ส่วนธีริทธิ์ก็ได้แต่ยืนถอนหายใจหนักๆ จวบจนได้ยินเสียงเท้าของใครบางคน ดังใกล้ๆ เขาจึงหันไปมองเด็กสาวอีกคนที่เป็นเจ้าของเท้านั้น
“ฝ้าย ไม่น่า เลย ฝ้ายต้องทำให้เพลินเค้าไม่พอใจ แน่ๆ เลยค่ะ”
“หนูอย่าคิดมากเลย เดี๋ยวเพลินก็คงเข้าใจ”
“เพลินจะเกลียดฝ้ายรึเปล่าคะ”
ธีริทธิ์หลุบสายตามองดูเจ้าของทำถาม ที่ใบหน้านั้นส่อถึงแววลำบากใจจนเขามองเห็นได้ชัด มนัญชยาคงรู้สึกอึดอัด ที่จะเป็นตัวทำให้ณิชนันท์รู้สึกน้อยใจพ่อและแม่ล่ะสิ .. เขาค่อยๆ ย่อตัวลงไปส่ายหน้า พลางวางมือข้างหนึ่งลงไปที่ศีรษะได้รูปสวยๆ นั้น
“ไม่หรอก ...เดี๋ยวป้ามนจะต้องช่วยพูดให้เพลินเค้าเข้าใจเองนั่นแหละ หนูไม่ต้องห่วงหรอกนะ”
ปลอบใจเด็กสาว แต่ลึกๆ ธีริทธิ์กลับมารู้สึกหนักใจเสียเอง เขาค่อยๆ เลื่อนสายตามองตามที่ประตูห้อง ทอดสายตาอันเต็มไปด้วยความกังวลใจออกไป
ขอให้ชุติมนอธิบายให้ลูกสาวคนเดียวของตนเข้าใจเถอะ เขาไม่อยากให้เรื่องการดูแลเด็กสาวคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บทางจิตใจ เป็นเรื่องที่ยากเย็นด้วยสาเหตุที่ว่า ณิชนันท์ไม่ให้ความร่วมมือนั่นเอง
หลังจากวิ่งออกจากห้องนอนของบิดาและมารดา ณิชนันท์กลับเข้ามาในห้องของตนเอง พร้อมทั้งปิดประตูดังปังด้วยความฉุนเฉียว ใบหน้าของเธอบึ้งตึงขึ้น และยิ่งเพิ่มรับขึ้นเรื่อยๆ ยามเมื่อนึกถึงภาพบาดใจนั้น เด็กสาวคนนั้นกำลังเข้ามายุ่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธอจริงหรือ
เธอยอมไม่ได้หรอก ของที่เป็นของๆ เธอคนอื่นอย่าริมาแตะ เธอไม่ให้เด็ดขาด! เพราะถือว่าเธออดทนมามากพอแล้ว!
หลังจากกลับมาเปิดตัวเองและขังตัวเองอยู่กับความเงียบ และความไม่พอใจตามลำพัง ไม่นานประตูห้องนอนของเธอก็ถูกเคาะเบาๆ ณิชนันท์เหลียวกลับไปมองนิดเดียวจากนั้นก็สะบัดใบหน้ากลับมาตามเดิมเมื่อเห็นแล้วว่าใครเป็นคนเคาะประตูห้องนอนเธอนั้น
ชุติมนทอดมองแผ่นหลังลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยยิ่งนัก เธอเข้าใจความรู้สึกลูกได้จริงว่าณิชนันท์จะรู้สึกเจ็บปวดเช่นกันกับคนที่เป็นลูกที่มีต่อบุพการีที่เธอรักทั้งสอง
เธอจะอธิบายให้ฟังว่าสิ่งที่ณิชนันท์เห็นมันเป็นเพียงแค่ความเมตตาปราณีต่อเด็กสาวคนหนึ่ง มากกว่าจะทำเพื่อให้ณิชนันท์รู้สึกคับข้องใจหมองใจ ....
“เพลิน”
หลังจากที่ปล่อยความเงียบเกิดขึ้นอยู่ชั่วอึดใจ ชุติมนจึงลองเรียกลูกสาวเพียงสั้น ๆ แต่เธอก็ยังเห็นณิชนันท์แสดงท่าทีเอาแต่ใจตัวเองโดยการกอดอกและหันหลังให้คนเป็นแม่
และนั่นเองที่ทำให้ชุติมนรู้ดีว่า ข้อเสียอีกอย่างที่สำคัญของณิชนันท์ที่เธอและธีริทธิ์ไม่สามารถละลายออกไปจากตัวลูกสาวได้เลยคือ ความเอาแต่ใจของยึดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางสรรพสิ่งเช่นนี้ เพราะถ้าจะไล่เรียงถึงเหตุผล คงเป็นเพราะว่า ตลอดเวลาณิชนันท์เป็นเด็กคนเดียวในบ้านที่มักจะได้รับ ความรักและเอาใจใส่จากทุกคนมาตลอด อาจจะเคยได้รับการเรียนรู้ในเรื่องแบ่งปันต่อเด็กคนอื่นๆ มาบ้างแต่นั่นก็เพียงเล็กน้อย
และสิ่งที่สำคัญมากกว่าการที่จะให้ณิชนันท์ที่เรียนรู้แบ่งปันในเรื่องสิ่งของภายนอกกาย มันคงไม่เทียบเท่ากับการให้ณิชนันท์ลองเรียนรู้ที่จะแบ่งปันในเรื่องความรู้สึก อย่าง ความรัก ความเอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์นี่แหละ ที่เธอเองที่อยู่ในฐานะคนเป็นแม่ก็รู้สึกว่าณิชนันท์ได้เรียนรู้มาน้อยเหลือเกิน…
“เพลินฟังแม่นะลูก..”
“ทำไมพ่อกับแม่ทำแบบนี้คะ !” ไม่ทันที่จะได้อธิบายเพิ่ม ณิชนันท์ก็หันมาต่อว่าผู้เป็นแม่ด้วยอาการน้ำตานอง เพราะรู้สึกว่าทนแบกรับในเรื่องนี้ไม่ค่อยจะไหวแล้ว “เอาเด็กสาวคนนั้นไปนอนตรงที่ๆ ของเพลินแบบนั้นได้ยังไง? เพลินเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อกับแม่นะคะ...”
ชุติมน พยายามสูดลมหายใจลึกๆ ทอดเท้าเดินไปหาลูกสาวช้าๆ พลางวางมือทั้งสองข้างลงบนบ่าบางและบีบกระซับเบาๆ คล้ายว่าเธอกำลังถ่ายทอดความมั่นใจบางอย่างไปเติมเต็มจิตใจที่เริ่มสั่นไหวน้อยๆ นั่น
“ถูก ...เพลินยังเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อกับแม่อยู่ตลอดเลยลูก”
“แล้วเด็กคนนั้น ล่ะคะ!” ณิชนันท์ถาม พลางเหลียวกลับมาถามผู้เป็นแม่ ด้วยความสับสนอย่างหนัก เธอก็ได้เห็นว่า ก่อนจะตอบคำถาม มารดาเธอมีอาการคิดอย่างหนัก หรือคิดหนักที่จะพูดกับเธอนั่นเอง
“หนูฝ้ายก็คือหนูฝ้าย แต่ว่าลูกก็คือลูกสาวคนเดียวที่พ่อและแม่มีอยู่ ถ้าไม่มีหนูอยู่แล้ว พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาลูกสาวคนนี้ คนที่เหมือนณิชนันท์แบบนี้ได้จากที่ไหน...หนูเข้าใจมั้ย”
ไม่เข้าใจ ยังไงๆ เธอก็ไม่มีทางเข้าใจเหตุผลบ้าๆ ที่มารดาเธอยกมาให้ฟังหรอก เธอรู้แต่ว่า เธอคือณิชนันท์ เด็กสาวที่บิดามารดาเธอรักมากที่สุด เป็นเด็กสาวที่เป็นหนึ่งในบ้านหลังนี้มาตลอด และพอวันหนึ่งมีเด็กสาวแปลกหน้าอีกคนเข้ามา หล่อนคนนั้นกำลังจะเข้ามาแทนที่เธอช้าๆ จะไม่ให้เธอรู้สึกรู้สาได้เช่นไร
ใช่ เด็กสาวคนนั้นกำลังจะเข้ามาแทนที่เธอช้าๆ บิดามารดาของเธอท่านไม่รู้สึกหรอก มีเพียงแค่เธอคนเดียวที่รับรู้ได้ดีกว่าผู้อื่น!
ไม่! ไม่เอาอีกแล้ว ยามที่เธอเห็นบิดาลูบศีรษะเด็กสาวคนนั้น เห็นมารดาของเธอพูดดีๆ เอาใจใส่เด็กสาวคนนั้น เธอรู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน กลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเธอ จะถูกเด็กสาวคนนั้นเอาไปครอบครองหมด!
“เพลิน” เสียงผู้เป็นแม่ปลุกเด็กสาวที่กำลังนิ่งเคียดแค้นอยู่ในใจ
“เพลินขออยู่คนเดียวเงียบๆ ได้มั้ยคะ” ณิชนันท์หันมาบอกด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟังเช่นเดิม ตอนนี้เธอรู้สึกสับสนจะแย่อยู่แล้ว เธอไม่อยากทนแบกรับ รับฟังเหตุผลมากมายที่มารดาเธอกำลังจะยกมาให้ฟังอีกแล้ว...
“แต่ว่า...”
“เพลินขออยู่คนเดียวได้มั้ยคะแม่! ขออยู่คนเดียว...!”
ชุติมนตะลึง นานเหลือเกินที่เธอไม่ได้เห็นอารมณ์เกรี้ยวกราดของคนเป็นลูก
“ได้...แม่จะให้เพลินได้อยู่คนเดียว ได้คิดอะไรคนเดียวเองนะลูก ถ้ามีอะไรจะคุยจะถามพ่อกับแม่ ก็ออกมาคุยกันได้เลย พ่อและแม่มีเหตุผลที่ดีให้ลูกเสมอ จำไว้นะลูก”
ชุติมนเอ่ยได้เพียงเท่านี้ ก่อนจะหันหลังออกจากห้องนอนลูกสาวไป เธอก็ทำได้แค่เพียงถอนหายใจยาวๆ ออกมา
เสียงประตูห้องที่ปิดเบาๆ ทำให้ณิชนันท์หันใบหน้าเคียดแค้นชิงชังกลับไปมอง คุณแม่ของเธอออกไปแล้ว หึ.. เหตุผลที่ดีเหรอ เหตุผลที่ดีสำหรับท่านทั้งสองก็คงไม่พ้นเรื่องเดิมๆ ที่ท่านพร่ำพูดกับเธอน่ะสิ
..เหตุผลที่ว่า มนัญชยาเป็นเด็กน่าสงสาร มนัญชยาต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายมา…
..การที่ท่านทั้งสองทำดีกับหล่อนคนนั้น ก็ทำให้ด้วยความเมตตาสงสาร มากกว่าน่ะสิ..
เธอขี้เกียจจะฟังแล้ว เพราะถือว่าเธอฟังมาเยอะ ต่อไปนี้ ท่านทั้งคู่จะต้องรับฟังเธอบ้าง... อ้อ ไม่ใช่ว่าท่านจะรับฟังอย่างเดียว เด็กสาวคนนั้นก็ต้องได้รับฟังด้วยว่า ตัวเธอเองกำลังรู้สึกต่อเรื่องนี้เช่นไร!
“เพลิน”
เสียงเรียกเบาๆ แต่ประสมประสานกับอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของร่างบอบบางที่กำลังจะก้าวออกจากห้องนอนมาด้วยชุดนักเรียนได้ปรายสายตาไปมองทางบิดามารดาที่กำลังยืนรอเธอนอกห้องด้วยความพร้อมเพรียง นึกแล้วว่าท่านทั้งคู่จะต้องมายืนรอเธอเช่นนี้ ณิชนันท์เดินไปหาบิดามารดา ใบหน้าราบเรียบ ไร้ความรู้สึก...
“เพลินมาคิดเรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่าเพลินเข้าใจนะคะ คุณพ่อ คุณแม่” เธอเงยหน้ามองทั้งคู่ไปมา สีหน้าคนทั้งสองดูมีอาการแปลกใจเหลือเกิน ตอนที่เธอบอกกับท่านว่า.. เข้าใจ “เข้าใจ?”
“ค่ะ... เพลินเข้าใจ” เธอบอกบุพการีทั้งคู่ ด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาไร้ประกายความยินดี .... ก่อนจะเดินผละทั้งคู่ไปยังบันไดแล้วทอดเท้าลงไป ทิ้งให้ทั้งบิดามารดา สบตากันปริบๆ ในอาการงุนงง แต่ชั่วครู่หนึ่งก็ยอมรับว่า ณิชันนท์ได้เข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าแล้ว ชุติมนและธีริทธิ์ สบตาด้วยความโล่งอก
ทางณิชนันท์ที่กำลังสาวเท้าลงบันไดไป เด็กสาวเหลือบสายตามองไปทางด้านหลังเล็กน้อย .. เธอลืมขยายความให้บิดามารดาเพิ่มอีกนิด ...ที่บอกกับทั้งคู่ว่า ‘เข้าใจ’
..เธอได้เข้าใจในมุมมองของเธอต่างหากเล่า...
(มีต่อค่ะ)
แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 55 20:01:40
จากคุณ |
:
พิณพลอย
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ม.ค. 55 19:33:35
|
|
|
|