Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หนึ่งความฝัน พันราตรี...บทที่ 3 ติดต่อทีมงาน

ตอนก่อนๆ   http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=xueyitan&group=2

ก่อนอ่านบทที่ 3 :  ได้แก้ไขบทที่ 2 ไปเล็กน้อย เพื่อความอ่านง่าย แต่ตัวเนื้อหายังคงเดิมนะคะ อ่านใหม่หรือไม่อ่านก็ได้ค่ะ ^^



บทที่ 3

 

ถ้าหากถามว่า “ราชินี” ในความคิดของมุกมณีเป็นแบบไหน หญิงสาวคงอ้างอิงเอาจากประสบการณ์เสพสื่อบันเทิงทั้งละครทั้งภาพยนตร์ มาประมวลผลเป็นสตรีที่อาจะสาวจนยากจะเดาวัย หรือไม่ก็อยู่ในช่วงกลางคน และถ้าไม่ดูสง่างามทรงอำนาจจนทำให้ผู้คนที่เห็นต้องครั่นคร้ามไปตามๆกัน ก็คงเป็นหญิงงามผู้อ่อนหวาน อ่อนโยนแต่แฝงกระแสที่ผู้คนไม่อาจแตะต้อง

 

ทว่า “ราชินีแห่งแคว้นปิง” เบื้องหน้า ทำให้มุกมณีนึกออกได้เพียงคำๆเดียว

 

คือคำว่า

 

“แม่”

 

คำดังกล่าวหลุดจากปากเด็กหญิงแผ่วเบา หากในใจมุกมณีกลับกังวานก้องจนสะดุ้ง และต้องเร่งปิดปากเงียบในบันดล

 

สตรีตรงหน้าไม่มีเค้าลางอะไรเหมือนมารดาของมุกมณีแท้ๆ....

 

หากท่วงท่าการก้าวเท้ายาวๆมานั้นเต็มไปด้วยความร้อนใจ และดวงตาที่ทอประกายของความห่วงใยนั่นอีก คือสัมผัสของความรู้สึกที่มุกมณีรู้จักดี และมีเพียงผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นที่ให้เธอได้

 

หญิงสาวกล้ำกลืนก้อนแข็งที่แล่นมาจุกในลำคอของเด็กหญิง หากมันกลับเป็นเรื่องยากยิ่งไปอีก เมื่อองค์ราชินีแห่งแคว้นปิงผู้นั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกให้สัญญาณรอบด้าน ส่วนอีกมื้อเอื้อมลูบเรือนผมที่เปียกชื้นของเด็กหญิง พร้อมคำถาม

 

“อวี้ซู่ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”

 

มุกมณีตอบ เมื่อฝืนกลืนก้อนสะอื้นลงไปในลำคอจนได้ หากเจ้ากรรมที่ร่างของเด็กหญิงไม่ได้ควบคุมได้ง่ายดังใจนึกนัก เพราะในขอบดวงตาเรียวยาวนั่นกลับร้อนผ่าวและมีหยาดน้ำคลอคลองขึ้นมาแทนที่

 

หล่อนบังคับให้อวี้ซู่กะพริบตาถี่ๆ พลางก้มหน้าและส่ายน้อยๆทั้งเพื่อตอบคำถามและเพื่ออำพรางสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน

 

มือบางที่อุ่นจัด เลื่อนลงมาจากเรือนผมซึ่งเปียกชื้นและยังมีหยดน้ำเกาะพราว ไล้สัมผัสแก้มที่ค่อนข้างเย็นของเด็กหญิงแผ่วเบาเหมือนปลอบประโลม

 

ทำนบน้ำตาของอวี้ซู่พังทลายทันที

 

มุกมณีได้แต่กัดฟันกรอด บอกตนเองว่าหล่อนกำลังเคืองใจที่ไม่สามารถควบคุมร่างของอวี้ซู่ได้ดังที่ควรเป็น หากแทบจะทันทีที่คิดเช่นนั้น หล่อนก็ตระหนักเช่นกันว่าความโหยหาที่ปะทุขึ้นมานั้นไม่ใช่ของอวี้ซู่

 

ทว่าเป็นของเธอเอง....เธอกำลังร้องไห้ด้วยความโหยหาสัมผัสอบอุ่นของมารดาราวเด็กๆ !

 

ระหว่างกลืนน้ำลายลงคอ แก้วหูก็ลั่นขึ้นอีกครั้ง จนจับความไม่ถนัด รู้แต่เพียงสัมผัสแผ่วที่หัวไหล่ ซึ่งผลักให้หล่อนเดินไปข้างหน้า

 

พร้อมกันนั้นเอง ร่างของขุนพลทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว

 

และหลังจากนั้นเอง ที่น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยกับหล่อนอีกครั้ง

 

“เจ้าไปผลัดผ้าก่อนเถิดนะ แล้วเราค่อยมานั่งคุยกัน”

 

หญิงสาวในสภาพเด็กหญิงที่เปียกปอนไม่ได้ตอบคำใด นอกจากพยักหน้าเงียบๆและพยายามสะกดอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

 

ครอบครัวของมุกมณีไม่ใช่ครอบครัวใหญ่มาก มีเพียงหล่อน พี่สาว และบิดากับมารดาสี่คนเท่านั้น

 

แม้ขนาดครอบครัวจะเป็นแบบสมัยใหม่ แต่ความสัมพันธ์ของครอบครัวกลับถือว่าสนิทแน่นแฟ้นกันเลยทีเดียว มุกมณีอายุห่างกับพี่สาว 4 ปี ดังนั้น มณีศิลาจึงพอจะช่วยมารดาดูแลน้องสาวได้โดยไม่ต้องจ้างคนมาเพิ่มเติม และผู้เป็นแม่เองก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้น

 

มารดาของมุกมณีเคยเป็นครู หล่อนถือว่าพื้นฐานสำคัญแรกสุดสำหรับเด็กนั้นคือครอบครัว ซึ่งเป็นด่านแรกในการจะสร้างผู้ใหญ่สักคน จากนั้นจึงค่อยมาเป็นสังคมที่ชื่อว่าโรงเรียน และการทำงานตามลำดับ

 

ดังนั้น คนเป็นแม่จึงให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูกด้วยตนเอง คอยใส่ใจพัฒนาการทั้งทางความคิดและอารมณ์ของลูกๆเสมอ  หล่อนไม่มีนโยบายตามใจลูกๆ หรือคิดแต่จะให้ลูกฉลาดหรือเก่งด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว

 

พื้นฐานแรกที่ลูกสาวทั้งสองได้รับการกวดขัน จึงเป็นเรื่องของการทำงานบ้าน มุกมณีจำได้ว่าหล่อนมักจะถูก “ขอร้อง” ให้ช่วยทำโน่นนี่ให้เสมอ และเมื่อทำสำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยขนาดช่วยถือจานสักใบ หรือช้อนสักคัน มารดาก็จะออกปากชมลูกสาวเสมอ

 

พอโตมาหน่อย การกวาดบ้าน ถูบ้าน แม้กระทั่งซักผ้า ก็เป็นเรื่องปกติที่สองพี่น้องชาชินและคอยแบ่งกันทำ ไม่เคยมีข้ออ้างว่าต้องทำการบ้านแล้วจะทำงานบ้านไม่ได้ หรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดหรือผิดปกติใดๆ แม้กระทั่งตอนเป็นวัยรุ่นที่เริ่มมีการจับกลุ่มของเพื่อนฝูง มารดาหล่อนก็จะมีวิธีพูดยิ้มๆถึงภาระงานที่บ้าน หรือสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบไม่ให้มุกมณีลืม ก่อนอนุญาตให้ออกไปเที่ยวสังสรรค์เสมอ

 

และอาจเป็นเพราะคำชม...ที่มารดาเคยมอบให้ตั้งแต่เป็นเด็กหญิงเล็กๆก็ได้ ที่ทำให้หล่อนรู้สึกว่าการทำงานบ้านในขณะที่เพื่อนคนอื่นเรียนพิเศษ เรียนดนตรีหรืออื่นๆ เป็นเรื่องน่าอับอายอะไร

 

และเพราะอย่างนั้นเอง ที่ทำให้มุกมณีสนิทกับที่บ้านโดยไม่เคยมีช่องว่างของความสัมพันธ์เหมือนอย่างวัยรุ่นบางช่วง โดยเฉพาะผู้เป็นมาดาและพี่สาว จนบิดาต้องยกธงยอมแพ้เวลาสาวๆของบ้านออกคะแนนเสียงกันบ่อยๆ

 

และมาบัดนี้เอง...ที่มุกมณีตระหนักได้ว่า ความสนิทสนมนั้น มันจะแปรเป็นการกัดกร่อนความรู้สึกด้วยความโหยหาอย่างรุนแรง ยามต้องอยู่ไกลกัน !

 

ไกลแค่ไหน...หล่อนก็ไม่อาจบอกไม่อาจคำนวณถูก มันไม่เหมือนการเดินทางไปต่างประเทศ ที่ยังไงก็พอรู้ว่าตนเองต้องไปที่ไหน ต้องไปทางใด แต่มันคืออีกที่...

 

สถานที่ที่หล่อนไม่ใช่กระทั่งตัวเอง

 

เด็กหญิงที่บัดนี้ผลัดเปลี่ยนชุดใหม่ เป็นสีฟ้าสดใสสลับเหลือง ให้ความรู้สึกของสาวน้อยแรกแย้มที่แจ่มใสผิดกับเจ้าตัวลิบลับ ได้แต่เดินออกจากฉากบังตาผ้าปักไม้ฉลุออกมาหาคนที่คอย

 

กำแพงพระราชวังที่ได้เห็นแวบๆไม่ได้บอกสภาพของ “วังหลวงแห่งแคว้น” กับมุกมณีมากนัก หนำซ้ำในตอนที่เดินตัวเปียกมะล่อกมะแล่กมาอาบน้ำ หล่อนก็ยังมัวแต่จิตตกจนไม่มีกะใจจะดูรอบตัวอีกด้วย เพิ่งจะมาได้สติเอาตอนเห็นห้องอาบน้ำของที่นี่เอง

 

หนังจีนที่หล่อนเคยดู ซึ่งหญิงสาวอนุมานเอาเองว่าที่นี่ก็น่าจะคล้ายๆกัน มีแต่อ่างไม้ให้หล่อนเห็น หรืออีกทีก็เป็นคล้ายสระว่ายน้ำไปเลย ซึ่งอย่างหลังพบเห็นได้น้อย และมุกมณีก็ไม่มีความคิดอยู่ในหัวด้วยว่าตนจะมีวาสนาได้เห็น

 

ตอนที่เพิ่งฟื้น และแต่งตัว เจียเอ๋อร์ก็เพียงแต่เอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาให้หล่อนเช็ดหน้ากับเด็กสาวช่วยเช็ดแขนขาให้เท่านั้น หล่อนจึงไม่มีโอกาสพิสูจน์สมมตติฐานของตนเองที่ตั้งไว้

 

“ห้องอาบน้ำ” เรียกจิตที่ตกไปด้วยความคิดถึงให้กระเตื้องด้วยความคาดไม่ถึง ยามมองภายในห้องที่ไม่ใช่ห้อง...แต่คือสระน้ำที่มีไอร้อนลอยล่องไปมา จนลมหายใจพลอยเป็นไอไปด้วย แข่งกับควันจางของสายน้ำที่ไหลออกจากปากของสัตว์ทั้งสี่มุม ที่มุกมณีก็ดูไม่ถนัดว่าเป็นอะไร แต่จากที่เห็นคร่าวๆ ไม่น่าเป็นพวกมังกรหรือสิงห์ที่เคยเห็นจนชินแน่

 

น้ำที่อยู่ในสระก็อุ่นจัด...จริงเสียด้วย แต่ก็ไม่ถึงขนาดร้อนเกินไปจนลวกผิว ทั้งเมื่อแช่ไปทั้งตัวยังให้ความรู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว จนเหมือนกับทั้งร่างกายจะลอยล่องได้

 

มุกมณีอยากจะแช่น้ำและใช้ความคิดไปพลางๆสักพักด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าคนที่รอคอยหล่อนอยู่คือพระราชินี และเป็นเจ้าของห้องอาบน้ำแห่งนี้ตัวจริงล่ะก็....

 

หญิงสาวสะบัดผมยาวสยาย...แทบจะจรดบั้นเอวของอวี้ซู่ไปมา ตอนก่อนที่จะลงสระน้ำอุ่น สาวใช้หลายนางค่อยๆบรรจงแก้ผมมวยของเด็กหญิงออก ตอนนี้มันจึงทอดตัวยาวเปียกชื้นอยู่เบื้องหลัง ให้คนที่เป็นเจ้าของตอนนี้ได้แต่ถอนใจ เพราะรู้ดีว่าตนคงไม่สามารถจัดการมันได้โดยง่ายแน่นอน

 

“อวี้ซู่”

 

เสียงนุ่มนวลเรียกขาน กระตุกความคิดถึงที่กำลังจะลงไปนอนนิ่งตกตะกอนให้ฟุ้งกระจายขึ้นมาอีกครั้ง จนคนถูกเรียกต้องสูดลมหายใจเข้าลึก

 

องค์ราชินีแห่งแคว้นปิงกำลังคอยหล่อน...คอยอวี้ซู่ผู้เป็นหลานของพระนางอยู่

 

พระนางคอยอยู่หน้าคันฉ่องทองเหลืองบานใหญ่ หากไม่ได้นั่งบนเก้าอี้เบื้องหน้า กลับยืนเยื้องอยู่ด้านข้าง มือหนึ่งถือบางอย่าง ส่วนอีกมือก็กวักพลางส่งเสียงเรียกต่อ

 

“มานั่งนี่สิ อวี้ซู่ ป้าจะรวบผมให้เจ้าเอง”

 

มุกมณีเดินไปนั่งหน้าคันฉ่องเงียบๆ พลางพยายามกะพริบตาถี่ไล่หยาดน้ำตาร้อนผ่าวของความคิดถึง

 

นานนักแล้วเหมือนกัน...ที่เคยมีคนมัดผมให้ ก่อนหล่อนจะต้องรีบไปเข้าเรียน

 

มือที่จับผมยาวเปียกชื้นของร่างที่นั่งลงนั้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอื้อมไปแตะแก้มเนียนเปล่งปลั่งเลือดฝาดเป็นสีระเรื่อ และจับให้เงยขึ้นโดยทันควัน

 

ในคันฉ่อง เด็กหญิงโฉมงามที่เคยมีใบหน้าคมจัดจนดูดุ บัดนี้ กลับคล้ายสวมหน้ากากของความเย็นชา เมื่อในดวงตายาวรีมีประกายของหยดน้ำแฝงอยู่ในแววเศร้าสร้อยจางๆ

 

และเมื่อเด็กหญิงกะพริบตา น้ำตาก็ร่วงหล่น

 

“เจ้าร้องไห้ทำไมกัน” เสียงถามไถ่อ่อนโยน นุ่มนวล เช่นเดียวกับมือที่เลื่อนไปเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบา โดยมิให้แม้แต่ปลายเล็บสะเทือนผิวของเด็กหญิง “เด็กดี ไม่ต้องร้องหรอกนะ”

 

มุกมณีไม่อาจทนมองภาพสะท้อนตรงหน้าได้อีก หญิงสาวปิดเปลือกตาลงทันที

 

หล่อนอยากหลอกตัวเอง.. แค่ชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวก็ยังดี ขอเพียงวินาทีที่ฝ่ามืออุ่นนี้แนบอยู่บนผิวพร้อมคำปลอบประโลมอ่อนโยน ก็เพียงพอที่จะทำให้หล่อนบอกตัวเองว่านี่คือมารดาของหล่อน...เป็นแม่ของหล่อนจริงๆที่กำลังลูบหัวและบอกว่าไม่เป็นไร

 

...ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะมุก ไม่ต้องร้องนะลูก เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเอง ไม่มีอะไรหรอก....

 

ชั่วพริบตาที่เสียงนุ่มนวลของคนเป็นแม่สอดแทรกผสานเข้ากับเสียงที่ดังอยู่ข้างหูได้อย่างแนบสนิท มุกมณีก็กลายเป็นเหมือนอวี้ซู่... กลายเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ร้องไห้กระจองอแงให้แม่ของหล่อนปลอบอยู่เสมอ ไม่ว่าภายนอกจะอายุเท่าไรก็ตาม

 

หล่อนหันไป และกอดเอวบางของร่างที่กำลังปลอบตัวเองแน่นพลางร้องไห้โฮ

 

เหมือนจะรู้สึกในพริบตาว่าร่างที่หล่อนกอดอยู่ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย จนมุกมณีเกือบชะงัก หากชั่ววินาทีถัดมา อ้อมแขนบอบบางนั่นก็โอบร่างของเด็กหญิงไว้แน่น ทว่านุ่มนวล

 

“ไม่เป็นไร...” ในน้ำเสียงที่บอกมาคล้ายแฝงน้ำหนักบางอย่าง หากมุกมณีเองก็กำลังสูดจมูกอยู่ หล่อนจึงไม่แน่ใจว่าตนได้ยินผิดไปหรือไม่ “ไม่เป็นไรหรอกนะ...เจ้า...ไม่เป็นไรแน่ๆ”

 

“....แม่...” หญิงสาวใช้ปากของเด็กหญิงกระซิบคำนั้นแผ่วเบา ให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินมัน พร้อมเอ่ยต่อในใจ

 

...แม่ มุกคิดถึงแม่ มุกอยากเจอแม่ มุกไม่เคยคิดถึงแม่ขนาดนี้เลย มุกคิดว่ามุกจะกลับไปบ้านเมื่อไรก็ได้ แค่ไปค่ายเดี๋ยวก็กลับไปเจอแม่แล้ว มุกไม่เคยคิดว่า...มุกจะต้องมาอยู่ในที่ๆมุกไม่ได้เป็นมุก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปหาแม่เมื่อไร....

 

....เมื่อไรที่มุกจะเป็นมุก เมื่อไรมุกจะไปหาแม่ได้...

 

พี่มี่...แม่...พ่อ....

จากคุณ : XueYitan
เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 00:44:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com