บทที่ 2
ภายนอกแหล่งกบดานอันปลอดภัยที่มุกมณียึดถือ หรือก็คือนอกห้องพักของอวี้ซู่ ให้บรรยากาศที่เจนตาแต่ไม่คุ้นเคย ทั้งแผ่นอิฐที่ปูลาด หรือต้นไม้ที่ปลูกประดับเป็นสวนระหว่างทาง สะท้อนถึงการดูแลเอาใจใส่ที่น่าจะต้องอาศัยอำนาจเงินทองมากพอสมควรเลยทีเดียว
มุกมณีพอจะเคยเห็นของพวกนี้มาบ้าง แต่น่าเสียดายที่ปราศจากความรู้พอจะแยกแยะรายละเอียดหรือระบุอะไรลงไปให้ชัดเจนกว่านี้ได้
คฤหาสน์หรือที่น่าจะเรียกอีกอย่างได้ว่าหมู่ตึกของแม่ทัพเว่ย ชวนให้มุกมณีนึกถึงบรรยากาศในหนังจีนที่เคยดูในวัยเด็กและมอมเมาให้หล่อนติดขนาดยอมนั่งดูแบบซับภาษาอังกฤษจนถึงทุกวันนี้
ชั่ววูบที่หล่อนนึกอยากเหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่ก ทำตนให้ตื่นตาตื่นใจสมกับการได้มาเห็นบรรยากาศที่อาจเรียกว่าเป็นของจริงเช่นนี้
แต่แค่เหลือบสายตาไป ไม่ต้องถึงขั้นซ้ายขวา เพียงสายตาสบกับหลังเหยียดตรงของสาวใช้ที่เดินนำหน้าอย่างเป็นระเบียบ และเลยไปอีกไม่ไกล คือร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพเว่ยที่ยืนตระหง่านใกล้รถม้า คอของมุกมณีก็แข็งเกร็งตั้งตรงจนขยับไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว
หล่อนจะทำท่าทางอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ภัยได้มาถึงตัวแน่....แค่รัศมีเค้าไอของท่านแม่ทัพที่คุกรุ่นในอากาศ ชวนให้นึกถึงตอนเพิ่งฟื้นมาใหม่ๆเมื่อไม่นานนี้ ก็ทำให้หล่อนย่นระย่อจนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองเต็มทีแล้ว
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอวี้ซู่ล่ะก็.....
หญิงสาวไม่มีเวลานึกอะไรในใจนานกว่านั้น เพราะขบวนแถวนำทางรับส่งที่อยากขนานนามกลายๆว่าขบวนคุมตัว พาหล่อนมาหยุดอยู่หน้ารถม้าคันเล็ก จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นรถม้าที่มารับหลานสาวของพระราชินีเข้าไปพบป้าในวังหลวงของแคว้น
เป็นอะไรไป อวี้ซู่ ท่านแม่ทัพเอ่ยเสียงหนัก เมื่อเห็นธิดาคนเดียวหยุดยืนเบื้องหน้ารถม้านิ่งงัน
มุกมณีเกือบจะหันสายตาที่ไม่ทันซ่อนประกายงุนงงไปจับจ้องอีกฝ่ายอยู่หรอก แต่ท่านแม่ทัพเว่ยกลับชิงเอ่ยต่อเสียก่อน ว่า
ใต้ฝ่าพระบาททรงเป็นห่วงเจ้ามาก สุ้มเสียงนั้นอ่อนโยนลงเล็กน้อย จนคนฟังรู้สึกได้ เพียงแค่อยากแน่พระทัยเท่านั้น ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร จงรีบขึ้นไปเถิด
เจ้าค่ะ
คือคำตอบเดียวที่มุกมณีนึกออกในเวลานั้น อวี้ซู่ก้มหน้าตอบขณะค่อยๆเดินย่างเท้าขึ้นบนรถ แต่ชั่วพริบตาก่อนที่ม่านจะปิดลง สายตาของมุกมณียังทันเห็นแววแปลกใจครามครันในดวงตาที่มองมาของผู้มีศักดิ์เป็นบิดาของเด็กหญิง
ม่านปิดฉับลง กั้นเธอไว้จากทุกคน ให้มุกมณีคลายนิ้วที่เพิ่งรู้สึกว่ากำเข้าหากันแน่น ขณะที่รถม้าค่อยๆเคลื่อนที่ไปช้าๆ อย่างนุ่มนวล
หล่อนต้องทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกถึงมุกมณีในตัวอวี้ซู่ !
หลังจากฟื้นขึ้นมาพร้อมอาเจียนออกไปจนเกือบหมดเรี่ยวแรงแล้ว มุกมณีก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าหล่อนกำลังฝันอยู่
เพราะหากเป็นความฝัน หล่อนจะเอาอะไรมาอธิบายหัวใจที่เต้นรัวเพราะความเหนื่อยหอบ รสขมฝาดที่แล่นผ่านลำคอและยังคละคลุ้งอยู่ในปากพวกนั้นเล่า ?
หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจ ปรับท่วงทำนองที่ระรัวในอกให้เป็นปกติ ขณะที่สาวน้อยหน้าตาหมดจดข้างตัวทำหน้าตาตื่น
คุณหนู หล่อนเรียกด้วยภาษาที่มุกมณีไม่คุ้น แต่กลับเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี อดทนอีกครู่นะเจ้าคะ ท่านหมอกำลังจะมาแล้ว
หล่อนไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบ และไม่แน่ใจว่าตนเองจะตอบได้ จึงเพียงพยักหน้า
อีกครู่ของเด็กสาวไม่นานจริงๆ เพราะหญิงสาวเพิ่งจะรู้สึกว่าหล่อนหลับตาพักไปได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ก็แว่วเสียงรายงานแว่วจากหน้าประตู พร้อมที่สาวน้อยประจำหน้าเตียงปราดเข้ามาจัดผ้าห่มคลุมตัวให้ และกระซิบ
คุณหนูเจ้าคะ ท่านหมอเกอมาแล้วเจ้าค่ะ
แม้บรรยากาศโดยรอบจะไม่ใช่สิ่งที่รู้จัก แต่มุกมณีมีความเชื่อว่ามารยาทเป็นสิ่งสามัญที่ปฏิบัติได้โดยไม่เสียหาย อย่าว่าแต่ หล่อนไม่มีทางไว้ใจหมอในโลกใหม่จนยอมหลับตาให้ตรวจเด็ดขาด
และแม้จะยังเหน็ดเหนื่อย แต่สายตาของเด็กหญิงยังคมชัด จนมุกมณีอดแปลกใจไมได้ เมื่อเห็น ท่านหมอ ที่เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน
หญิงสาวยอมรับว่าขื่อคานไม้แบบโบราณ กับเครื่องแต่งตัวกรุยกรายพร้อมคำพูดคำจาเว้นจังหวะจะโคนเรียงประโยคเช่นที่ได้ยิน ทำให้หล่อนไม่มีจินตภาพเกี่ยวกับหมอเป็นชายหนุ่มใส่เสื้อกาวน์สีขาวแม้สักนิด
ดังนั้น เมื่อชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมดูเป็นสุภาพชนก้าวเข้ามาในห้องด้วยความเร่งรีบทว่าสำรวม หญิงสาวจึงไม่อาจหักห้ามความแปลกใจบนสีหน้าได้ ทั้งไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องกลบเกลื่อนด้วย
หมอหนุ่มหลบตาลงต่ำ และเอ่ยคำคารวะเด็กหญิงที่ดูอย่างไรก็อ่อนกว่าเขาเป็นสิบปีเบาๆ เปิดโอกาสให้มุกมณีได้ใช้สายตาสอดส่องมองขึ้นมองลงอย่างไม่ต้องคำนึงถึงมารยาทมากนัก
นอกจากรูปลักษณ์ที่ดูหนุ่มแน่นแข็งแรงอย่างถึงที่สุดแล้ว หมอเกอก็ไม่ได้มีอะไรขัดหูขัดตาอีก เขาสะพายกระเป๋าไม้มาด้วยหนึ่งใบ ชวนให้หล่อนนึกถึงกระเป๋าปฐมพยาบาล แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังรู้สึกขัดแยกแปลกแปร่งอยู่ดี
หากหมอเกอได้เอ่ยทำลายความคิดหล่อนลงเสียก่อนว่า
ขอเสียมารยาทด้วย
เป็นคำพูดง่ายๆไม่บ่งบอกอย่างอื่น แต่ท่าทางคล้ายรอคอยบางสิ่งบางอย่าง
หญิงสาวในร่างเด็กหญิงไม่มีทางเลือกอื่น เจียเอ๋อร์ก็ถอยกลับไปยืนอยู่ท้ายเตียงเสียแล้ว แต่ถึงอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ มุกมณีก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ประโยชน์อะไรอยู่ดี
หล่อนยื่นแขกไปให้อีกฝ่ายเงียบๆ
ก่อนลอบระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อหมอเกอพยักหน้าและวางปลายนิ้วแตะชีพจรเด็กหญิงเงียบๆ
.ใช้เวลาไม่ถึงอึดใจด้วยซ้ำ หมอเกอก็ถอนนิ้วออก พลางเอ่ยอย่างถนอมเสียง แต่แฝงกังวานพิกลปนอยู่เล็กน้อย
คุณหนูยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก หัวใจ ไม่แข็งแรงอย่างทุกที คงต้องระมัดระวังและกินยาสักสองหม้อ
ในตอนนั้น สมองมุกมณียังแล่นได้ไม่เร็วนัก แต่แค่คำเอ่ยนี้ของท่านหมอก็ทำเอาหล่อนแทบสะดุ้งเฮือกเสียแล้ว
ความรู้สึกที่เหมือนบางอย่างถูกควักออกไปจากทรวงอกด้านซ้ายนั่น ...ติดตรึงมากกว่าที่หล่อนคาดและเจ็บปวดยิ่งกว่าที่คิดฝัน
ทุกอย่างอาจเริ่มจากตอนนั้น
หญิงสาวเอนร่างพิงหมอนที่ถูกจัดวางในรถม้า...ซึ่งเอาเข้าจริงเมื่ออยู่ในร่างของอวี้ซู่ ก็จัดว่ากว้างขวางจนพอให้หล่อนทิ้งตัวลงนอนได้อย่างสบาย
ชีวิตเป็นเพียงคล้ายฝันตื่นหนึ่ง
คนฝันว่าเป็นผีเสื้อ ล่องลอยในภาพฝันไร้คน แต่ยามลืมตาตื่นกลับคืนเป็นคน ใช่ผีเสื้อ หากยังมีคำถามตามมา ที่แท้คนฝันเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อฝันเป็นคน ?
คำถามที่แต่ก่อนหล่อนฟังแล้วผ่านเลย เพราะเป็นเพียงแต่เรื่องบอกเล่าในวิชาปรัชญาที่ตนไม่ถนัด มาบัดนี้กลับสะท้อนก้องในหัวไปมาอย่างน่าประหลาด
นี่หล่อนหลับฝันว่าเป็นอวี้ซู่....หรืออาจกล่าวได้ว่ามุกมณีเป็นความฝันตื่นหนึ่งของอวี้ซู่หรือ ?
เปลือกตาที่ปวดร้าวและร้อนผ่าวกะทันหันทำให้หล่อนเลือกจะปิดมันลง กล้ำกลืนในพริบตา ก่อนลืมขึ้นด้วยแววแข็งกร้าว
ถ้าหากจะมีเวลาว่างสงสัยล่ะก็ หล่อนสู้เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า !
อย่างน้อย...ตอนนี้เห็นทีจะต้องผ่านด่านราชินีของแคว้นปิงผู้เคยโปรดปราณคนอย่างอวี้ซู่ให้ได้ก่อน...
คิดมาถึงตรงนี้ ผู้ที่อยู่ในร่างอวี้ซู่ก็เผยอรอยยิ้มทั้งที่ขบกรามแน่น
คนอย่างอวี้ซู่ !