เมื่อผมตาย........ ประโยคนี้อาจฟังดูแปลกๆ ไม่คุ้นหู หากใครซักคนจะพูดขึ้นมา เราอาจจะเดาได้ว่า ผู้พูดอาจกำลังสมมุติอยู่ หรือ อาจจะตายไปแล้วก็ได้ ซึ่งหากเป็นอย่างหลังล่ะก็ .......เอ่อ ตัวใครตัวมันล่ะคร้าบ!!
แต่คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งโกยแน่บกันนะครับ เพราะในตอนนี้ผมเป็นอย่างแรกครับ ..อย่างน้อยๆก็ตอนที่ผมกำลังเขียนอยู่นี่แหละน่า
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมไอ้บ้านี่ จู่ๆมันนึกครึ้มอะไรขึ้นมา มาเขียนบทความตายๆอะไรแถวนี้วะเนี่ย?? ผมขอบอกตามตรงเลยนะครับว่า ผม...ไม่ได้บ้าครับ (จริง จริ๊งงง) .........แต่อยากจะบอกกับท่านผู้อ่านทุกคนไว้ว่า .....ความตายมันอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิดครับ
อ้าว ไม่เชื่อคุณไปเปิดหนังสือพิมพ์ดูได้ วันไหนไม่มีข่าวคนตาย ถ้าไม่มี.....มาตื้บม้ามผมได้เลยครับ (อย่าลืมโทรนัดก่อนนะ) ไม่ก็ไปดูวัดแถวบ้านก็ได้ อาทิตย์ไหนไม่มีงานศพมั่ง (...เอาเฉพาะวัดที่มีเมรุนะครับพี่น้อง)
สถิติคนตายปี 2553 คือ 0.65 เปอร์เซนต์ (ไม่ชัวร์นะครับ) ดูผิวเผินอาจจะไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่หากคุณคิดดูว่าว่า สมมุติคุณเป็นนักเรียนในโรงเรียนหนึ่ง ซี่งมีเด็ก 1000 คน แล้วเพื่อนคุณตายไปปีละเกือบเจ็ดคนล่ะ ทีนี้คุณว่า เริ่มเยอะขึ้นมารึยัง??
ครับ....ความตายมันใกล้ตัวเรามากจริงๆใช่มั้ยล่ะครับ แต่เราก็ทำเป็นมองไม่เห็นบ้างล่ะ คิด(เข้าข้างตัวเอง) ไปบ้างล่ะว่า .....'มันคงยังมาถึงคราวเราหรอกม้างงง??' ไม่ก็ ' เฮ่ยยย ไม่หรอกม๊างงง เรายังเด็กอยู่เลย ' หรือ ...... ' เฮ้ยยย ยังหรอกน่า ตรูยังไม่ได้แต่งงานเลย '
ใครๆก็คิดแบบนั้น ใช่มั้ยครับ .....คนที่เค้าตายๆกันไป เค้าก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน ....ไม่มีใครคิดหรอกครับว่า ตัวเองจะต้องมาตายตอนนี้ หรือ ข่าวคนตายในหนังสือพิมพ์พรุ่งนี้จะต้องเป็นเรา
แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ท่านยมเค้าก็คงไม่รอหรอกครับ ว่า อ้าวไอ้นั่นยังไม่แต่งงาน .... รอให้มันแต่งก่อนละกัน ไอ้นู่นกำลังเตรียมสอบ A net ...... เออ ให้มันเรียนจบก่อนเว้ย .....หากถึงคราวจริงๆแล้ว ขนาดที่ตั้งใจจะบวชอยู่รอมร่อ แล้วมาตายก่อนบวชก็มีไม่น้อย โบราณเค้าถึงว่า ....คนมันจะตาย ยังไงก็หนีไม่พ้น ... ขนาดไม่จิ้มฟันทิ่มเหงือกยัง(เจือก)ตาย
ด้วยความที่เราไม่อาจล่วงรู้วันตายของเราได้นี่เอง เราถึงได้ประมาทไปกับการใช้ชีวิตผิดกับคนที่เห็นความตายอยู่ตรงหน้า แล้วพร้อมที่จะตาย พวกนี้เค้าใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีคุณค่ามากที่สุด เพราะเค้ารู้ว่าเค้ามีเวลาอยู่บนโลกได้ไม่นาน
ดูอย่างคุณ สตีฟ จ๊อบส์สิครับ ครั้งหนึ่งเขาไปตรวจเจอมะเร็งที่ตับอ่อนเมื่อหลายปีที่ผ่านมา แต่แทนที่เขาจะมัวมานั่งทุกข์รอความตาย เขากลับใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า สร้างนวัตกรรมใหม่ออกมามากมายให้แก่ชาวโลก นั่นก็เพราะเขารู้จักที่จะเตรียมตัวตายอย่างมีสติ ใช้ชีวิตทุกๆวันให้เหมือนกับเป็นวันสุดท้ายของชีวิต แล้วเมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ เขาก็สามารถจากโลกนี้ไปได้อย่างสง่างาม
.....น่าแปลกมั้ยล่ะครับ ที่คนใกล้จะตายกลับใช้ 'ชีวิต'ได้อย่างมีคุณค่ามากกว่า คนที่มี 'ชีวิต' ......แต่มัวหลงระเริงไปกับมัน
นั่นก็เพราะ 'ความตาย' สอนให้เรา รู้จัก 'ชีวิต' ยังไงล่ะครับ .........
คุณผู้อ่านลองหลับตา แล้วนึกดูนะครับว่า หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตคุณ ....เมื่อคุณหลับไปคืนนี้ ..คุณจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
....คุณจะยังโกหกแฟนคุณ เพื่อไปดูหนังกับกิ๊กเย็นนี้อยู่อีกมั้ย? .....คุณจะไปกู้หนี้ยืมสินชาวบ้าน เพื่อไปผ่อนไอโฟน 4s อยู่อีกรึเปล่า ? ......คุณจะยังเก็บความแค้น ที่เพื่อนร่วมงานคุณนินทาลับหลังอยู่อีกมั้ย ? .........คุณจะยังเข้ากระทู้นู้น กระทู้นี้แล้วไปเม้นตอบแบบเกรียนๆอยู่อีกรึเปล่า ? ....... สังคมเราทุกวันนี้ มี 'ขยะมูลฝอยทางความคิด' ที่ถูกย้อมให้กลายมาเป็น 'สิ่งสำคัญ' ในชีวิตเรามากเหลือเกิน .....บังเอิญมันย้อมซะเนียนมาก เราก็เลยดูไม่ออก
แต่หากคุณรู้ว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม คุณจะแยกออกได้ทันที ว่าอะไร...คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณกันแน่ ....ใช่ไอโฟน 4S รึเปล่า ? .........ใช่รถยนต์คันหรูมั้ย ? ..............ใช่ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆ มั้ย ? ..................ใช่ กิ๊กใหม่ ขาว หมวย เอ๊กซ์ คนนี้รึเปล่า ?? .... ................... อย่ามัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่งเลยว่า เอ้ออันนี้เดี๋ยวไว้ค่อยทำวันหลังก็ได้ อย่ามัวแต่คิดว่า ' วันนี้เราสนุกกับชีวิตให้เต็มที่ไปก่อน ....... แล้ววันหลังค่อยทำบุญ ทำกุศล ....วันหลังค่อยดูแลพ่อแม่ ....วันหลังค่อยทำในสิ่งที่เราฝัน......วันหลังค่อย.....บลาๆๆ'
เอาเข้าจริงๆแล้ว เราก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ไอ้วันหลังที่ว่านี่ ........มันจะมาถึงรึเปล่าก็ไม่รู้
ทุกวันนี้ ...เราใช้ชีวิตกันอย่างประมาทเกินไปรึเปล่า ??
แทนที่เราจะมัวหลงระเริงไปกับชีวิต.... .......เราควรจะเตรียมตัวตายอย่างมีสติดีกว่ามั้ย??
(เฮ้ยย อย่าเพิ่งหาว่าผมพูดจาอะไรอัปมงคลเลยนะครับ ....ไอ้เรื่องตายนี่ เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องเผชิญอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว พระพุทธเจ้าท่านยังสอนเลยว่า ...ให้หมั่นพิจารณาความตายอยู่บ่อยๆ )
พูดถึงเรื่อง 'เตรียมตัวตาย' มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะฝากท่านผู้อ่านเอาไว้
เราทุกคนสามารถเตรียมงานวันเกิด งานเลี้ยงรับปริญญา งานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ หรือ งานอะไรต่อมิอะไร ของตัวเองได้ .....แต่จะมีใครซักกี่คนที่จะสามารถจัดเตรียมงานศพของตัวเองได้
ครับ......ผมกำลังเชิญชวนท่านผู้อ่าน เตรียมงานศพให้ตัวเอง
....... เอ้า .... ผมพูดจริงๆนะครับ !! อย่าหาว่าผมแช่งหรืออะไรเลยครับ แต่อยากให้ ลองคิดกันดูว่า งานศพของเราเองแท้ๆ ทำไมเราจะเตรียมงานล่วงหน้าไม่ได้ ??
จริงๆแล้ว ผมว่ามันควรจะเป็นงานแรกๆที่เราจะต้องเตรียมการด้วยซ้ำ เพราะงานอื่นๆ เรารู้กำหนดวันเวลาที่แน่นอนล่วงหน้า แต่งานศพเรานี่ เราไม่รู้จริงๆว่าเราจะตายเมื่อไหร่ (เอ๊ะ ...หรือคุณรู้??)
แม้ผมจะเคยไปงานศพมาไม่มากนัก แต่ผมก็มักจะเห็นรูปแบบเดิมๆ และธรรมเนียมบางอย่างที่สักแต่ว่า ' ทำตามๆกันมา ' ซึ่งผมเห็นว่ามันไม่ค่อยจะมีแก่นสารและทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เหมือนเอาเงินไปเผาเล่นๆ อันนี้ผมไม่ได้ว่า ความคิดของคนโบราณไม่ดีนะครับ ตรงกันข้าม ความคิดและกุศโลบายที่แฝงอยู่ในทุกรายละเอียดนั้น มีนัยยะที่แฝงแง่คิดสอนใจและปริศนาธรรมซ่อนไว้อยู่มากมาย ทว่า.... เราคนรุ่นหลังกลับถ่ายทอดออกมาได้เพียงเปลือก แถมเพิ่มเอาบางอย่างที่ไม่ค่อยจำเป็นเข้าไปอีก .....นั่นแหละ ผมก็เลยไม่อยากให้งานศพของผมต้องเป็นแบบนั้น
และเพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านครหา ....ผมเองก็เตรียมตัวสำหรับงานศพผมเองเหมือนกันครับ ผมเขียนโน้ทระบุสิ่งที่ผมต้องการเอาไว้ รวมไปถึงบทความนี้ด้วยที่ผมตั้งใจว่าจะปรับนิดหน่อยและเอาไปลงในหนังสืองานศพผม แล้วแนบไปในอีเมลส่งให้เพื่อนที่ไว้ใจ (ไม่กล้าส่งให้พ่อแม่ และญาติๆ เดี๋ยวท่านจะตกใจ)
วันนี้.... เมื่อผมได้เตรียมตัวตายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อผมตาย......ผมก็จะไม่มีอะไรต้องห่วงอีก และเมื่อผมมีชีวิตอยู่....... ผมก็จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ประมาท
ดังนั้น ผมขอชวนคุณอีกครั้ง.....
..............มาเตรียมตัวตายกันเถอะครับ...............
จากคุณ |
:
ซงย้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ม.ค. 55 16:42:24
|
|
|
|