2/2
24 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น.....
เพลงจันทร์ ลูกรัก
หวังว่าลูกคงสบายดี แม่อยากได้ยินเสียงของลูกบ้าง แค่โทรหาสัปดาห์ล่ะครั้งก็ได้ แม่จะไม่ถามอะไรมาก และสัญญาว่าจะเลิกพูดเรื่องเรียนต่อที่เมืองไทยอีก ลูกไม่อยากไปแม่ก็จะไม่บังคับ ขอแค่กลับบ้านสักครั้งเถอะ พ่อกับซันนี่คิดถึงลูกมากนะ น้องถามถึงลูกทุกวันเสาร์-อาทิตย์เลย เพราะจะเป็นช่วงที่ลูกกลับบ้านเสมอ เราอยากมีลูกอยู่ร่วมในบ้านด้วย
รัก
จาก แม่
ป.ล คิดถึงพี่มากครับ
จาก พงศ์ตะวัน (ซันนี่)
หญิงสาวอ่านจดหมายของมารดาจบแล้ว ต้องรีบพับเก็บไว้ไม่กล้าจะเอากลับมาอ่านซ้ำ ลูน่าเกิดรู้สึกละอายใจเล็กๆ เมื่อเห็นชื่อภาษาไทยของตนเอง รวมไปถึงน้องชายก็เขียนชื่อของตนไทยของตนแนบมาด้วย ก็ซันนี่ยังเด็กนี่นะ จึงเขียนชื่อตัวเองอย่างภาคภูมิใจไม่เหมือนจากพี่สาว
ความเป็นคนไทยครึ่งหนึ่งในร่างเป็นเหมือนภาระหนักที่เธอไม่อยากแบกรับ ที่ผ่านมาสีผมของเธอสร้างปัญหาในวัยเด็กหลายอย่าง จนเธออยากจะเปลี่ยนสีผมแต่มารดาไม่ยอมให้ทำและยังเสียใจเป็นอันมาก บิดาก็ตำหนิเธอที่ทำให้มารดาร้องไห้ ทั้งที่คนที่อยากจะร้องไห้คือเธอต่างหาก แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่มีสิ่งใดมากระทบแล้วจะร้องไห้ออกมาได้อย่างง่ายดาย หรือพร้อมจะฟูมฟายเสมออย่างที่มารดามักใช้เป็นอาวุธต่อรอง จนเธอไม่กล้าขอไม่กล้าพูดรวมไปถึงไม่กล้าทำอะไรกับสีผมของตนเอง แม้บัดนี้จะผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นไปแล้ว และอยู่ห่างไกลเกินกว่ามารดาจะมากดดันเรื่องนี้ได้
หญิงสาวนั่งก้มหน้านิ่ง ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นเม้มแน่น เมื่อถึงอดีตในวันวาร เริ่มแรกหล่อนแค่โดนล้อจากกลุ่มเพื่อนรอบตัวที่ล้วนแต่มีผมสีอ่อนจาง ลับหลังครูประจำชั้นกลุ่มพวกผู้หญิงก็มักจะเหน็บเธอบ่อยๆ ว่าสีผมสกปรก แล้วไล่กลับไปประเทศไทย พวกผู้หญิงไม่ชอบเธอด้วยเหตุผลเพียงแค่ ผมสีดำของเธอนั้นโดดเด่นกว่าใคร เธอดูสวยแปลกตาสำหรับพวกผู้ชาย กลุ่มเด็กผู้ชายบางคนก็ช่วยพวกผู้หญิงแกล้งเธอ แต่ที่แย่ไปกว่านั้น พวกผู้ชายพูดกันเองในกลุ่มว่าแม่ของเธอมาจากเมืองไทย คงเป็นโสเภณีมาก่อน แล้วพอลูน่าโตขึ้นก็คงไม่ผิดกับแม่ เรื่องนี้ทำให้หล่อนโกรธมากถึงขั้นชกหน้าผู้ชายปากเสียคนนั้นจนเลือดกำเดาไหล แล้วเจ้าบ้านั่นก็ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลย ไม่มีหรอกประเภทผู้หญิงตบแล้วยอมให้ตบคืน เหมือนที่เห็นในละครไทยตอนที่แม่พากลับไปเยี่ยมบ้านเกิด
เมื่อเธอต่อยหน้ามัน หมอนั่นทุบเธอกลับทันที แต่ลูน่าตั้งตัวไว้แล้วเลยทั้งเตะทั้งทึ้งผม จนคุณครูต้องมาแยก และเรียกผู้ปกครองของทั้งคู่มา เรื่องมันจบตรงที่เด็กผู้ชายคนนั้นถูกบังคับให้ขอโทษเธอ แม้หมอนั่นจะไม่เต็มใจก็ตามที แต่เรื่องนี้เป็นบาดแผลในชีวิตของหญิงสาวเลยทีเดียว เพราะมันไม่จบแค่การทะเลาะเบาะแว้ง พวกผู้ชายไม่มายุ่งกับเธออีกก็จริง แต่พวกผู้หญิงเอาเรื่องนี้มาเหน็บแนมเธอเป็นระยะ พวกหล่อนมักจะพูดลอยๆ ว่าผู้หญิงเอเชียน่ะ ชอบหาสามีฝรั่งมาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว โดยเฉพาะผู้หญิงไทย เพราะพวกเธอยากจนแต่ขี้เกียจไม่อยากทำงาน แล้วก็พากันหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็มองมาที่ลูน่า แม้เมื่อแรกจะไม่ได้ยินเต็มสองหูก็เถอะ แต่พวกผู้หญิงมีเทคนิคการหลบเลี่ยงครูมากกว่าพวกผู้ชายเยอะ ต่อหน้าก็จะทำเป็นว่าเธอกำลังคุยถึงละครที่ดูมาบ้าง และแสร้งทำเป็นเสียอกเสียใจที่ทำให้ลูน่าเข้าใจผิด
เธอต้องทนจนจบชั้นประถมจึงจะได้ลาจากแม่พวกนั้นสักที ช่วงมัธยมต้นยังมีปัญหานี้ตามมารบกวนบ้างเป็นระยะๆ ลูน่าจึงตัดปัญหาด้วยวางตัวเหินห่างไม่สนิทสนมกับใครนัก พอเข้ามัธยมปลายบางทีเธอก็พูดปดไปเลยว่าเธอเป็นคนญี่ปุ่นบ้าง จีนบ้าง หรือประเทศอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ประเทศไทยอยู่บ่อยๆ ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาหรอก เพียงแต่หลบเลี่ยงได้บ้าง แต่มารดากลับไม่ยอมรับปัญหาของเธอแล้วลูน่าก็ไม่อยากจะนำเรื่องนี้มาฟ้องอีก เพราะมารดาก็คงได้แต่ร้องห่มร้องไห้รอให้บิดามาปลอบ ความรู้สึกที่มีต่อมารดาเลยค่อยๆ ห่างเหินออกมา เมื่อแม่ปกป้องเธอไม่ได้เธอก็ต้องปกป้องตนเอง
พอเข้ามหาวิทยาลัยปัญหาการล้อเลียนปัญญาอ่อนแบบนี้หมดไป เพราะทุกคนต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ลูน่าได้ปัญหาใหม่มาแทน ยิ่งเธอไม่สนิทสนมกับใครนัก พวกผู้ชายยิ่งมองว่าเธอลึกลับพอๆ การเจาะอุโมงค์ใต้ดินไปพบโบราณสถานนั่นแหละ แหมแฟชั่นจีบผู้หญิงเอเชียมันเป็นเทรนด์นิยมไปเมื่อใดเธอก็ไม่ทันรู้ตัว รู้สึกตัวอีกทีก็มีพวกน่ารำคาญรายล้อมไปแล้ว
เวลาที่แนะนำตัวเธอจะแทนตัวเองแค่ ลูน่า ฮาร์วี่ ไม่ใช่ ลูน่า เพลงจันทร์ ฮาร์วี่ ทิ้งชื่อกลางอันเป็นชื่อไทยอย่างเพลงจันทร์ไป ให้เหลือความการควานหารากเหง้าของตัวเองให้น้อยที่สุด เพียงแค่นี้ก็รู้สึกเป็นสุขใจได้ในระดับหนึ่ง คนที่เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยแล้วส่วนใหญ่มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่ และมีนักศึกษาต่างชาติจากเอเซียอยู่ไม่น้อย จึง ไม่มีใครล้อเลียนเธอเรื่องสีผมของเธออีก ลูน่ารู้สึกมั่นคงเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่เวลาที่ทำให้เธอภาคภูมิใจตัวเองได้มีไม่นาน พ่อกับแม่ก็บอกว่าช่วงปิดเทอมจะส่งเธอไปอยู่กับญาติที่เมืองไทย เพื่อเรียนภาษาไทยและศึกษาเรื่องวัฒนธรรมบ้านเกิดของมารดาบ้าง พรเพ็ญแม่ของเธออาจจะรู้สึกถึงการทิ้งความเป็นไทย ทิ้งตัวตนของลูน่าก็เป็นได้ จึงได้เกิดความคิดนี้ขึ้นมา
โชคดีที่ตอนนั้นลูน่าได้รับทุนพอดี หล่อนจึงถือโอกาสย้ายออกมาอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัยแทน ทำให้บิดามารดาไม่อาจคัดค้านได้ เมื่อออกจากบ้านแล้วสาวน้อยคนเดิมทำตัวเป็นคนแปลกหน้ากับครอบครัว อีกทั้งจะติดต่อกลับไปก็ต้องมีเหตุจำเป็น เธอรู้ว่าตนเองทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดี แต่เธอไม่อยากจะมานั่งอธิบายในเรื่องที่มารดาจะมาร้องไห้ต่อหน้าเธอ แล้วบิดาก็จะบอกว่าอย่าไปสนใจคนอื่น คนพวกนั้นพ่อแม่อบรมมาไม่ดี ในโลกนี้มีคนดีๆ มีเหตุผลมากกว่าเด็กพวกนั้นเยอะ หรือมันเป็นการทดสอบจากพระเจ้าที่จะให้ลูกฝึกความอดทน
ลูน่าเบื่อที่จะฟังเพราะเธอไม่เคยเถียงชนะสารพัดเหตุผลของพ่อ และไม่สามารถฟูมฟายอย่างแม่ได้ บางทีถ้าเธอร้องไห้เก่งหรืออ่อนไหวแบบนั้นใครๆ อาจจะเห็นใจเธอก็เป็นได้ แต่..ลูน่าก็คือลูน่า หญิงสาวจึงเลือกวิธีของตัวเอง ด้วยการดื้อเงียบและแข็งกระด้างจนผู้ให้กำเนิดจำต้องยอมแพ้ เธอชนะแล้ว...แต่กลับไม่ภาคภูมิใจสักน้อยนิด ลูน่ารู้สึกว่าตัวเองมีแต่เปลือกที่หนาขึ้น แต่ภายแก่นกลับว่างเปล่ายิ่งนัก โลกที่มีแต่ตนเองแบบนี้
ลูน่า
หา?? หญิงสาวสะดุ้ง นี่เธอเหม่อลอยทั้งที่กำลังประชุมอยู่แท้ๆ
โปรเฟสเซอร์ให้เขียนรายงานสรุปยอดของที่ส่งมาให้เสร็จในวันนี้ พวกเราจะนอนค้างที่นี่ แล้วเธอล่ะ?
ตกลงค้างก็ค้างสิ
งั้นทำรายงานจนถึง 6 โมงถึง แล้วสั่งอาหารเดลิเวอร์รี่มา กินเสร็จแล้วก็ทำต่อจนถึง 4 ทุ่ม ค่อยเข้านอน
ไม่มีปัญหา
ในความรู้สึกของเธอมันก็เหมือนเข้าค่ายพักร้อนแหละ ทุกคนแยกเป็นกลุ่ม ทำรายงานแต่ล่ะส่วน ลูน่าเขียนแจกแจกในส่วนอาภรณ์ต่างๆ กับเครื่องประดับร่วมกับแมตต์ ทั้งถ่ายรูปและวิเคราะห์หาอายุกับรูปลักษณะเฉพาะตัว เช่นเนื้อเยื่อที่อาจติดอยู่ โดยต้องอยู่ในแลบพิเศษป้องกันที่ควบคุมอุณหภูมิเป็นอย่างดี เพราะเกรงว่าอากาศที่แปรปรวนอาจจะทำลายสภาพสิ่งของได้