนมาถึงซุ้มประตูโคปุระตะวันตกทางเข้าที่ยังสมบูรณ์อยู่มาก เมื่อเดินผ่านบารายหรือสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมที่อยู่ภายในเข้าไป จึงนึกขึ้นมาได้ว่าประตูที่เพิ่งย่างเท้าเข้ามานั้น ในสมัยโบราณมีไว้สำหรับกษัตริย์เท่านั้น ร่างบางชะงักเล็กน้อยเหมือนกับว่ากำลังทำในสิ่งที่ไม่สมควรอยู่


แต่บางส่วนของจิตใต้สำนึกกลับบอกว่า ด้วยศักดิ์และสิทธิของเธอนั้น สมควรแล้วที่จะทำแบบนี้ เอกบุษยาสับสนกับความรู้สึกอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะสาวเท้าต่อไป ไม่วายคิดว่า นี่มันปีพ.ศ. ๒๔๗๔ แล้วนะ ยังจะมาถือยศถืออย่างกันอีกหรือ?


ตลอดทางที่เดินผ่าน เอกบุษยาเพิ่งสังเกตว่าบริเวณโคปุระตะวันตกนี้เต็มไปด้วยภาพสลักนางอัปสราที่งดงามอ่อนช้อยลอยเด่นออกมา ราวกับว่าครั้งหนึ่งเคยมีตัวตนจริงๆ โดยเฉพาะภาพสลักของนางอัปสราที่แย้มยิ้มจนเห็นไรฟัน ซึ่งเป็นเพียงนางเดียวในหมู่อัปสรากว่าสองพันนางในปราสาทหินแห่งนี้


อาจเป็นเพราะความขลังของสถานที่หรืออะไรก็ตาม หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับว่าทุกอากัปกิริยาถูกใครบางคนจับตาดูอยู่ เหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว ทั้งที่บริเวณนั้นแทบไม่มีใครอยู่เลย ทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันทีที่นึกได้ จึงคิดที่จะเดินกลับไปรวมกับกลุ่มแทน ขณะที่หันหลังเดินกลับมาทางเดิม แสงแดดยามบ่ายจัดที่ส่องลงมาเป็นลำยาวแยงตาเธอเข้าพอดี ทำให้เห็นแต่เพียงเงาทะมึนของใครบางคนที่ยืนตระหง่านขวางทางออกเอาไว้ จึงได้ตะโกนถามออกไป


“ใครน่ะ ใครอยู่ตรงนั้น ช่วยหลีกทางด้วยค่ะ”


ไม่มีเสียงตอบมีแต่ความเงียบ คนถามจึงยกมือป้องหน้าพยายามเพ่งมองร่างของคนที่ยืนขวางอยู่ แต่แสงจ้าที่ย้อนเข้าตาทำให้เห็นแต่เพียงโครงร่างสูงใหญ่เท่านั้น ซึ่งก็พอที่จะเดาได้เลาๆว่าเป็นผู้ชาย ร่างใหญ่ยังยืนนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะขยับ ทำให้คนถามใจคอไม่ดี ด้วยรู้ดีว่าแถวนั้นนอกจากเธอแล้วไม่มีใครอีกเลย ทำให้ใจเสียเข้าไปใหญ่ จึงได้วิ่งพรวดออกไป อารามร้อนรนทำให้เกือบจะชนเข้ากับคนที่ยืนขวางอยู่ แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตั วเองถลาไปข้างหน้าจนหัวแทบคะมำ


“ว้าย...ตายแล้ว เอ๊ะ หายไปไหนแล้ว เฮ้ยยย”


เอกบุษยาอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ คิ้วโก่งได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย เหลียวซ้ายแลขวาสอดส่ายสายตาไปรอบๆเพื่อมองหาใครบางคนที่เคยยืนอยู่ แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาทำเอาขนลุกซู่ชาดิกไปทั้งตัว พอตั้งสติคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงรีบวิ่งออกไปทันที นึกแต่เพียงว่าต้องออกจากที่นี่ให้ได้


ด้วยความตื่นกลัวทำให้วิ่งพรวดออกไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ จึงชนเข้ากับร่างสูงสง่าของใครบางคนที่เดินผ่านโคปุระเข้ามา ทันทีที่หน้าซีดเผือดของหญิงสาวเงยขึ้นเห็นหน้าใครบางคน ถึงกลับกรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความกลัวสุดขีด พร้อมกับสติสัมปะชัญญะที่ดับวูบลง


“กรี๊ดดด”

“คุณ คุณเป็นอะไรไปครับ อ้าว...เป็นลมไปแล้ว คุณ คุณ...”


เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนวิ่งมาชนหมดสติล้มพับคาอกอย่างนั้น จึงถือวิสาสะอุ้มมานอนใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อทำการปฐมพยาบาล มือเรียวได้รูปล้วงผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อที่ผุดพราวรอบดวงหน้าขาวซีดให้อย่างเบามือ ก่อนจะก้มลงพิจารณาบางอย่างจนเกือบชิดหน้าสวยอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อเห็นว่ามีของบางอย่างพ้นคอเสื้อของหญิงสาวออกมา


“จี้อะไรคล้ายเขี้ยวของเสือ ผู้หญิงสมัยนี้เขาชอบของแบบนี้กันด้วยหรือ”


พูดพลางมองแผงขนตาหนาดกที่รับกับสันจมูกโด่งงุ้มอย่างลงตัว จนคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะมองไม่สามารถถอนสายตาไปได้เลย ทั้งที่แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักหญิงสาวตรงหน้ามาก่อน แต่กลับรู้สึกเหมือนคุ้นเคยผูกพันห่วงใยอย่างน่าประหลาด เป็นความโหยหาอาวรณ์ผสมปนเปกันขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล


ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ใจเร็ว และออกจะระวังตัวในเรื่องแบบนี้เป็นอย่างมากด้วยซ้ำไป จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่จะมีความรู้สึกพิเศษกับผู้หญิงคนไหนง่ายๆ แม้แต่กับคู่หมายของตัวเองก็ตาม ชายหนุ่มมองหน้าคนหมดสติพลางคิดหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ในใจ จนกระทั่งเสียงของใครบางคนดังขึ้นข้างตัว


“เกิดอะไรขึ้นหรือค่ะ เอ๊ะ...แล้วนั่นใครเป็นอะไรอยู่ตรงนั้น นายหวนรีบเข้าไปดูสิ”

“กระหม่อม” สิ้นรับสั่ง นายหวนมหาดเล็กคนสนิทรีบกุลีกุจอทำตามในทันที

“ไม่มีอะไรหรอก แค่คนเป็นลมเท่านั้นเอง หวน...พาไปส่งที แล้วค่อยตามฉันไปที่เต็นท์อำนวยการ ไป...เราไปกันเถอะหญิงเพรา”

“เชิญท่านพี่ก่อนเถิดค่ะ พอดีหญิงลืมของไว้ที่รถ ขอกลับไปเอาก่อน”


หม่อมเจ้าหญิงเพราพิลาส พูดพลางเดินตามนายหวนที่อุ้มร่างคนเป็นลมออกไป โดยไม่ได้ให้สนใจร่างสูงสง่าที่เดินแยกออกไปอีกเลย เพียงเพื่อต้องการตามไปดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่นั้นไม่ได้ตาฝาดไป


“เดี๋ยวนายหวน หยุดก่อนสิ แม่คนนี้เป็นใครมาจากไหน เธอรู้จักหรือเปล่า”

รับสั่งพลางสืบเท้ามายืนจ้องดวงหน้าขาวซีดของคนหมดสตินิ่งนาน สายตาวาววับจ้องจับราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ จนนายมหาดเล็กรู้สึกได้

“ไม่รู้จักกระหม่อม”


นายมหาดเล็กหยุดเท้าทันทีที่ได้ยินรับสั่ง ยืนนิ่งหลุบตาต่ำไม่กล้าเงยขึ้นสบสายตาดุดันของคนตรงหน้า รอรับคำสั่งอยู่ชั่วอึดใจ เมื่อเห็นว่าไม่ได้มีพระประสงค์สิ่งใดจึงได้ทูลลาออกมา ทั้งที่หม่อมเจ้าหญิงเพราพิลาสแน่ใจว่าเพิ่งจะเคยเห็นผู้หญิงคนนี้เป็นครั้งแรก แต่ความรู้สึกส่วนลึกกลับบอกว่ารู้จักหญิงสาวคนนี้มาก่อน และรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเอาเสียเลย ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกันถึงได้รู้สึกเกลียดชังผู้หญิงคนนี้ได้ถึงขนาดนี้  


ท่านหญิงเพรา มองตามหลังนายมหาดเล็กที่อุ้มร่างของหมดสติไปจนลับตา ก่อนจะเดินกลับไปที่เต็นท์อำนวยการไป ระหว่างทางเดินกลับใจมีแต่ความร้อนรุ่มริษยา เมื่อนึกถึงสายตาของหม่อมเจ้าเตศวรที่ดูห่วงใยผู้หญิงคนนั้นเป็นพิเศษราวกับเคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน


“ไม่ว่าแกจะเป็นใคร อย่าคิดที่จะมาแย่งท่านพี่ไปจากฉันเป็นอันขาด”


เสียงขุ่นเขียวไม่พอใจครางขรมในลำคอ ราวกับโกรธแค้นกันมาแต่ชาติก่อน สายตางามหวานดุดันจนน่ากลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกเกลียดชังอย่างรุนแรง ถาโถมเข้าครอบคลุมหัวใจอย่างไม่มีสาเหตุจนตัวเองยังแปลกใจ พยายามจะข่มอารมณ์ขุ่นมัวให้หมดสิ้นไป ก่อนจะกลับเข้าไปร่วมประชุมกับคณะทำงานบูรณะซากปราสาทนครวัดด้วยใบหน้าเรียบเฉย เหมือนกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อนเลย  


เอกบุษยาไม่รู้ว่ามาอยู่ในเต็นของเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร รู้แต่ว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าอยู่ที่นี่แล้ว จากคำบอกเล่าของคนที่พบเธอ บอกแต่เพียงว่ามีผู้ชายคนหนึ่งอุ้มมาส่ง จึงนึกขอบคุณอยู่ในใจ เพราะหากเขาไม่ไปพบเธอเข้า ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ เมื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ใจก็ตื่นกลัวเต้นโครมครามขึ้นมาทันที



.

แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 55 08:26:03

แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 55 10:27:57

จากคุณ : Setakan
เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 10:25:42




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com