Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วิญญาณ...ความผูกพัน : ตอน ใบหน้าปริศนาบนกระดานดำ (๒) ติดต่อทีมงาน

วิญญาณ...ความผูกพัน  : ตอน ใบหน้าปริศนาบนกระดานดำ (๒)


สิ้นเสียงบอกเลิกแถว นักเรียนทุกระดับชั้นจึงเดินแยกย้ายไปยังห้องเรียนที่ตนเองจะต้องเรียนในคาบแรกนี้ ห้องใดที่เป็นคาบวิชาอิสระ ก็เดินแยกกลุ่มไปนั่งตามม้าหินอ่อนหรือเดินไปที่ห้องสมุดตามความชอบ ส่วนห้อง ม. ๒/๖ นั้น เช้านี้จะต้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของอาจารย์สายสมเป็นคาบแรก ทั้งหมดเดินจับกลุ่มมาที่อาคารสามอย่างกลัวๆ กล้าๆ เพราะยังไม่หายหวาดกลัวจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เคราะห์ดีที่ห้องเรียนคาบแรกอยู่ทางปีกหลังของตึก และอยู่คนละชั้นกันด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ดีที่ไม่ต้องเดินผ่าน ส้มกับแก้วเงยหน้ามองขึ้นไปแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาสบตากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“หวังว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ”

ส้มบอก ยิ่งคิดถึงสีหน้าของอาจารย์สายสมเมื่อวานนี้แล้ว เธฮก็ยิ่งสังหรณ์ขึ้นมาแปลกๆ แก้วเอื้อมมือมากุมมือเพื่อนแล้วบีบเบาๆ

“น่าจะไม่เป็นไรนะ ไปเถอะ”    

เสียงพูดคุยกันดังลั่นราวนกกระจอกแตกรังนั้นเป็นเรื่องปกติของเด็กๆ ที่กว่าจะเงียบเสียงลงได้ก็ต่อเมื่ออาจารย์ผู้สอนก้าวเข้ามาในห้องเท่านั้น เด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินเลี่ยงไปทางหลังห้อง เพื่อหามุมเล่นผีตะเกียบอย่างที่เคยทำ แต่กลิ่นคาวประหลาดที่โชยมาจากรอยเปียกของน้ำตรงมุมหนึ่งของห้องทำให้เด็กๆ ชะงัก ใครคนหนึ่งถามขึ้นอย่างขำๆ ไม่คิดว่าจะมีอะไร นอกจากจะมีใครสักคนทำน้ำหกเอาไว้เท่านั้น

“กลิ่นยังกะเลือดแน่ะแฮะ เฮ้ย พวกแกอ่ะ ใครเมนส์มาหรือเปล่า”

ไม่ทันที่ใครจะตอบคำถามนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งแหงนเงยขึ้นไปบนเพดานห้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะกรีดร้องออกมาดังลั่น เสียงของเธอทำให้หลายคนหันมามองเป็นตาเดียว ก็เห็นเจ้าของเสียงชี้มือสั่นๆ ขึ้นไปบนเพดานห้อง รอยน้ำสีแดงคล้ำเกือบจะแห้งแผ่เป็นวงใหญ่อยู่ตรงนั้น สีที่ใครเห็นก็บอกได้ทันทีว่ามันคือเลือด!


เสียงร้องกรี๊ดด้วยความตกใจแกมหวาดกลัวของนักเรียนหญิง ๔๗ คนดังลั่น ไม่ใช่แค่นักเรียนและอาจารย์ที่อยู่ชั้นสองเท่านั้น แต่เป็นทั้งตึกทีเดียวที่ได้ยิน ส้มสะดุ้งเฮือกหันมามองหน้าแก้วอย่างใจคอไม่ดี ส่วนคนอื่นๆ ก็หน้าเผือดไปนิด หรือว่าจะมีคนเจอดีเข้าแล้วละนี่ แต่ว่า... ถ้าส้มจำไม่ผิด คาบแรกนี้ ห้องเรียนชั้นสามฝั่งปีกหน้าว่างยาวตลอดสี่ห้อง คงมีเพียงห้อง ๓๓๕ และ ๓๓๖ ที่อยู่ปีกหลังเท่านั้นที่มีคนใช้  

“แก พวกแก แย่แล้ว เด็ก ม.๑ ที่ใช้ห้อง ๓๒๑ อ่ะ เห็นเลือดหยดลงมาจากห้องโฮมรูมเราอ่ะ”

นิว เพื่อนร่วมชั้นวิ่งหน้าเริดเข้ามาบอก หน้าของนิวซีดอย่างเห็นได้ชัด เจ้าหล่อนเพิ่งแวะไปเอาของจากเพื่อนอีกห้องหนึ่งที่เผอิญใช้ห้อง ๓๒๓ ซึ่งอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุด คำพูดนั้นทำให้ใครหลายคนทะลึ่งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ และวิ่งเข้ามาล้อมรอบตัวนิวอย่างตกใจแกมอยากรู้

“แกฟังผิดไปป่าว ไอ้นิว”

“ไม่ผิดล่ะ ฉันไปเห็นด้วยตาตัวเองเลย แก จะเกี่ยวกับเรื่องนั้นมั้ยอ่ะ”

ไม่มีใครตอบคำถามของนิว ต่างคนต่างใจเต้นตึกตัก และหนาวเยือกไปตลอดทั้งสันหลังพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เสียงใครคนหนึ่งร้องออกมาว่า

“ไปที่ห้องโฮมรูมกัน เผื่อเมื่อวานใครจะทำน้ำหกไว้ แล้วมันผสมกับแลคเกอร์ที่เราเพิ่งลงกันไว้มันจะออกมาเหมือนเลือด”

ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่านี้ เห็นด้วยตาตัวเองดีกว่าที่จะมานั่งคิดฟุ้งซ่านให้ตัวเองกลัวกันมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งหมดจึงจับกลุ่มเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องเกิดเหตุอย่างกล้าๆ กลัวๆ กว่าจะรู้ตัวว่าคิดผิดก็ตอนที่มาถึงห้อง ๓๓๑ แล้ว


กลิ่นคาวเลือดคลุ้งตลบเข้ามากระทบจมูก หน้าห้องนั้นมีเด็กๆ กลุ่มหนึ่งมาออกันอยู่แล้ว ทั้งหมดอาศัยว่าเป็นผู้รับผิดชอบห้องจึงเบียดเข้าไปดูสภาพในห้องได้สำเร็จ ไม่มีใครกล้าหันไปมองที่กระดานดำสักคนเดียว โต๊ะและเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดเหมือนมีการต่อสู้นั้น ทำให้เด็กสาวห้อง ๒/๖ ถึงกับกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ ที่มุมห้องฝั่งขวามือ ปลายเท้าของใครคนหนึ่งโผล่ออกมา ดิวทำใจกล้าโผล่เข้าไปดูคนแรก ไม่ถึงนาทีดิวก็พุ่งตัวออกมาทางหน้าห้อง แล้วโก่งคออาเจียนออกมา

“ดิว อะไร”

“ลุงพร ลุงพร ฮือ อ้วก”

แก้วดึงมือส้มเข้าไปดู แล้วก็ตัวชาวาบ ตรงนั้นร่างท้วมของลุงพร ภารโรงประจำตึกนอนหงายเหยียดยาวอยู่ และสิ่งที่ทำให้ดิวถึงกับอาเจียนไม่ใช่รอยเลือดแห้งเกรอะกรังตามลำตัว ไม่ใช่นัยน์ตาที่เหลือกลานเหมือนหวาดกลัวสุดชีวิตก่อนตายของลุงพร แต่เป็นบาดแผลบริเวณอกซ้ายของศพที่เหมือนถูกของมีคมบางอย่างคว้านทะลุเข้าไป มิหนำซ้ำฆาตกรยังควักเอาหัวใจของศพออกมาบีบเล่นจนเละแล้วคาไว้ตรงนั้น

หลายคนกรีดร้อง หลายคนยืนหน้าซีดพูดไม่ออก และหลายคนก็มีอาการเดียวกันกับดิว อาจจะนานนับนาที หรือเพียงชั่วพริบตาเดียวก็ได้ เสียงของอาจารย์ยุทธพงษ์ ซึ่งเป็นอาจารย์พละก็ดังขึ้น

“เด็กๆ ออกมาก่อน ให้ตำรวจเขาไปทำหน้าที่”

ไม่ต้องรอให้สั่งเป็นครั้งที่สอง เด็กๆ รีบออกจากห้องชนิดที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ช้าเกินกว่าจะได้ยินตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้นมาว่า    

“แล้วนี่ใครอุตริวาดรูปเล่นล่ะเนี่ย น่ากลัวพิลึกเลย”

เด็กสาวทุกคนหันไปมองกระดานดำสยองขวัญเป็นตาเดียวกัน ลายเส้นนั้นชัดเจนมากขึ้นกว่าเมื่อวาน นัยน์ของภาพเหมือนจ้องมองมาที่กลุ่มของพวกเธอ ริมฝีปากยิ้มนิดๆ เท่านั้นเอง ทั้งกลุ่มก็แตกฮือวิ่งออกไปรวมกลุ่มกับบรรดาไทยมุงคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว ส้มมองหน้าแก้วเหมือนจะถามว่าเห็นหรือเปล่า แก้วส่ายหน้าแทนคำตอบทำให้ส้มถอนใจยาว จะดีหรือเปล่านะที่แก้วมองไม่เห็นแบบนี้


“ศิตา กรวี”

เสียงคุ้นเคยเรียกทั้งสองดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปดูก็เห็นอาจารย์สายสมยืนอยู่ก่อนแล้ว สีหน้าอาจารย์สาวไม่ค่อยดีนัก

“สภาพศพลุงพรเป็นยังไง บอกครูได้ไหม ครูถามพวกนั้นไม่มีใครพูดจารู้เรื่องกันสักคน”

สองสาวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะเล่าให้อาจารย์ฟังอย่างละเอียด นัยน์ตาของหญิงสาวเหมือนมีแววตระหนกขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ส้มตบท้ายด้วยว่า

“เอ่อ แล้วรูปนั้น...ชัดกว่าเมื่อวานอีกนะคะ ขนาดคุณตำรวจยังเห็น แต่ยายแก้วไม่เห็นเหมือนเคย”

สายตาของอาจารย์สายสมเบนมาทางแก้ว ก่อนเลยไปทางด้านหลังพลางยิ้มแล้วค้อมหัวลงนิดๆ เหมือนคารวะอะไรสักอย่าง แล้วบอกสั้นๆ กับลูกศิษย์ที่ยังงงๆ ว่า  

“ดีแล้วล่ะ”      

เธอบอกแล้วเดินเลยเข้าไปในห้องเกิดเหตุ อาจารย์ยุทธพงษ์หันมาเห็นพอดีก็ร้องห้าม แต่หญิงสาวกลับยิ้มนิดๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไม่ใช่ผู้หญิงขวัญอ่อน สัญญาค่ะว่าจะไม่ยุ่งกับสถานที่เกิดเหตุ”

“อย่างนั้นก็เชิญครับ เอ่อ ผมได้ยินว่าเมื่อวานตอนคาบสุดท้าย คุณสอนห้องนี้”

“ค่ะ ไม่ทันได้สอนหรอกค่ะ เด็กๆ ขอแลกกับคาบอิสระ ดิฉันเลยตามใจ”

“อ้อ! งั้นภาพนี้คงไม่ใช่ฝีมือคุณหรือลูกศิษย์แน่”

หญิงสาวหันไปมองที่รูปเจ้าปัญหา ลายเส้นชัดขึ้นจริงเหมือนที่ส้มกับแก้วบอก คราวนี้เธอมองประสานสายตากับรูปนั้นพลางบอกชายหนุ่ม

“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ”  

นัยน์ตาที่วาดด้วยชอล์คขาวนั้นเหมือนมีชีวิตจ้องจับมาที่อาจารย์สายสม แต่แววตาไม่ดุดัน กลับแลดูหม่นหมองแกมเศร้าเสียด้วยซ้ำ มาถึงตอนนี้เธอแน่ใจไปกว่าครึ่งแล้วว่าเจ้าของภาพนี้คือใคร

“ตำรวจว่ายังไงบ้างคะ”

“คุณหมายถึงเรื่องอะไร”

“สันนิษฐานเวลาเสียชีวิตน่ะค่ะ การแข็งตัวของศพ เลือดที่คั่งอยู่ตามการกดทับ อะไรเทือกๆ นั้น”

“คุณถามยังกับเคยเป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรแน่ะ”

“ฉันชอบอ่านนิยายนักสืบต่างหากล่ะคะ” เธอบอกกลั้วหัวเราะนิดๆ “ว่าไงคะ ตำรวจว่ายังไง”

“เท่าที่ผมถามเมื่อกี้ ตำรวจสันนิษฐานว่าตายมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงครับ น่าจะราวๆ หกโมงเช้า”

อาจารย์สายสมขบริมฝีปากนิดๆ ไม่ผิดแน่ เป็นอย่างเดียวกันไม่ผิดเพี้ยนเลย แต่ที่เธอไม่เข้าใจ ลุงพรมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย เธอหันไปมองภาพบนกระดานอีกครั้ง แล้วหมุนตัวเดินกลับออกไปจากห้อง ที่นั่นไม่มีเด็กนักเรียนชั้นอื่นอยู่แล้ว นอกจากลูกศิษย์ของเธอที่ยืนรอหน้าสลอนกันอยู่แล้วครบทุกคน หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แปดนาฬิกาสามสิบห้านาที เลยเวลาเรียนคาบแรกมายี่สิบห้านาทีเต็ม เห็นทีว่าคาบเรียนเช้านี้คงต้องแลกกับคาบอิสระอีกแล้วกระมัง เธอมองหน้าเด็กๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก

“ไปกลับห้องกัน ครูมีอะไรจะถามพวกเธอหน่อย แล้วก็เหมือนเดิม คาบนี้แลกคาบอิสระ”


“เอ่อ อาจารย์ขา อาจารย์จะดุพวกหนูเหรอคะ”

เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างเกรงๆ ขณะที่เดินเกาะกลุ่มกันกลับห้องเรียน อาจารย์สายสมหัวเราะน้อยๆ

“จะดุเรื่องอะไรล่ะ เท่าที่เป็นอยู่นี่ ครูว่าพวกเธอคงไม่กล้าเล่นกล้าทำอะไรแผลงๆ อีกแล้วล่ะ”

“ใครกล้าเล่นอีกก็บ้าแล้วค่ะครู เนี่ย เพราะไอ้ดิวคนเดียวเลย”

“อ้าว เรื่องอะไรมาโทษฉันคนเดียวล่ะ” คนถูกพาดพิงโวยลั่น  

“ถ้าไม่ใช่เพราะแกหักตะเกียบทิ้ง พวกเราคงไม่เจอเรื่องอะไรแบบนี้หรอก”

“แก!”

“เอา พอแล้ว พวกเธอนี่”

อาจารย์สายสมรีบห้ามทัพก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายใหญ่ไปกว่านี้ ปมเหตุใหญ่อยู่ที่ดารณี หรือ ดิว คนนี้ตรงตามที่ส้มเล่าให้ฟังเมื่อวาน แต่แค่หักตะเกียบจะทำให้ผีสาวเฮี้ยนได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ ส้มเองก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรเพิ่มเติม ฉะนั้นคงต้องถามจากปากเจ้าตัวเองแล้วว่าทำอะไรมากไปกว่านั้นหรือเปล่า  


เมื่อมาถึงห้องและเด็กๆ เข้าประจำที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว คาบคณิตศาสตร์จึงกลายเป็นคาบซักถามเรื่องลี้ลับไปโดยปริยาย อาจารย์สายสมไม่พูดพร่ำให้เสียเวลาอีก

“ดารณี เมื่อวานนี้เธอถามอะไรตอนที่เล่นผีตะเกียบ แล้วเกิดอะไรขึ้นเธอถึงหักตะกียบทิ้ง”

“เอ้อ หนูถามว่าพี่มาร์ทชอบหนูหรือเปล่าน่ะค่ะ แต่ตะเกียบนิ่งมากเลย ไม่อ้าแล้วก็ไม่หุบ หนูขัดใจเลยหักทิ้งมันซะเลย”
“เท่านี้จริงหรือ”

คราวนี้ดิวทำท่าอึกอัก เด็กสาวหันไปมองเพื่อนๆ ก็เห็นทุกคนจ้องมาที่ตัวเองเป็นตาเดียว เพราะจากคำถามของอาจารย์คนสวย ดิวคือกุญแจที่จะไขปริศนานี้ทั้งหมด

“ง่า หนูหักแล้วหนูก็เดินกลับมาที่โต๊ะเท่านั้นเองค่ะ”

“ไม่จริงค่ะอาจารย์ หนูได้ยินเขาบ่นอะไรก็ไม่รู้งึมงำอยู่คนเดียว”

เด็กหญิงผมเปียที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบโพล่งขึ้นมา ทำให้ดิวถึงกับหันมามองหน้าเพื่อนตาขวาง

“ดารณี ไม่ต้องไปทำหน้าอย่างนั้นใส่เพื่อน เธอบ่นอะไร ตอบครูมาตามตรง เผื่อเราจะได้ยุติเรื่องนี้ได้”

“หนูบอกว่า...ว่า... ไอ้ผีบ้า ถามแค่นี้ก็ไม่ตอบ ทำยังกับมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย สงสัยเกลียดผู้ชาย หรือไม่ก็ถูกข่มขืนแล้วฆ่าแหงๆ ถึงไม่อยากยุ่งเรื่องผู้ชายขนาดนี้”

สิ้นคำพูดของดิว โต๊ะว่างหลังห้องตัวหนึ่งก็ล้มโครมลงมาอย่างแรง เรียกเสียงกรี๊ดจากหลายคนในห้องโดยไม่ได้นัดหมาย อาจารย์สายสมมองไปที่ตำแหน่งนั้นและนิ่งอยู่นาน เด็กคนหนึ่งถึงกับเอ่ยถามอย่างกลัวๆ

“อาจารย์ขา อาจารย์เห็นอะไรหรือคะ”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก พวกเธอแยกย้ายกันเตรียมไปเรียนคาบต่อไปเถอะ ศิตา กรวี เธออยู่กับครูที่นี่ก่อน ดารณี อัจจิมา เธอสองคนไปหาดอกไม้ธูปเทียน แล้วมาพบครูที่นี่”

หญิงสาวบอกแล้วมองเลยไปทางหลังห้องอีกครั้ง เงารางๆ ที่ปรากฏตรงนั้นพยักหน้าช้าๆ ราวพอใจ เธอระบายลมหายใจยาว สำหรับเด็กๆ คงจบแค่นี้กระมัง แต่ปมปริศนาอื่นคงไม่ยุติแค่นี้ ดูเหมือนว่าวิญญาณดวงนั้นยังมีบางอย่างที่ปิดบังไว้ ส่วนแก้ว เด็กคนนี้มีดีในตัวที่ช่วยป้องกันไม่ให้เธอเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น แต่แม่สาวน้อยมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร เธอนึกไม่ออกจริงๆ



                                                                          อริญชย์

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 55 18:18:42




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com