_______ " November's Tears " ( 26 -- 27 ) _______
|
 |
.
" November's Tears " ( บทที่ 26 )
บทที่ 26
จุดหมายข้างหน้าคือ หินกำพอง จังหวัดชายแดนติดกับประเทศเวียตนาม
หินกำพองอยู่ห่างจากเวียงเดือนเกือบ 400 กิโลเมตร..ผมไม่เคยขับระยะทางไกลขนาดนี้ เล่นเอาย่ำแย่เหมือนกัน..ความเขียวขจีของภูมิประเทศและชีวิตความเป็นอยู่ผู้คนสองข้างทางทำให้พอผ่อนคลายได้บ้าง
นึกหวั่นเรื่องน้ำมัน..โชคดีที่พอมีปั้มอยู่บ้าง ได้นั่งพักและกินอาหารไปพร้อมกัน..โชคดีอีกอย่าง ผมไม่ถูกมองอย่างสงสัยเลยนับตั้งแต่ออกเดินทาง อาจเพราะหมวกกันน็อคที่สวมอยู่ หรือยังไม่มีใครรู้จักชายราชศักดิ์เกษมมากนักก็เป็นได้
พี่ๆ..
!.. ผมอดสะดุ้งไม่ได้ ครับ.. ในที่สุดรับคำออกไป..ผมคือนาย Titee ธรรมดานี่นา
อ้าว!..ไม่ใช่ฝรั่งหรอกหรือ..อิๆ.. พูดจบเด็กน้อยวิ่งหนีไป
ฮะ..ฮะ.. ผมหัวเราะตอบ..ใส่หมวกกันน็อคตามเดิม..เมื่อสักครู่ถอดออกรับลมขณะแวะดื่มน้ำที่ร้านข้างทาง
ความจริงหน้าตาของผมไม่ได้เหมือนฝรั่งมากมาย ผมสีเข้มไม่ต่างจากชาวศิลา..คงเพราะผิวขาวชมพูและสันจมูกที่ทำให้ดูเหมือน..ทำอย่างไรไม่ให้เป็นที่สะดุดตา..ถอดเสื้อตากแดด ตากลมหนาวเดือนธันวาขับรถไปเรื่อยๆ น่ะหรือ..ชาทั้งตัวแน่ เผลอๆ อาจไข้กินอีกต่างหาก..ค่อยคิดแล้วกัน
ขับไป พักไป..กว่าจะถึงหินกำพองก็เย็นมากแล้วเกือบค่ำ
ถ้าข้ามเขตเข้าเวียตนามตอนนี้อาจมีปัญหาเรื่องที่พักเพราะมืดพอดี..อยู่ที่หินกำพองก็ต้องพบปัญหาเรื่องที่พักเหมือนกันแต่ยังพอพูดคุยรู้เรื่อง..ภาษาเวียตนามผมไม่กระดิกหูเลย
ตอนผ่านเขตชุมชนผมมองไม่เห็นว่าจะมีที่พัก โรงแรมที่ไหน มีแต่ตลาดซึ่งคงไม่มีที่ค้างแรมสำหรับคนเดินทาง..ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน..จะทำอย่างไรดี
หลังจากหาอะไรกินที่ตลาด ผิดหวังกับเรื่องที่พัก..ผมขับรถย้อนไปย้อนมาคิดหาทาง..อากาศขมุกขมัวและเย็นลงทุกที
รถอีต๊อกคันหนึ่งขับกลับจากนา..ผมไม่รอช้าชะลอรถเข้าไปถาม
ลุงครับแถวนี้มีบ้านพักบ้างไหม? คำถามที่ผมรู้คำตอบ
ที่พัก?.. ชายสูงอายุคนขับอีต๊อกถามกลับ
คือ..ผมมาที่หินกำพองเพื่อจะข้ามไปเวียตนามแต่มืดเสียก่อน
ลุงคงไม่เคยเจอสถานการณ์อย่างนี้ แกมองไปในความมืดสองข้างทางข้างหน้าและที่ขับผ่านมา..ผมมองตาม..มีแต่เงาตะคุ่มของป่ากล้วยและทุ่งนา
ผมจะนอนที่ไหน.. ถามเหมือนรำพึงกับตัวเองมากกว่า
นอนที่ชานบ้านได้ไหมล่ะ ชายชราที่นั่งอยู่กระบะท้ายร้องถาม
มันหนาวนะปู่ เด็กน้อยมอมแมมที่นั่งอยู่ด้วยเสริมขึ้น
ตกลงผมได้นอนที่ชานเรือนครอบครัวชาวนานั้นเอง..ที่พวกเขาไม่ให้เข้านอนในบ้านเพราะสมาชิก 6 คน ของครอบครัวนอนแออัดอยู่เต็มห้องแล้ว
ล้างหน้าแปรงฟันด้วยน้ำที่ผมซื้อติดมาจากตลาด..ไม่ใช่อนามัยจัด แต่ผมไม่รู้ว่าน้ำในโอ่งใบเล็กใต้ถุนเรือนเขาได้มายากลำบากแค่ไหน เดี๋ยวจะกลายเป็นเบียดเบียน
ปรับเป้ให้แบนราบเป็นที่รองหัว ทำใจสู้กับความหนาวที่ยะเยือกขึ้นทุกที คิดว่าแค่คืนเดียวคงไม่ถึงตาย..ดึกขึ้นยิ่งเย็นขึ้น หนาวขึ้น
ผมใส่รองเท้าบู้ทกลับเข้าไปใหม่ รื้อหาเสื้อวอร์มอีกตัวใส่เพิ่ม..เพิ่งนึกได้..ให้เจ้าเพื่อนแฝดไปเมื่อเข้า..ตายละ!..ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อวอร์มที่ใส่อยู่ข้างใน กระเป๋ากางเกงด้วย..เอกสารสำคัญบางอย่างที่ผมต้องพกติดตัวเพื่อแสดงฐานะและสัญชาติไม่อยู่..มันอยู่ที่เสื้อตัวที่เพื่อนดึงไป รวมทั้งบัตรเงินใบหลักของผมด้วย
ผมไม่ได้กลัวว่าเพื่อนจะเอาไปทำอะไร..แต่ผมจะไปไหนต่อได้ถ้าไม่มีเอกสารนั้น ซ้ำไม่มีเงินสำรองชีวิตข้างหน้า..ผมหนาวเข้าหัวใจ
สองวันต่อมาผมว้าวุ่นใจสุดๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเอง..ไปต่อก็ไม่ได้ กลับหลังก็ไม่ได้อีก..ที่บ้านกำลังเจอกับอะไร ศิลาคงวุ่นวายไม่น้อย..ผมผิดหรือถูกกันแน่ที่หนีมา..มือถือปิดอยู่ ถ้าเปิด จะเกิดอะไรขึ้น!
ชั่งใจอยู่นาน..ผมตัดสินใจเปิดมือถือ..มีสายเรียกเข้ากว่าร้อยสาย..ผมกดดูรายชื่อ ท่านอนุชากับพ่อจำนวนใกล้เคียงกัน เพื่อนซ่าสิบสองครั้ง และเบอร์แปลกๆ อีกสี่ห้าเบอร์..เห็นแล้วผมรีบปิดไว้ตามเดิม
พ่อและท่านอนุชา..พอเดาได้ว่าตามตัวผม แต่เจ้าเพื่อนแฝดมีเรื่องอะไรนักหนา ถ้าเพียงบอกเรื่องเอกสารและบัตรเงินคงไม่ต้องโทรฯ มากขนาดนั้น..ช่างเถอะ!..อย่ารู้ดีกว่า..ใจหนึ่งอยากโทรฯ กลับ อีกใจหนึ่งกลัวถูกดักฟัง..เครื่องนี้ เบอร์นี้อาจอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ได้
เหมือนถูกปล่อยเกาะ มีแต่ทะเลและท้องฟ้า..อ้อ!..มีมะพร้าวต้นหนึ่งให้ผมยึดเหนี่ยว มันมีแต่ลำต้นโด่เด่ไม่มีใบสักใบ..มะพร้าวต้นนั้นชื่ออนุชิต..ผมอยากโทรฯ หาเขาที่สุด..เวลานี้ต้องการกำลังใจจากอนุชิตมาก..แต่..ไม่มีเบอร์!
ทุกคนที่บ้านพักใจดีมีน้ำใจกับผมมาก..ไม่ระแวง ไม่สงสัยอะไรเลย..ตอนกลางวันผมแทบไม่ได้อยู่ที่บ้านเพราะมีเพียงเมียและลูกสาวสองคนอยู่เฝ้าบ้านและทำงานสวนครัวเท่านั้น..ผมตอบแทนน้ำใจเขาเหล่านั้นด้วยการซื้ออาหารและขนมจากตลาดมาฝาก
ผมใช้ชีวิตอยู่แถวตลาด สำรวจผู้คนและลู่ทางที่จะเข้าเวียตนามอย่างผิดกฎหมาย
เขาขนไปไหนกัน? ผมพูดขึ้นลอยๆ ขณะนั่งอยู่ที่เพิงขายของจิปาถะข้างทาง
หนุ่มไม่ใช่คนแถวนี้ละซิ..เป็นนักท่องเที่ยวหรือ ลุงเจ้าของร้านส่งมวนยาที่ผมลองซื้อมาสูบ..ผู้ชายชาวบ้านสูบกันทุกคน
ครับ..พวกเขาขนกล้วยไปไหนกันมากมาย.. ผมมองรถมอเตอร์ไซค์ที่บรรทุกกล้วยจนล้นคันรถ แทบมองไม่เห็นคนขับ บางคันมีผู้หญิงซ้อนหน้า โผล่มาแต่หัว ฮะ..ฮะ..อัก..อัก..โขลก.. มัวแต่ขำ..ผมสำลักควันยาสูบ..ก็เคยกับเขาที่ไหน..บุหรี่ธรรมดาๆ แทบจะไม่เคยสูบเลย
ได้รับความรู้ต่อมาจากชาวบ้าน และนึกได้ถึงเอกสารที่ได้อ่านจากวังเรื่องการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน..คนเวียตนามจ้างชาวศิลาปลูกกล้วยส่งไปให้เขา ไม่รู้แน่ชัดว่าเพราะอะไร แต่ทำให้ผมรู้วิธีที่จะแอบข้ามเขตไปเวียตนาม
แม้อากาศจะหนาวถึงหนาวมาก แต่ถ้ามีแดดจัดๆ ผมมักหาที่ลับตาเปลือยท่อนบนตากแดดให้ผิวคล้ำแม้จะไม่เหมือนผิวชาวบ้านก็ยังดีกว่าขาวโพลน..อยู่กับแดดจนหน้าแดงจมูกปริ บางทีเหมือนจะมีไข้ ผมรีบหายากินดักไม่ให้อาการลุกลาม
คืนที่สามที่หินกำพอง หลังจากหาอาหารเย็นกิน ซื้อน้ำ ขนมปัง ขนมหวาน ของฝากเด็กๆ ที่บ้านพัก ผมเดินเตร่ไปที่แผงขายหนังสือพิมพ์..แต่แล้ว..ผมยืนงงค้างอยู่หน้าแผง
ภาพบนหน้าหนึ่ง..ชายราชศักดิ์เกษมกับท่านอนุชาออกงานอะไรสักอย่าง..ผมไม่มีสติพอจะอ่านรายละเอียด..เห็นพ่อยืนอยู่ด้านหลัง..ภาพไม่ค่อยชัดเจนนัก
อะไรกัน!..ใคร?..ได้ไง.. ผมเผลอพูดออกมา
รูปท่านผู้ครองนครคนต่อไป.. ชาวบ้านที่ยืนข้างๆ ตอบ หนุ่มไม่รู้จักหรือ..เพิ่งแนะนำกับประชาชนเมื่อไม่นานนี้เอง
ผมพอจะเดาอะไรได้แต่รายละเอียดไม่แน่ใจ นี่กระมังคือสาเหตุของสิบสองสายที่ผมไม่ได้รับ..อยากโทรฯ ไปถาม แต่คงไม่พบตัว
ดีเหมือนกันผมจะได้อยู่อย่างไม่ต้องหวาดระแวงสวมหมวกกันน็อคแทบตลอดเวลา..ผมเดินสำรวจตลาดอย่างอิสระ มองร้านค้าดูสินค้าที่วางขาย..คล้ายในเมืองเพียงแต่ไม่มากเท่า
มาถึงร้านๆ หนึ่ง ใจผมเต้นตูมตาม..ไม่มีสินค้าวางขาย แต่มันเป็นร้านเกมส์..มีคอมพ์ตั้งเรียงกันอยู่สี่ห้าเครื่อง
ผมลืมไปเลยเรื่องตั้งใจจะไม่เขียนถึงอนุชิต..ลืมความตั้งใจที่จะหนีจากศิลา หนีจากทุกคนที่เคยรู้จัก และหนีจากโลกถ้าสู้ไม่ไหวจริงๆ
เข้าร้าน..เข้าเฟส..ไม่นึกถึงอะไรอีกแล้ว
.
จากคุณ |
:
ดาเรน
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ม.ค. 55 13:09:25
|
|
|
|