Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หนึ่งความฝัน พันราตรี...บทที่ 2 ติดต่อทีมงาน

บทที่ 2

 

ภายนอกแหล่งกบดานอันปลอดภัยที่มุกมณียึดถือ หรือก็คือนอกห้องพักของอวี้ซู่ ให้บรรยากาศที่เจนตาแต่ไม่คุ้นเคย ทั้งแผ่นอิฐที่ปูลาด หรือต้นไม้ที่ปลูกประดับเป็นสวนระหว่างทาง สะท้อนถึงการดูแลเอาใจใส่ที่น่าจะต้องอาศัยอำนาจเงินทองมากพอสมควรเลยทีเดียว

 

มุกมณีพอจะเคยเห็นของพวกนี้มาบ้าง แต่น่าเสียดายที่ปราศจากความรู้พอจะแยกแยะรายละเอียดหรือระบุอะไรลงไปให้ชัดเจนกว่านี้ได้

 

คฤหาสน์หรือที่น่าจะเรียกอีกอย่างได้ว่าหมู่ตึกของแม่ทัพเว่ย ชวนให้มุกมณีนึกถึงบรรยากาศในหนังจีนที่เคยดูในวัยเด็กและมอมเมาให้หล่อนติดขนาดยอมนั่งดูแบบซับภาษาอังกฤษจนถึงทุกวันนี้

 

ชั่ววูบที่หล่อนนึกอยากเหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่ก ทำตนให้ตื่นตาตื่นใจสมกับการได้มาเห็นบรรยากาศที่อาจเรียกว่าเป็นของจริงเช่นนี้

 

แต่แค่เหลือบสายตาไป ไม่ต้องถึงขั้นซ้ายขวา เพียงสายตาสบกับหลังเหยียดตรงของสาวใช้ที่เดินนำหน้าอย่างเป็นระเบียบ และเลยไปอีกไม่ไกล คือร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพเว่ยที่ยืนตระหง่านใกล้รถม้า คอของมุกมณีก็แข็งเกร็งตั้งตรงจนขยับไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว

 

หล่อนจะทำท่าทางอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ภัยได้มาถึงตัวแน่....แค่รัศมีเค้าไอของท่านแม่ทัพที่คุกรุ่นในอากาศ ชวนให้นึกถึงตอนเพิ่งฟื้นมาใหม่ๆเมื่อไม่นานนี้ ก็ทำให้หล่อนย่นระย่อจนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองเต็มทีแล้ว

 

นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอวี้ซู่ล่ะก็.....

 

หญิงสาวไม่มีเวลานึกอะไรในใจนานกว่านั้น เพราะขบวนแถวนำทางรับส่งที่อยากขนานนามกลายๆว่าขบวนคุมตัว พาหล่อนมาหยุดอยู่หน้ารถม้าคันเล็ก จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นรถม้าที่มารับหลานสาวของพระราชินีเข้าไปพบป้าในวังหลวงของแคว้น

 

“เป็นอะไรไป อวี้ซู่” ท่านแม่ทัพเอ่ยเสียงหนัก เมื่อเห็นธิดาคนเดียวหยุดยืนเบื้องหน้ารถม้านิ่งงัน

 

มุกมณีเกือบจะหันสายตาที่ไม่ทันซ่อนประกายงุนงงไปจับจ้องอีกฝ่ายอยู่หรอก แต่ท่านแม่ทัพเว่ยกลับชิงเอ่ยต่อเสียก่อน ว่า

 

“ใต้ฝ่าพระบาททรงเป็นห่วงเจ้ามาก” สุ้มเสียงนั้นอ่อนโยนลงเล็กน้อย จนคนฟังรู้สึกได้ “เพียงแค่อยากแน่พระทัยเท่านั้น ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร จงรีบขึ้นไปเถิด”

 

“เจ้าค่ะ”

 

คือคำตอบเดียวที่มุกมณีนึกออกในเวลานั้น อวี้ซู่ก้มหน้าตอบขณะค่อยๆเดินย่างเท้าขึ้นบนรถ แต่ชั่วพริบตาก่อนที่ม่านจะปิดลง สายตาของมุกมณียังทันเห็นแววแปลกใจครามครันในดวงตาที่มองมาของผู้มีศักดิ์เป็นบิดาของเด็กหญิง

 

ม่านปิดฉับลง กั้นเธอไว้จากทุกคน ให้มุกมณีคลายนิ้วที่เพิ่งรู้สึกว่ากำเข้าหากันแน่น ขณะที่รถม้าค่อยๆเคลื่อนที่ไปช้าๆ อย่างนุ่มนวล

 

หล่อนต้องทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกถึงมุกมณีในตัวอวี้ซู่ !

 

 

 

หลังจากฟื้นขึ้นมาพร้อมอาเจียนออกไปจนเกือบหมดเรี่ยวแรงแล้ว มุกมณีก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าหล่อนกำลังฝันอยู่

 

เพราะหากเป็นความฝัน หล่อนจะเอาอะไรมาอธิบายหัวใจที่เต้นรัวเพราะความเหนื่อยหอบ รสขมฝาดที่แล่นผ่านลำคอและยังคละคลุ้งอยู่ในปากพวกนั้นเล่า ?

 

หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจ ปรับท่วงทำนองที่ระรัวในอกให้เป็นปกติ ขณะที่สาวน้อยหน้าตาหมดจดข้างตัวทำหน้าตาตื่น

 

“คุณหนู” หล่อนเรียกด้วยภาษาที่มุกมณีไม่คุ้น แต่กลับเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี “อดทนอีกครู่นะเจ้าคะ ท่านหมอกำลังจะมาแล้ว”

 

หล่อนไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบ และไม่แน่ใจว่าตนเองจะตอบได้ จึงเพียงพยักหน้า

 

อีกครู่ของเด็กสาวไม่นานจริงๆ เพราะหญิงสาวเพิ่งจะรู้สึกว่าหล่อนหลับตาพักไปได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ก็แว่วเสียงรายงานแว่วจากหน้าประตู พร้อมที่สาวน้อยประจำหน้าเตียงปราดเข้ามาจัดผ้าห่มคลุมตัวให้ และกระซิบ

 

“คุณหนูเจ้าคะ ท่านหมอเกอมาแล้วเจ้าค่ะ”

 

แม้บรรยากาศโดยรอบจะไม่ใช่สิ่งที่รู้จัก แต่มุกมณีมีความเชื่อว่ามารยาทเป็นสิ่งสามัญที่ปฏิบัติได้โดยไม่เสียหาย อย่าว่าแต่ หล่อนไม่มีทางไว้ใจหมอในโลกใหม่จนยอมหลับตาให้ตรวจเด็ดขาด

 

และแม้จะยังเหน็ดเหนื่อย แต่สายตาของเด็กหญิงยังคมชัด จนมุกมณีอดแปลกใจไมได้ เมื่อเห็น “ท่านหมอ” ที่เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน

 

หญิงสาวยอมรับว่าขื่อคานไม้แบบโบราณ กับเครื่องแต่งตัวกรุยกรายพร้อมคำพูดคำจาเว้นจังหวะจะโคนเรียงประโยคเช่นที่ได้ยิน ทำให้หล่อนไม่มีจินตภาพเกี่ยวกับหมอเป็นชายหนุ่มใส่เสื้อกาวน์สีขาวแม้สักนิด

 

ดังนั้น เมื่อชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมดูเป็นสุภาพชนก้าวเข้ามาในห้องด้วยความเร่งรีบทว่าสำรวม หญิงสาวจึงไม่อาจหักห้ามความแปลกใจบนสีหน้าได้ ทั้งไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องกลบเกลื่อนด้วย

 

หมอหนุ่มหลบตาลงต่ำ และเอ่ยคำคารวะเด็กหญิงที่ดูอย่างไรก็อ่อนกว่าเขาเป็นสิบปีเบาๆ เปิดโอกาสให้มุกมณีได้ใช้สายตาสอดส่องมองขึ้นมองลงอย่างไม่ต้องคำนึงถึงมารยาทมากนัก

 

นอกจากรูปลักษณ์ที่ดูหนุ่มแน่นแข็งแรงอย่างถึงที่สุดแล้ว หมอเกอก็ไม่ได้มีอะไรขัดหูขัดตาอีก เขาสะพายกระเป๋าไม้มาด้วยหนึ่งใบ ชวนให้หล่อนนึกถึงกระเป๋าปฐมพยาบาล แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังรู้สึกขัดแยกแปลกแปร่งอยู่ดี

 

หากหมอเกอได้เอ่ยทำลายความคิดหล่อนลงเสียก่อนว่า

 

“ขอเสียมารยาทด้วย”

 

เป็นคำพูดง่ายๆไม่บ่งบอกอย่างอื่น แต่ท่าทางคล้ายรอคอยบางสิ่งบางอย่าง

 

หญิงสาวในร่างเด็กหญิงไม่มีทางเลือกอื่น เจียเอ๋อร์ก็ถอยกลับไปยืนอยู่ท้ายเตียงเสียแล้ว แต่ถึงอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ มุกมณีก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ประโยชน์อะไรอยู่ดี

 

หล่อนยื่นแขกไปให้อีกฝ่ายเงียบๆ

 

ก่อนลอบระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อหมอเกอพยักหน้าและวางปลายนิ้วแตะชีพจรเด็กหญิงเงียบๆ

 

.ใช้เวลาไม่ถึงอึดใจด้วยซ้ำ หมอเกอก็ถอนนิ้วออก พลางเอ่ยอย่างถนอมเสียง แต่แฝงกังวานพิกลปนอยู่เล็กน้อย

 

“คุณหนูยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก ‘หัวใจ’ ไม่แข็งแรงอย่างทุกที คงต้องระมัดระวังและกินยาสักสองหม้อ”

 

ในตอนนั้น สมองมุกมณียังแล่นได้ไม่เร็วนัก แต่แค่คำเอ่ยนี้ของท่านหมอก็ทำเอาหล่อนแทบสะดุ้งเฮือกเสียแล้ว

 

ความรู้สึกที่เหมือนบางอย่างถูกควักออกไปจากทรวงอกด้านซ้ายนั่น ...ติดตรึงมากกว่าที่หล่อนคาดและเจ็บปวดยิ่งกว่าที่คิดฝัน

 

ทุกอย่างอาจเริ่มจากตอนนั้น

 

 

 

 

 

หญิงสาวเอนร่างพิงหมอนที่ถูกจัดวางในรถม้า...ซึ่งเอาเข้าจริงเมื่ออยู่ในร่างของอวี้ซู่ ก็จัดว่ากว้างขวางจนพอให้หล่อนทิ้งตัวลงนอนได้อย่างสบาย

 

ชีวิตเป็นเพียงคล้ายฝันตื่นหนึ่ง

 

คนฝันว่าเป็นผีเสื้อ ล่องลอยในภาพฝันไร้คน แต่ยามลืมตาตื่นกลับคืนเป็นคน ใช่ผีเสื้อ หากยังมีคำถามตามมา ที่แท้คนฝันเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อฝันเป็นคน ?[1]

 

คำถามที่แต่ก่อนหล่อนฟังแล้วผ่านเลย เพราะเป็นเพียงแต่เรื่องบอกเล่าในวิชาปรัชญาที่ตนไม่ถนัด มาบัดนี้กลับสะท้อนก้องในหัวไปมาอย่างน่าประหลาด

 

นี่หล่อนหลับฝันว่าเป็นอวี้ซู่....หรืออาจกล่าวได้ว่ามุกมณีเป็นความฝันตื่นหนึ่งของอวี้ซู่หรือ ?

 

เปลือกตาที่ปวดร้าวและร้อนผ่าวกะทันหันทำให้หล่อนเลือกจะปิดมันลง กล้ำกลืนในพริบตา ก่อนลืมขึ้นด้วยแววแข็งกร้าว

 

ถ้าหากจะมีเวลาว่างสงสัยล่ะก็ หล่อนสู้เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า !

 

อย่างน้อย...ตอนนี้เห็นทีจะต้องผ่านด่านราชินีของแคว้นปิงผู้เคยโปรดปราณคนอย่างอวี้ซู่ให้ได้ก่อน...

 

คิดมาถึงตรงนี้ ผู้ที่อยู่ในร่างอวี้ซู่ก็เผยอรอยยิ้มทั้งที่ขบกรามแน่น

 

คนอย่างอวี้ซู่ !

 



[1] มาจาก "หูเตี๋ยเมิ่ง" หรือ "ความฝันของผีเสื้อ" อันเป็นบทประพันธ์เลื่องชื่อของ "จวงจื๊อ" ผู้เป็นปรัชญาเมธีและนักศิลปศาสตร์ผู้โด่งดังแห่งลัทธิเต๋าในสมัยสงครามระหว่างรัฐ(จั้นกั๋ว) มีใจความอย่างย่อว่า "...จวงจื๊อหลับแล้วฝันไปว่าตนเป็นผีเสื้อ ในฝันคิดว่าตนเองคือผีเสื้อ ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าตนยังคงเป็นจวงจื๊อ เช่นนั้น เป็นจวงจื๊อฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือเป็นผีเสื้อที่ฝันว่าเป็นจวงจื๊อกันแน่"

จากคุณ : XueYitan
เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 55 04:49:42




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com