Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ยมทูต บทที่ 9 เผชิญหน้าอาคมมืด ติดต่อทีมงาน

บทที่ 8 ความรักของบุพการี
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11469789/W11469789.html

บทที่ 9

เผชิญหน้ากับอาคมมืด

หลังออกจากวัด ผมรู้สึกห่อเหี่ยวจนไม่มีแก่ใจจะพูดจากระเซ้าเย้าแหย่อัคนีเหมือนทุกครั้ง ไม่สนใจว่าเธอจะทำอะไรหรือลากผมไปไหน จิตใจมันหดหู่จนไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว

“นายโป้ง”

เสียงคุ้นหูเรียก แม้รู้ว่าเป็นใครแต่ตอนนี้ผมรู้สึกหดหู่จนไม่อยากจะเอ่ยปากรับ เพราะในหัวมันเฝ้าแต่นึกถึงภาพพ่อแม่ที่กำลังยืนร้องไห้อยู่หน้าเตาเผาศพ ผมทรุดนั่งลงและซบหน้าลงกับเข่าของตัวเอง

“นายโป้ง”

ยมทูตสาวยังคงเรียกผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนทุกครั้ง แต่อย่างที่บอก ผมไม่มีอารมณ์จะเล่นสนุกกับใครมิหนำซ้ำยังออกแนวรำคาญจนนึกอยากจะหันไปตวาดให้เธอสักคำแต่ก็ยังข่มใจและนั่งหุบปากนิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแผ่นหลังเย็นวาบเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสัมผัส ผมสะดุ้งสุดตัวและหันหน้ากลับไปมองพร้อมกับตะคอกด้วยความโกรธ

“อย่ายุ่งได้ไหม....”

คำพูดที่กำลังไหลพรั่งพรูหยุดชะงัก ผมอ้าปากค้างและนั่งตัวแข็งเมื่อเห็นผู้ที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังเต็มตา ผมร้องเสียงหลงและลุกพรวดขึ้นทันที

“เหวอ!”

เจ้าตัวประหลาดแยกเขี้ยวกว้าง มือที่มีพังผืดตะกุยไปบนพื้นเพื่อดันร่างให้คืบคลานตามมาอย่างรวดเร็ว ผมมองลำตัวท่อนล่างของมันแล้วนิ่วหน้า ปลาชัดๆเลยล่ะครับ

“หนีทำไม” ยมทูตอัคนีที่กำลังยืนกอดอกอยู่แถวนั้นถาม ผมหันไปมองเธอแล้วตะโกนเสียงหลง

“นี่มันตัวอะไร”

“เงือก” เธอยิ้มเมื่อเห็นผมทำหน้าขยะแขยงและสะบัดมือที่เปื้อนเมือกเหนียวจากเจ้าตัวอัปลักษณ์ “เห็นนายกำลังหดหู่เลยให้เขามาช่วยปลอบใจ”

“ช่วยทำให้หัวใจวายล่ะไม่ว่า” ผมเถียงพลางใช้เท้าดันเงือกอุบาทว์เอาไว้ “ไปให้พ้นเลยไอ้ตัวเมือกเหม็น”

“สุภาพกับเขาหน่อย” อัคนีพูดเสียงเย็น ผมเบ้หน้าอย่างสยอง

“ใครจะไปสุภาพกับตัวประหลาดไหว เธอเคยบอกว่าเจ้าพวกนี้กินเลือดคนไม่ใช่เหรอ”

ผมถามและนึกย้อนไปถึงตอนที่อัคนีเล่าเรื่องยมทูตต่อสู้กับเงือก เธอสั่นศีรษะและอธิบาย

“ถึงจะเป็นเงือกเหมือนกันแต่ก็คนละเผ่าพันธุ์กับพวกที่ชอบกินมนุษย์” เธอนั่งลงและอุ้มปลาประหลาดขึ้นมา “พวกนี้เป็นภูตที่คอยปกปักรักษาท้องทะเล”

ยมทูตสาวพูดพลางเดินไปที่ริมหาดและปล่อยเงือกประหลาดนั้นลง มันโบกมือให้เธอสองสามครั้งก่อนจะมุดน้ำและว่ายหายไปอย่างรวดเร็ว ผมมองตามด้วยความทึ่งและสะดุ้งอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัว

“ที่นี่ที่ไหน”

“เกาะร้างกลางทะเล” ยมทูตสาวตอบ “ฉันเห็นนายทำท่าซังกะตายก็เลยพามา”

ผมเบิกตากว้างและมองอัคนีอย่างคาดไม่ถึง ใครจะไปนึกล่ะครับว่าแม่สาวยมทูตจอมโหดจะเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของผมจนถึงขนาดพามาเที่ยวชายทะเล ช่างมีน้ำใจงามจนผมอยากจะโดดเข้าไปกอดพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ ดวงตาของยมทูตสาวทอประกาย

“ฉันระเบิดนายเป็นผงแน่ถ้าทำแบบนั้น”  

ผมส่งยิ้มแห้งไปให้ เล่นอ่านความคิดกันตลอดเวลาแบบนี้หมดสนุกไปแยะ แม่สาวยมทูตมองผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดเสียงเรียบ

“ที่พามาเพราะไม่อยากให้จิตของนายตก” เธอขมวดคิ้วเหมือนพยายามหาคำพูดที่ฟังดูง่ายมาอธิบายให้พวกสมองทึ่มอย่างผมฟัง “มันจะทำให้ฝึกอะไรนายไม่ได้”

สีหน้าและท่าทางของยมทูตสาวในตอนนี้ทำให้ผมฉุกคิดถึงสิ่งที่ยมบาลสัตตภูมิพูด หากไอ้สิ่งชั่วร้ายจากดึกดำบรรพ์นั่นมีจริง จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้คนโดยเฉพาะพ่อกับแม่ ผมคงทนไม่ได้แน่หากเห็นพวกท่านได้รับอันตรายจากสิ่งเหล่านั้น

“ไปกันเถอะ” ผมพูดขึ้น อัคนีจ้องหน้าผมด้วยความแปลกใจ

“ไปไหน”

“ฝึกพลังกอบกู้โลก จะเป็นหลักสูตรเร่งรัดหรือเต็มพิกัดก็ได้ทั้งนั้นเพราะตอนนี้ฉันเตรียมตัวพร้อมแล้ว”

ยมทูตสาวเลิกคิ้วและยิ้มออกมา สีหน้าฉงนปนดีใจของเธอในตอนนี้ดูแล้วน่ารักเป็นบ้า ถ้ายังมีชีวิตหัวใจผมคงเต้นระรัวเป็นกลอง แต่มันต้องชะงักกึกเหมือนโดนเบรกเมื่อได้ยินคำพูดประโยคต่อมา

“นายได้ฝึกอย่างเต็มพิกัดแน่”

น้ำเสียงที่เรียบเย็นจนน่าขนลุกกับดวงตาวาววับทำให้ผมเข่าอ่อนขึ้นมาในทันที แต่ยมทูตคนสวยไม่รอให้ตัวปัญหาอย่างผมลงไปนั่งกองกับพื้นได้สมใจหรอกครับ ร่างของเธอลอยขึ้นไปในอากาศเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยออกจากมือ ผมอดคิดขณะแหงนหน้ามองตามไม่ได้ว่าจะดีแค่ไหนถ้าเปลี่ยนกางเกงรัดรูปที่นุ่งอยู่เป็นกระโปรง ยมทูตสาวหันมาแยกเขี้ยวใส่ผมก่อนจะคว้าข้อมือไว้และพูดเสียงห้วน

“ถ้ายังไม่เลิกคิดอะไรบ้าๆ ฉันจะระเบิดวิญญาณนายให้กระจุย”

เธอกระชากผมค่อนข้างแรงและพุ่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าพาเราทั้งคู่ออกมาจากเกาะแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว  
*/*/*/**

ก้อนเมฆสีขาวสะอาดกำลังลอยเลื่อนอย่างเชื่องช้าผ่านอาคารบ้านเรือนหนาแน่นและฝูงชนที่กำลังเดินอย่างเร่งรีบ ในชั่วโมงธุรกิจเร่งด่วนแบบนี้คงไม่มีใครมีแก่ใจแหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าเพื่อชื่นชมความงามสีขาวดุจปุยฝ้ายที่ล่องลอยอย่างอิสระ พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่าการทำแบบนี้มันช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดีชะมัด ผมคิดพลางลดสายตาลงและมองการจราจรบนท้องถนนที่ติดขัดพร้อมกับถอนใจ

“เป็นอะไร” เสียงหวานเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ไม่ต้องหันไปมองก็เดาออกว่าเป็นใครเพราะคงไม่มีมนุษย์หน้าไหนขึ้นมายืนกินลมชมวิวอยู่บนดาดฟ้าตึกสามสิบชั้นแน่

“แค่เบื่อนิดหน่อย” ผมตอบพร้อมกับสูดลมหายใจเข้า แม่สาวยมทูตเลิกคิ้วและกระตุกยิ้ม

“ทำท่าอะไรของนาย”

“สูดอากาศบริสุทธิ์” ผมหันไปมองหน้าเธอ “ไม่เคยทำหรือไง”

“วิญญาณไม่ต้องการลมหายใจ ฉันไม่ทำอะไรไร้สาระแบบนั้น” ยมทูตสาวตอบเสียงเรียบพลางดึงแท็ปเล็ตออกมาจากกระเป๋าและก้มดูหน้าจอ เธอเม้มปากเล็กน้อยและพึมพำ “อีกห้านาที”

“ห้านาทีอะไร”

“จะมีคนตาย” ยมทูตอัคนีตอบพร้อมกับเก็บแท็ปเล็ตกลับลงกระเป๋า ผมหันมองรอบตัว

“ที่ไหน”

“โรงพยาบาลฝั่งตรงข้าม” ยมทูตสาวชี้มือไปข้างหน้า ผมเลื่อนสายตามองตามและขมวดคิ้วเพราะไม่เห็นมีใครสักคน สงสัยงานนี้ได้มียมทูตยืนรอเก้อกันบ้างล่ะ

“ไม่มีทาง” ยมทูตอัคนีพูดขึ้นทันที ผมหันไปมองสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังของเธอแล้วอดคิดอย่างแปลกใจไม่ได้ ทำไมเด็กสาวหน้าตาน่ารักถึงต้องมาทำหน้าที่เป็นผู้นำทางวิญญาณแบบนี้กันนะ

“มันเป็นเรื่องของบาปและบุญ” ยมทูตสาวพูด “คนที่จะมาทำหน้าที่ยมทูตต้องมีความสมดุลทั้งสองฝ่าย”

“หมายความว่ายังไง”

“ไม่ใช่เรื่องที่วิญญาณดิบอย่างนายจะต้องรู้” เธอตอบเสียงห้วนก่อนจะหันหน้าไปจ้องอาคารฝั่งตรงข้ามเขม็ง “ที่นี่เป็นแหล่งชุมนุมวิญญาณ ฉันต้องใช้พลังเพื่อสร้างอาณาเขต อย่าส่งเสียงรบกวน”

พูดจบผมรู้สึกเหมือนมีรัศมีหรืออะไรบางอย่างแผ่กระจายออกมาจากร่างของอัคนี แม้จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่ผมก็รู้สึกถึงคลื่นพลังที่กำลังขยายตัวเป็นวงกว้างครอบคลุมอาคารของโรงพยาบาลไว้เกือบทั้งหมด เป็นเรื่องที่แปลกดีเพราะเท่าที่ผ่านมาผมเห็นยมทูตอัคนีทำเพียงแค่ยืนรอรับวิญญาณตรงจุดที่ถูกกำหนดไว้ให้เท่านั้น แล้วทำไมคราวนี้ถึงต้องทำอะไรที่มันดูยุ่งยากนักนะ

“โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่มีการตายมากที่สุด ทุกวันจะมีวิญญาณเพิ่มขึ้นตลอดเวลาทั้งพวกที่ตายตามวาระ และมีเหตุที่ทำให้ต้องตาย”

“มันต่างกันยังไง”

“พวกที่ตายตามวาระส่วนมากจะเป็นคนแก่ชราหรือเจ็บป่วย ดวงวิญญาณกลุ่มนั้นจะมียมทูตระดับสองจัดเวรยามมารอรับ”

“แล้วพวกมีเหตุที่ทำให้ต้องตายล่ะมันหมายความว่าอะไร” ผมถามด้วยความอยากรู้ ยมทูตอัคนีชี้ไปยังบริเวณห้องฉุกเฉินที่รถพยาบาลกำลังวิ่งเข้ามาจอดและลำเลียงผู้บาดเจ็บลงมา

“หมายถึงมนุษย์ในกลุ่มนั้น” เธอหันมามองหน้าผม “กับการตายแบบนาย วิญญาณพวกนี้มักออกจากร่างโดยไม่รู้ตัวและล่องลอยไปเรื่อย หากยังไม่หมดกรรมก็ต้องกลายเป็นผีนั่งประจำที่อยู่ตรงนั้น พวกเราจะเข้าไปรับได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลา”

คงหมายถึงพวกที่ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือว่าตายแบบผิดธรรมชาติ ผมสรุปในใจ แต่นับเป็นความรู้ใหม่ที่ยมทูตก็มีการแบ่งระดับชั้นและจำแนกประเภทวิญญาณที่ต้องไปรับ

“ถ้าไม่แบ่งระดับแยกการทำงานแบบนั้นเราคงวิ่งกันวุ่น รู้หรือเปล่าว่าในหนึ่งวันมีคนตายในโรงพยาบาลกี่คน”

ยมทูตสาวถาม ผมสั่นหน้า ใครจะไปรู้เรื่องแบบนี้กันล่ะ อีกอย่างคนตายก็ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับผม ขืนเข้าไปเซ้าซี้ซักถามวุ่นวายมีหวังได้เจอของแข็งเป็นคำตอบ ผมเกาหัวแกรกขณะคิดก่อนจะหันหน้ากลับไปมองห้องฉุกเฉินที่กำลังวิ่งวุ่น

“แล้วเธอมารับใคร”

“วิญญาณเด็กนักเรียนถูกยิง”

“แค่วิญญาณเด็กดวงเดียวเท่านั้นทำไมถึงต้องสร้างอาณาเขตคุ้มกันหนาแน่นถึงขนาดนี้” ผมถามเสียงดัง ยมทูตสาวไม่ตอบแต่กลับเลื่อนสายตามองไปยังด้านล่าง ผมรีบมองตามและอ้าปากค้างเมื่อเห็นไอสีดำกลุ่มใหญ่กำลังคืบคลานเข้าไปใกล้อาคารหลังหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตของโรงพยาบาล มันดูคุ้นตาเสียจนผมต้องหลุดปาก

“พวกผีข้างถนน”

“ไม่ใช่” ยมทูตอัคนีพูด “มันเป็นอาคมของพวกหมอผีเถื่อนที่ใช้เรียกวิญญาณมนุษย์”

อะไรนะ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ผมนึกด้วยความตกใจ ถึงจะเคยได้ยินเรื่องหมอผีทำพิธีเรียกผีไปใช้งานมาบ้างแต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แล้วถ้าเกิดไอ้ควันดำๆมันเข้าไปในโรงพยาบาลได้หรือพวกยมทูตมาไม่ทัน ดวงวิญญาณเหล่านั้นจะเป็นยังไง

“พวกเขาก็จะถูกเรียกให้ไปหาหมอผีเจ้าของอาคมและโดนสะกดเอาไว้ในภาชนะเล็กๆ จะถูกปล่อยออกมาได้ก็ต่อเมื่อพวกหมอผีต้องการใช้งานซึ่งส่วนมากมักจะเป็นการไปทำร้ายผู้อื่น”

ยมทูตอัคนีอธิบาย ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ถ้าอย่างนั้นตอนถูกปล่อยพวกยมทูตก็น่าจะฉวยโอกาสรับวิญญาณพวกนั้นกลับไปที่ยมโลก

“ทำไม่ได้”  

“อ้าว ทำไมล่ะ” ผมร้องและถาม “อย่าบอกนะว่าพวกเธอสู้อาคมของหมอผีไม่ได้”

“ของแค่นั้นทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ยมทูตอย่างพวกเราถูกกำหนดให้ทำหน้าที่นำวิญญาณที่หลุดออกจากกายหยาบกลับไปรับกรรมที่ยมโลกเท่านั้น หากพ้นช่วงจังหวะเวลาที่กำหนด ดวงวิญญาณเหล่านั้นจะต้องรอการมารับรอบต่อไป ซึ่งการที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมันเป็นกรรมอย่างหนึ่งที่พวกเขาจะต้องรับ”

ไม่เข้าใจ มารับไม่ทันก็น่าจะเป็นความผิดของยมทูตสิไหงโยนให้ไปเป็นกรรมของวิญญาณด้วยล่ะ แบบนี้ก็เรียกว่าซวยทั้งขึ้นทั้งล่องน่ะสิ ผมนึกตำหนิในใจแต่คงจะคิดดังไปหน่อยเพราะยมทูตอัคนีหันขวับมาจ้องพร้อมกับทำตาวาว

“ที่ว่าเป็นกรรมเพราะเขาต้องทนทรมานอยู่กับความหิวโหยเพราะไม่ได้ส่วนบุญ และถ้าถูกหมอผีจับไป พวกเขาก็ต้องถูกกักขังอยู่ในกระบอกไม้หรือหม้อดินซึ่งเป็นที่คับแคบ ต้องอยู่อย่างอดอยาก ต้องทนให้พวกเดียรถีย์กดขี่ข่มเหงใช้งานราวกับทาส”

น้ำเสียงของเธอเข้มขึ้น

“และอาจแตกสลายได้ถ้าถูกใช้ให้ไปจัดการคนที่มีวิชาอาคมด้วยกัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ดวงวิญญาณจะดับสูญ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกเลย”

สีหน้าและท่าทางที่แสดงออกถึงความโกรธของยมทูตอัคนีทำให้ผมต้องยืนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้จะถูกยั่วโทสะหลายครั้งแต่แม่สาวยมทูตก็ไม่เคยแสดงอาการกราดเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัดจนถึงขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่นะ แล้วนี่เจ้าหล่อนจะระเบิดวิญญาณผมหรือเปล่าถ้าเกิดเผลอหลุดอะไรขัดหูออกมา ผมนึกอย่างสยองพลางขยับตัวถอยหลังสองสามก้าว ยมทูตสาวเม้มปากแน่นก่อนจะถอนใจ

“ฉันโกรธพวกหมอผีนอกรีตนั่นต่างหาก” เธอเบือนหน้ามองไปยังอาคารฝั่งตรงข้าม “คนพวกนี้ใจดำอำมหิตเพราะนอกจากจะเรียกวิญญาณไปใช้ราวกับทาสแล้วยังสั่งให้พวกเขาไปฆ่าคน มันเหมือนกับเป็นการเพิ่มบาปให้หนักขึ้นชนิดพันปีก็ยังชดใช้กันไม่หมด ไหนจะความผูกพยาบาทอาฆาตที่มัดดวงวิญญาณทาสกับวิญญาณคนเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน ตามล่าตามล้างกันทุกชาติภพอย่างไม่มีวันจบสิ้น”

“ไม่มีทางแก้เหรอ” ผมถามและรีบพูดต่อเมื่อเห็นสายตาของยมทูตสาว “อย่างเช่นจัดการเจ้าหมอผีพวกนั้นก่อนหรือบุกไปทลายแหล่งกบดานของมันอะไรทำนองนี้”

“นั่นเป็นวิธีการของมนุษย์อีกอย่างเราเป็นยมทูต ไม่ใช่พระกาฬ จะล้างผลาญชีวิตคนไม่ได้อย่างเด็ดขาด”

ว้า ทำโน่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ ผมนึกว่าพวกยมทูตนี่จะมีพลังมหาศาลบุกตะลุยภูตผีปิศาจระเบิดวิญญาณชั่วเตะโด่งพวกคนเลวแล้วลากมันลงไปรับกรรมในนรกซะอีก นี่อะไรแค่มายืนรอรับวิญญาณคนตายเท่านั้น ทำหน้าที่อย่างอื่นไม่ได้เลยเหรอ

แต่เอ๊ะ เมื่อกี้เธอพูดถึงพระกาฬ งั้นพระกาฬที่ว่าก็ลุยพวกหมอผีเลวได้น่ะสิ งั้นไปขอเป็นลูกน้องดีกว่า ฝึกวิชาสักสองสามเดือนจากนั้นก็บุกรังพวกคนชั่วถล่มมันให้ราบแล้วลากคอลงนรกไปชดใช้กรรม

“นายดูหนังมากไปหรือเปล่า” ยมทูตอัคนีถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ผมยิ้มแห้งแต่ไม่กล้าตอบอะไรเธอหรอกครับ โธ่ ถ้าเกิดพูดจาไม่เข้าหูขึ้นมามีหวังโดนผู้นำทางวิญญาณคนสวยอัดเละ ผมยังไม่อยากเป็นโจ๊กรสวิญญาณสับนะครับ

“เงียบก่อน”

จู่ๆแม่สาวยมทูตก็พูดขึ้นมา ผมอ้าปากเตรียมจะถามและต้องเปลี่ยนใจเป็นหุบนิ่งเมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังจนน่ากลัวของเธอ

“มีอะไร”

“อาคมหมอผีเปลี่ยนทิศ” อัคนีตอบ “มันออกจากห้องฉุกเฉินไปแล้ว”

ยมทูตสาวอธิบายพลางไล่สายตาตาม ผมหันไปมองและนิ่วหน้าเมื่อพบว่าไอสีดำกำลังม้วนตัวและเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าตรงไปยังอาคารที่อยู่ข้างเคียง

“นั่นมันตึกอะไร”

“ฉันยังไม่รู้” เธอตอบพร้อมกับดึงโทรศัพท์มือถือออกมากดปุ่มและกรอกคำพูดลงไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงปลายสาย “นี่อัคนี ตอนนี้หน่วยของนายอยู่ที่ไหน”

“ตึกผู้ป่วยภายในครับเรามารับวิญญาณคนตายด้วยโรคมะเร็ง”

“ทำไมนายไม่กางอาณาเขต” ยมทูตสาวถาม อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงงงงัน

“ผมทำแล้วครับ” เสียงเงียบหายไปเล็กน้อยก่อนสายทางนั้นจะส่งเสียงร้องอุทาน “แย่แล้ว มีพลังอาคมมืดกำลังทะลวงเข้ามา ผมต้องรีบไปดูแล้วครับท่านอัคนี”

ยมทูตสาวปิดโทรศัพท์ยัดกลับลงกระเป๋าเป็นจังหวะเดียวกันกับที่บรรยากาศรอบตึกที่อยู่ถัดออกไปเกิดอาการสั่นไหวจนต้นไม้ที่ปลูกไว้โดยรอบสั่นอย่างรุนแรงเหมือนมีใครไปเขย่าจนใบบนต้นร่วงกราว ผู้คนที่กำลังเดินอยู่แถวนั้นเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจแต่ก็เดินผ่านเลยไปตามปรกติ เสียงสัญญาณที่ดังมาจากแท็ปเล็ตในกระเป๋าของสาวยมทูตทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าถึงเวลารับดวงวิญญาณของเด็กที่ถูกยิงแล้ว ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดร่างอวบอัดของอัคนีก็หายวับไปกับตา ผมร้องด้วยความตกใจ

“อ้าว รอด้วยสิ”

โซ่เส้นหนึ่งพุ่งพรวดขึ้นมา มันรัดคอผมไว้และดึงลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว ผมร้องตะโกนโวยวายดังลั่น ตกตึกสูงขนาดนั้นต่อให้เป็นวิญญาณมันก็อดกลัวไม่ได้นี่ครับ เสียงของผมคงดังมากเพราะเห็นหมาหลายตัวที่นอนแถวลานจอดรถวิ่งมามุงดูพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะเยาะ เออ ขำได้ขำไป ถึงพื้นเมื่อไหร่พวกเอ็งโดนเตะไม่เลี้ยงแน่ไอ้ตูบปากมอม

ทันทีที่ถึงพื้นโซ่ที่รัดอยู่ก็คลายออกและสลายหายไป ผมรีบหันหน้าไปทางยมทูตสาวและทันเห็นเธอเดินทะลุผนังตึกเข้าไปด้านใน ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะแม่สาวยมทูตไม่ยอมรอเหมือนทุกครั้ง จะยืนอยู่อีกทำไมล่ะครับผมรีบตามเธอไปทันที

เมื่อก้าวเข้าไปข้างในแล้วผมรีบกวาดตามองหายมทูตคนสวยและยิ้มเมื่อเห็นเธอกำลังยืนอยู่กับเด็กหนุ่มวัยรุ่นในชุดนักเรียนช่างกล ดูจากสีหน้าและท่าทางการแต่งตัวแล้วเขาเหมือนเด็กเรียนมากกว่าพวกเกกมะเหรกเกเร เจ้าหนุ่มคนนั้นมองผมและยมทูตสาวด้วยสายตาตื่นกลัว

“พวกคุณเป็นใคร ทำไมเดินผ่านกำแพงเข้ามาได้”

“ยมทูต” อัคนีตอบเสียงเรียบ เด็กช่างกลคนนั้นเบิกตากว้าง

“ยมทูต” เขาอุทานเสียงดังพร้อมกับก้าวถอยหลัง “อย่าบอกนะว่าผม...”

“ใช่ นายตายแล้ว จากการถูกยิง”

เด็กหนุ่มอ้าปากค้างและยืนตัวสั่นก่อนจะร้องไห้โฮ ผมมองด้วยความสงสารในขณะที่ยมทูตสาวมองด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเหมือนเช่นเคย เธอดีดนิ้วหนึ่งครั้งเพื่อเรียกโซ่และล่ามข้อมือดวงวิญญาณเด็กช่างกลเคราะห์ร้ายคนนั้นเอาไว้

“จะร้องทำไม”

เธอถามเสียงห้วน อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงสะอื้น

“ผมกลัว” เขาหันไปมองเตียงที่ถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉิน ผมรู้ได้ในทันที่ว่าร่างภายใต้ผ้าคลุมสีขาวเป็นใคร

“ทำไมนายถึงถูกยิง” ผมถามโดยไม่สนใจสายตาดุของอัคนี เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาก่อนตอบ

“ผมไม่รู้ วันนี้ผมตื่นแต่เช้าเพื่อจะได้ไปสอบวันสุดท้าย ตอนกำลังเดินไปขึ้นรถก็ได้ยินเสียงคนตะโกน จากนั้นทุกอย่างก็มืดไปหมด มารู้ตัวอีกครั้งตอนเจอพี่สาวยมทูตกับพี่ชายนี่แหละ”

เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่ดังมากจากประตูหน้าทำให้ผมหันไปมอง สีหน้าของเด็กหนุ่มสลดลงทันที

“แม่”

“เวลาของนายหมดแล้ว ตามฉันมา”

ยมทูตอัคนีตัดบท ผมนิ่วหน้าอย่างนึกฉุน

“ไม่ใจดำไปหน่อยเหรอ”

“อะไร” เธอย้อนถามด้วยน้ำเสียงกระด้าง ผมชี้มือไปที่เด็กช่างกลเคราะห์ร้าย

“เด็กคนนั้น รอให้เขาเห็นแม่เป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้” ยมทูตสาวตอบเสียงห้วน “เพราะน้ำตาของแม่จะดึงวิญญาณของเขาเอาไว้ และจมดิ่งลงไปในความมืดมนตลอดกาล”

คำอธิบายของเธอทำให้ผมอึ้ง ยมทูตอัคนีกระตุกโซ่เพื่อดึงดวงวิญญาณของเด็กช่างกลให้ตามเธอไปแต่ทันใดนั้นเองมวลอากาศรอบก็บังเกิดการปั่นป่วนอย่างรุนแรง ดวงตาของยมทูตสาวเบิกโพลง

“อนธการ” เธออุทาน “มันขึ้นมาถึงนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“พูดเรื่องอะไร” ผมถามด้วยความงงขณะมองออกไปด้านนอกและอ้าปากค้างเมื่อเห็นคลื่นสีดำสนิทกำลังแทรกผ่านผืนดินขึ้นมาด้านบน “นั่นใช่อาคมของหมอผีหรือเปล่า”

“ไม่ใช่แต่น่ากลัวมากกว่านั้น” อัคนีตอบ เธอเหวี่ยงปลายโซ่ด้านหนึ่งให้ฝังลึกลงไปในดินก่อนจะพุ่งตัวออกไปยืนด้านนอกและหันหน้าจ้องไปยังอาคารผู้ป่วยนอกที่ยมทูตระดับสองรายงานว่ามารับดวงวิญญาณของคนที่ตายด้วยโรคมะเร็ง ดวงตาของยมทูตสาวทอประกายเมื่อเห็นไอสีดำขนาดเล็กกำลังไหลผ่านกำแพงแก้วที่ถูกเจาะทะลุเป็นช่องเข้าไปด้านใน

“อาณาเขตถูกเจาะ อาคมของหมอผีธรรมดาทำแบบนั้นไม่ได้แน่” เธอพูดพร้อมกับเลื่อนสายตามองขึ้นไปด้านบน สีหน้าของอัคนีเคร่งเครียดขึ้นมาในทันทีเมื่อรัศมีบางอย่างที่ส่องประกายเจิดจ้าออกมาจากด้านหนึ่งของตัวอาคาร

“อะไรน่ะ” ผมถาม ยมทูตสาวเม้มปากแน่นก่อนตอบ

“วิญญาณบริสุทธิ์ อนธการไม่ได้ต้องการผีตายโหง มันอยากได้วิญญาณของเด็กทารกต่างหาก”

อัคนีอธิบายและเตรียมจะกระโดดขึ้นไปชั้นบนแต่ควันดำจากพื้นม้วนตัวตวัดรัดข้อเท้าของเธอเอาไว้ ยมทูตสาวก้มหน้าลงและปล่อยระเบิดเพลิงเข้าใส่ มันแตกกระจายออกแต่ก็วิ่งกลับมารวมกันอย่างรวดเร็ว คราวนี้สิ่งที่ถูกเรียกว่า อนธการ ได้แปรสภาพตนเองให้มีลักษณะเหมือนรากไม้ มันเลื้อยขึ้นไปบนขาและตรึงร่างของยมทูตสาวให้อยู่กับที่ อัคนีจ้องด้วยสายตาโกรธจัดก่อนจะใช้เพลิงเผาทำลาย แต่มันก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งและรัดยมทูตสาวแน่นขึ้น ผมยืนตกตะลึงมองตาค้างอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนตัดสินใจวิ่งไปช่วยเธอแต่แม่สาวยมทูตกลับร้องห้าม

“ไม่ต้อง” เธอชี้มือขึ้นไปยังชั้นบน “ไปที่ห้องคลอดเดี๋ยวนี้ นายต้องช่วยแม่กับเด็กที่อยู่ในนั้นอย่าให้พวกหมอผีหรืออนธการดึงวิญญาณของพวกเขาออกไปได้”

“แต่เธอ”

“ฉันไม่เป็นไร” ยมทูตสาวตะโกนบอกพลางยกมือเรียกเปลวไฟ “ไปช่วยพวกเขา เร็ว!”

ผมยืนลังเลครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพุ่งตัวขึ้นไปบนชั้นสามของอาคารและตรงไปยังห้องที่มีเสียงร้องของแพทย์และพยาบาลที่กำลังเร่งทำงานเพื่อช่วยชีวิตทารกแรกเกิดซึ่งหยุดหายใจอย่างกะทันหันทั้งแม่ลูก ผมรีบกวาดตามองไปรอบห้องและหยุดชะงักที่ไอสีดำ มันกำลังเคลื่อนตัวถอยห่างออกไปพร้อมดวงไฟสีทองอร่ามสองดวง

“เฮ้ย หยุด!”

ผมตะโกนก้องพร้อมกับกระโดดเข้าไปยืนขวางและแอบผวาเมื่อได้ยินเสียงคำรามแผ่วต่ำราวกับสัตว์ดังออกมาจากไอดำกลุ่มนั้น

“หลีกไป”

“ไม่” ผมตอบพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างออกในมาดพระเอกเต็มพิกัดและใจหายวาบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้มีพลังวิเศษเหมือนพวกยมทูต กลุ่มไอสีดำขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะสำรอกคำพูดออกมา

“หลีกไปไอ้สวะ”

อ้าว พูดแบบนี้ก็สวยน่ะสิ ผมลดมือลงและจ้องอาคมหมอผีด้วยความโกรธ ตอนมีชีวิตคนที่พูดประโยคนี้กับผมโดนอัดจนเละมาหลายรายแล้ว

“ปล่อยวิญญาณพวกนั้นไปซะ” ผมพูดเสียงกร้าว อีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนที่และเปลี่ยนจากเลื่อนไหลเป็นหมุนวน

“แกเป็นใคร มีสิทธอะไรมาสั่งข้า”

“ฉันชื่อโป้ง เป็นยมทูตฝีมือดีที่สุด ได้ยินแล้วก็รีบคืนวิญญาณสองแม่ลูกนั่นมาซะแล้วไสหัวไปให้พ้น”

เสียงหัวเราะต่ำพร่าดังมาจากกลุ่มไอดำ มันขยับตัวสองสามครั้งก่อนจะขยายออกจนมีขนาดใหญ่กว่าเดิมสองท่าตัว ผมมองด้วยสายตาตกตะลึง

“พวกยมทูตมาแส่อะไรด้วย” ไอดำส่งเสียงตะคอกขณะที่มันเริ่มโอบล้อมรอบตัวของผม “ไม่มีพลังวิญญาณสักนิดแล้วคิดจะมาขวาง”

มันวงล้อมบีบรัดตัวเล็กลง ผมมองเข้าไปในใจกลางไอดำและเบิกตากว้างเมื่อเห็นดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่งกำลังจ้องมองผมเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ขอจัดการกับยมทูตอย่างแกก่อนก็แล้วกัน”

กลุ่มไอสีดำที่กำลังหมุนวนรอบตัวลดขนาดลงอย่างรวดเร็วบีบรัดวิญญาณของผมเอาไว้ภายในและปล่อยไฟฟ้าแรงสูงออกมา ความร้อนและแรงฉีกกระชากที่รุนแรงทำให้ผมต้องร้องตะโกนลั่นด้วยความเจ็บปวด ขณะที่รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะดับมืดลงเสียงอ้อนวอนของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา

“ช่วยลูกของฉันด้วย”

ดวงตาที่กำลังหรี่ลงเบิกกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน ผมรู้สึกเหมือนได้เห็นเงาอันเลือนรางของทารกตัวน้อยกำลังดิ้นรนอย่างทรมานอยู่ในกรงเล็บของสัตว์ร้าย ในตอนนั้นเองคำพูดของยมทูตสาวก็ดังก้องขึ้นในหัว

“หากถูกหมอผีจับได้ วิญญาณของคนเหล่านั้นจะไม่มีวันได้ผุดได้เกิด พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานไปจนตลอดกาล”

เสียงร้องไห้ของเด็กทารกปลุกจิตใต้สำนึกของผมให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความต้องการที่จะช่วยวิญญาณดวงน้อยให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของคนชั่ววิ่งพล่านไปทั่วร่าง ผมสะบัดแขนทั้งสองข้างให้กางออกพร้อมกับร้องตะโกน

“ฉันไม่ยอมให้แกทำแบบนั้นหรอก ไอ้หมอผีชั่ว”

*/*/*/*/*

สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน ต้องขออภัยที่ลงเรื่องยมทูตช้ามาก มีสาเหตุค่ะคือมูนนี่ต้องเร่งเขียนเซ็นซูภาคสองทำให้จำเป็นต้องวางเรื่องยมทูตไว้ก่อน ตอนนี้งานเลยชะงักเลยจำเป็นต้องทิ้งช่วงการโพสต์ห่างกันนานมาก

หากปิดเรื่องเซ็นซูเสร็จเรียบร้อยแล้วจะเร่งเขียนเรื่องนี้ไปพร้อมกับนิยายใหม่อีกเรื่องค่ะ

ดีใจจัง  ได้อ่านต่อแล้ว
ขอบคุณที่กลับมานะคะ
จากคุณ : kiikifon  
- ขอบคุณมากค่ะที่ติดตามเรื่องยมทูต แต่ระยะนี้อาจจะลงช้าตามเหตุผลที่ได้กล่าวข้างต้นนะคะ ต้องขออภัยจริงๆ


ข้อคิดคมๆประจำบท

.....คนที่รู้จักหาข้ออ้างเพื่อเหลีกเลี่ยงความผิดของตัวเองเพราะรู้ว่าสิ่งที่ตนกระทำอยู่นั้นไม่ถูกต้องจัดว่าพ้นวัยแห่งความไร้เดียงสาไปแล้ว ไอ้คำว่าทำไปเพราะคึกคะนองหรือยังเป็นเด็กน่ะก็แค่การแก้ตัว ..............
จากคุณ : GTW  
- ^^ มูนนี่คิดแบบนั้นจริงๆค่ะ

เศร้าจัง
จากคุณ : Tyra  
- ตอนเขียนก็สงสารเจ้าโป้งอยู่เหมือนกัน อยากจะบอกทุกคนว่าถ้าลูกตาย คนที่เสียใจมากที่สุดก็คือพ่อกับแม่ และท่านจะไม่มีวันลืมเราตลอดไป

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องยมทูตนะคะ

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 12:40:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com