Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วิญญาณ...ความผูกพัน : ตอน ใบหน้าปริศนาบนกระดานดำ (๔) ติดต่อทีมงาน

+++ขออภัยที่มาลงช้าค่ะ พอดีไม่ค่อยสบายแล้วก็เจอตรุษจีนพอดี ตอนนี้ดีขึ้นแล้วแต่ยังไม่หายสนิทซะทีเดียวค่ะ (แต่ไม่เจียมสังขารนะคะ นอนตีห้า เป็นมนุษย์ค้างคาวมาสองคืนติดแล้วเนี่ย ><)

เพราะฉะนั้นงานนี้ขอแก้ตัวลงสองตอนรวดนะคะ (จบพอดี แฮ่~~)+++



วิญญาณ...ความผูกพัน  : ตอน ใบหน้าปริศนาบนกระดานดำ (๔)



ฟ้ายังไม่สางดีนัก นักการภารโรงร่างใหญ่เดินตรวจตราอาคารเรียนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นเวรกลางคืน วัยที่ใกล้เกษียณในปีหน้าทำให้เขาไม่สู้จะคล่องตัวอย่างแต่ก่อน ชายชราเดินลากเท้านิดๆ มาจนถึงชั้นสาม แสงไฟจากห้อง ๓๒๑ สาดลอดออกมาที่ทางเดินหน้าห้องนั้น ทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะตอนที่เขาเดินตรวจตึกตอนตีสอง ก็ยังไม่เห็นแสงไฟนี้เลย ท่าทางจะมีคนร้ายลอบเข้ามาในตึกกระมัง นายพรกระชับมือเข้ากับกระบอกไฟฉายที่ถืออยู่อย่างเตรียมพร้อม หากมีคนร้ายเข้ามาจริง กระบอกไฟฉายนี่ล่ะจะเป็นอาวุธได้อย่างดีทีเดียว

ภารโรงชราสืบเท้าเข้ามาที่ห้องเป้าหมายอย่างระมัดระวัง แต่พอมาถึงหน้าห้อง เขาก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอกที่ไม่เห็นใครสักคนอยู่ในนั้น คงเป็นเจ้าสาย เวรผลัดก่อนล่ะมั้งที่เปิดไฟทิ้งไว้ ชายชราคิดพลางเดินเข้าไปปิดสวิทช์ไฟในห้อง พอหันกลับมาและมองไปที่กระดานดำหน้าห้องอย่างไม่ตั้งใจ นายพรก็ยืนนิ่งค้างเมื่อเห็นลายเส้นภาพใบหน้าที่ปรากฏอยู่ตรงกลางกระดาน ใบหน้าที่เขาคลับคล้ายว่าจะเคยเห็นมาก่อน แต่นั่นไม่เท่ากับสายตาของภาพที่จ้องนิ่งมาที่ตนเองอย่างมุ่งร้าย

ลายเส้นนั้นค่อยๆ เข้มขึ้นทีละน้อย พร้อมกับสีเขียวของกระดานดำในตำแหน่งนั้นที่แปรเปลี่ยนเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง ใบหน้านั้นลอยเด่นออกมาจากผิวกระดานอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากแดงเลือดแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว นายพรนึกออกในตอนนั้นเองว่าเขาเคยเห็นที่ไหน

“ถูกล่ะ ฉันเอง ขอบคุณที่ยังจำได้”

เสียงยานคางราวกับเนื้อเทปคาสเซ็ทที่ถูกใช้งานมาหลายครั้งตอบข้อสงสัยของชายชรา ยังไม่ทันที่นายพรจะออกวิ่ง เงาสีขาวก็วูบมายืนตรงหน้าเสียแล้ว ใบหน้าสวยแต่เผือดซีดลอยอยู่ห่างจากหน้าเขาไม่ถึงนิ้วเสียด้วยซ้ำ

ร่างในชุดขาวเริ่มขยับเข้าใกล้ทีละก้าวๆ ขณะที่ชายชราก็ถอยหลังไปปะทะกับโต๊ะเก้าอี้จนล้มระเนนระนาดด้วยความหวาดกลัวจนถึงขีดสุด โดยไม่ทันสังเกตว่าตนเองกำลังถูกไล่ต้อนเข้าสู่มุมห้องด้านหนึ่ง กว่าจะรู้ก็ตอนที่บั้นเอวปะทะเข้ากับกรอบหน้าต่าง หมดทางหนีอย่างสิ้นเชิง

“ย...อย่าทำอะไรฉันเลย”

ผีสาวกรีดเสียงหัวเราะเสียดแทงเข้าไปในสมองของชายชรา นัยน์ตากระด้างไร้แววจับนิ่ง

“ฉันต้องฟังคำขอร้องนี้หรือเปล่า ลืมแล้วหรือว่าฉันก็เคยพูดประโยคนี้กับแก แล้วผลของมันคืออะไร”

“ฉ..ฉันข..ขอ...ขอ...”

วิญญาณหวานแสยะยิ้มเมื่อเห็นลุงพรสะดุ้งขึ้นทั้งตัว นัยน์ตาเหลือกค้าง เสียงสุดท้ายขาดหายไปในลำคอ สติสุดท้ายก่อนจะหลุดลอยไปตลอดกาลบังคับให้เขาก้มลงมองอกซ้ายของตนเองที่มีมือของหวานฝังจมอยู่ข้างใน ราวกับเนื้อของเขาเป็นเพียงตุ๊กตาผ้า หรือขนมหวานเนื้อนุ่ม อยากจะคิดว่าเป็นเพียงฝันร้ายชั่วครั้งชั่วคราว แต่ความเจ็บปวดและกลิ่นคาวของเลือดสดๆ ที่ทะลักออกมาจากบาดแผลนั้น บอกเขาว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง ร่างนั้นพุ่งตรงไปข้างหน้า ปะทะเข้ากับตัวของหวาน พร้อมกับที่ชายชราสะดุ้งขึ้นทั้งตัวอีกครั้ง เมื่อหวานกระชากมือออกมาโดยแรง สิ่งที่ติดออกมาคือก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นที่เต้นตุบ ชุ่มโชกด้วยเลือดสีข้นเกือบจะดำอยู่กลางมือของหวาน หัวใจมนุษย์!

“หัวใจของแกมันมืดดำอย่างที่คิด ไม่สวยเลยสักนิด ทำลายมันทิ้งเถอะนะ”

ร่างของลุงพรทรุดลงตั้งแต่ที่หัวใจของตนเองถูกกระชากออกจากทรวงอกแล้ว นัยน์ตาเหลือกค้างจ้องนิ่งอยู่ที่ก้อนเนื้อนั้น ผีสาวยิ้มก่อนจะกำมือเข้าหากัน ก่อนที่มันจะตายมันต้องได้เห็น...

เลือดปนเนื้อไหลผ่านซอกนิ้วหยดลงที่พื้นใกล้กับที่ลุงพรนอนเหยียดยาวอยู่ หวานทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับคลายมือออก ก้อนเนื้อเละๆ แทบไม่เหลือเค้าว่าเคยเป็นอะไรมาก่อนถูกทิ้งลงตรงตำแหน่งที่ตั้งเดิมของมันอย่างไม่ไยดี เรียบร้อยไปแล้วคนหนึ่ง นัยน์ตาแข็งกระด้างคล้ายเจือความเศร้าเมื่อคิดถึงคนที่เหลือ เขาทำกับเธอได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ เสียงแหลมกรีดร้องอย่างคนที่ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส ก่อนที่ร่างในชุดขาวเริ่มโปร่งแสงทีละน้อยก่อนจะเลือนหายไปพร้อมกับแสงสว่างแรกของวันที่มาเยือน


ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากที่นอนด้วยอาการหวาดผวา เหงื่อเม็ดโตๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เจ้าตัวหอบหายใจแรงอย่างตระหนกกับฝันร้ายที่เพิ่งผ่านไป มันเหมือนจริงราวกับเขาได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง แม้กระทั่งกลิ่นคาวเลือดยังอวลอยู่ในจมูกจนเขาแทบจะอาเจียน ชายหนุ่มหันไปมองภรรยาที่นอนหลับอยู่ข้างๆ แล้วก็ถอนใจ แค่ความฝันเท่านั้นเอง ฝันที่เขารู้ดีแก่ใจว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร


    ฆาตกรรมสยองคาห้องเรียนโรงเรียนดัง คาดฆาตกรแค้นจัด ควักหัวใจบีบเละ

พาดหัวตัวเป้งที่ปรากฏบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์รายวันยักษ์ใหญ่ของประเทศนั้น ทำให้คนที่เพิ่งถือถ้วยกาแฟเข้ามาวางบนโต๊ะสนามสะดุดตาไม่น้อย ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรเจ้าตัวไม่เคยสนใจหรือคิดจะหยิบขึ้นมาอ่านเลย เพราะตามปกติเขาจะอ่านแต่หนังสือพิมพ์ธุรกิจเท่านั้น ส่วนหนังสือพิมพ์ทั่วไปนี้จะเป็นของภรรยาอ่านมากกว่า หนุ่มใหญ่หยิบขึ้นมาคลี่อ่านอย่างสนใจ แต่พอเห็นภาพข่าวซึ่งมีภาพของผู้ตายอยู่ด้วย เขาก็หน้าซีดเผือด มือที่ถือหนังสืออยู่สั่นอย่างเห็นได้ชัด ความฝันเมื่อตอนรุ่งสางมันกลายเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ แต่พอได้ยินเสียงภรรยาเดินมาทางด้านหลัง เขาก็รีบพับหนังสือพิมพ์เก็บและพยายามเก็บอาการแล้วทำตัวเป็นปกติที่สุด

“อาหารเช้ามาแล้วค่ะ ข้าวต้มเครื่องใส่หัวใจหมูอย่างที่คุณชอบไงคะ”

สามีเกือบอาเจียนออกมาเมื่อได้ยินคำว่าหัวใจ ทั้งที่แต่ก่อนนี้เป็นของโปรดเขาแท้ๆ ภาพข่าวยังติดตาไม่หาย ถ้วยข้าวต้มร้อนควันกรุ่นส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ เขาฝืนยิ้มให้ก่อนจะหยิบช้อนตักข้าว ขณะที่กำลังจะส่งข้าวคำแรกเข้าปากนั่นเอง ก็เห็นชิ้นส่วนของหัวใจหมูที่สไลด์เป็นชิ้นขนาดพอดีเต้นตุบขึ้นมาราวกับมีชีวิต จึงโยนช้อนทิ้งลงในถ้วยทันทีด้วยความตกใจ หน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดลงกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าในถ้วยข้าวต้มของตนเองนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด

“คุณ เป็นอะไรไปคะ”

ภรรยาถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นท่าทีของสามี ฝ่ายชายกะพริบตาแล้วสะบัดศีรษะแรงๆ ภาพน่ากลัวพวกนั้นหายไปแล้ว เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

“ไม่เป็นไรจ้ะ พอดีข้าวร้อนไปนิด เอ่อ เช้านี้ผมรีบน่ะ ผมขอไม่ทานข้าวก็แล้วกันนะ”

“ก็ได้ค่ะ เอ้อ คุณรอสักครู่ได้ไหมคะ เดี๋ยวดาจะทำแซนด์วิชให้ไปทานที่ทำงาน ไม่นานหรอกค่ะ”

“จ้ะ ขอบใจนะ”

เขาบอกพลางขอตัวลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร เพื่อไปนั่งรอที่เทอเรซหน้าบ้านแทน โดยไม่ลืมที่จะหยิบถ้วยกาแฟติดมือไปด้วยอย่างน้อยที่ตรงนั้นก็น่าจะดีกว่า วิภาดายิ้มนิดๆ ก่อนลุกไปทำอย่างที่บอกเอาไว้


ยศวินเพิ่งดื่มกาแฟหมดแก้วพอดี ตอนที่ลูกสาววิ่งเข้ามาหา เขาหันไปยิ้มให้ลูกแล้วมองเลยไปทางห้องครัว

“ทานข้าวแล้วหรือ”

“ส้มไม่ค่อยหิวค่ะ แม่ดาเลยทำแซนด์วิชให้แทน ส้มจะช่วยแต่แม่ดาไล่ให้มารออยู่นี่”

“อย่างนั้นเหรอ เอ่อ ส้ม พ่อมีเรื่องจะถาม ทำไมหนูไม่บอกพ่อว่าเมื่อวานที่โรงเรียนมีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น”

“หือ พ่อวินรู้ได้ยังไงคะ ที่ส้มไม่เล่า เพราะ ผอ. กับอาจารย์ท่านอื่นๆ ขอไว้น่ะค่ะ แบบว่าปิดข่าวอะไรทำนองนั้น”

เด็กสาวตอบคำถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ลำพังคนอื่นอาจเล่าได้โดยไม่คิดอะไร แต่สำหรับห้องของเธอนั้น ถึงไม่มีใครขอให้รูดซิปปาก ต่างก็ยินดีจะทำอยู่แล้ว เพราะแต่ละคนก็ล้วนแต่รู้สึกแย่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย และคิดว่าเป็นความผิดที่ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันเสียด้วยซ้ำ

“ข่าวหนังสือพิมพ์ลงหน้าหนึ่งเลย แต่ไม่บอกว่าโรงเรียนไหนนะ”

“แย่จัง ใครให้ข่าวกันเนี่ย แล้วพ่อวินรู้ได้ยังไงคะ ว่าเป็นโรงเรียนของส้ม”

ส้มถามอย่างสงสัย ทำให้ยศวินรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว แต่พอคิดอีกทีหนึ่ง เขาเองก็เป็นศิษย์เก่า การจะรู้จักใครบ้างก็ไม่แปลก

“พ่อรู้จักลุงพรแกน่ะ หนูอย่าลืมสิว่าพ่อก็เคยเรียนที่โรงเรียนของหนูด้วย”

คราวนี้เด็กสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ พอดีวิภาดาเดินเข้ามาส่งกล่องอาหารอันเล็กให้สองพ่อลูก การสนทนาจึงจบลงแต่เพียงเท่านั้น


ส้มเดินลับตาเข้าไปในโรงเรียนแล้ว แต่ยศวินยังคงจอดรถนิ่งอยู่เหมือนคนกำลังตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง ในที่สุดเขาก็ตบไฟเลี้ยวพร้อมเบนหัวรถออกสู่ถนน ขาดงานสักวันหนึ่งคงไม่เป็นไรกระมัง แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน เขากดรับสายจากสมอลล์ทอล์ค ฟังเสียงจากปลายสายแล้วก็แอบถอนใจ

“ครับ จะรีบไปครับหัวหน้า”

เท่านั้นเองเขาก็กดตัดสาย ให้มันได้อย่างนี้สิ เกิดจะมีประชุมด่วนกันขึ้นมาวันนี้เสียด้วย ทั้งที่เมื่อวานก็ไม่มีวี่แววสักนิด หัวหน้างานเขาก็ช่างกระไร รู้ทั้งรู้ว่าต้องเตรียมเอกสารแต่เนิ่นๆ กลับไม่สนใจ เอาแต่ออกรอบตีกอล์ฟ พอถึงตอนนี้กลับโทรมาเร่งให้เขาเข้าออฟฟิศเพื่อเตรียมงานให้ มันน่านักเชียว

คงไม่เป็นไรนะ ค่อยไปหาเจ้าฤทธิ์ตอนเย็นก็ได้ มันน่าจะยังไม่เห็นข่าวหรอก ถึงไปตอนนี้เขาก็ไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะออกจากบ้านแล้วหรือยัง


ภาพข่าวที่ปรากฏในโทรทัศน์เป็นภาพอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั่วไปก็จริง แต่ชื่อของผู้เสียชีวิตที่ผู้ประกาศข่าวสาวพูดออกมานั้นกลับทำให้คนที่กำลังดูอยู่หน้าจอถึงกับตกตะลึง เลือดในตัวราวจะจับตัวเป็นก้อนแข็ง มือที่กำรีโมทเตรียมจะเปลี่ยนช่องถือชะงักค้างในท่านั้นเหมือนถูกกดปุ่มสต็อปก็ไม่ปาน

“ทราบชื่อผู้เสียชีวิตว่า นายฤทธิรงค์ พุทธิวัฒน์ อายุ ๓๓ ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าผู้ตายน่าจะขับรถขณะเมาสุรา เพราะจากการสอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์ต่างบอกตรงกันว่า รถคันดังกล่าวขับส่ายไปมา และขับด้วยความเร็วสูง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ผู้ตายหักหลบรถบรรทุกที่วิ่งสวนเลนมาอย่างกะทันหัน ทำให้พุ่งชนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง...”

ยศวินหูอื้อตั้งแต่ข้อสันนิษฐานของตำรวจแล้ว จะมีใครรู้จักผู้ตายเท่ากับเขาอีก ฤทธิรงค์ไม่ใช่คนดื่มเหล้ามาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้ถูกเพื่อนๆ คะยั้นคะยอเพียงไร อย่างมากที่สุดก็เพียงอึกเดียวพอเป็นพิธี อย่าว่าจะไม่เมาเลย ถึงถูกจับเป่าแอลกอฮอล์ก็รับรองว่าไม่เกินมาตรฐานด้วยซ้ำ ส่วนการขับรถของฤทธิรงค์นั้น เพื่อนฝูงต่างรู้ดีว่าเขาขับช้าเป็นเต่าคลานแค่ไหน แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับสถานที่เกิดเหตุ เขาจำได้ดีว่านั่นคือถนนที่มุ่งตรงไปสู่วัดที่เก็บกระดูกของใครคนหนึ่งเอาไว้  ชายหนุ่มหนาวเยือกทั้งตัวเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่มี  

ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไปพบฤทธิรงค์หลังเลิกงาน แต่เขาต้องไปรับส้มแทนภรรยาที่ติดธุระสำคัญแทน อันที่จริงส้มก็โตพอที่จะกลับบ้านเองแล้ว ทั้งเจ้าตัวก็ยืนยันว่ากลับเองได้ แต่ทั้งเขากับวิภาดาก็ไม่วางใจ ความที่ดูแลกันมาตั้งแต่สามขวบประกอบกับไม่มีลูก จึงทำให้พวกเขารักหลานสาวกำพร้าเหมือนลูกในไส้แท้ๆ และทำให้เขาลืมเสียสนิทว่าในตอนเช้าเคยตั้งใจไว้ว่าอย่างไร 'สายเกินไป'ยศวินเพิ่งเข้าใจความหมายของวลีนี้อย่างลึกซึ้งก็คราวนี้    

ศพแรกลุงพร ศพที่สองเจ้าฤทธิ์  แล้วศพต่อไปจะเป็นใคร


ชายคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสภาพค่อนข้างยับ แขนเสื้อทั้งสองถูกพับขึ้นไปเหนือศอก นั่งก้มหน้าอยู่ตรงหน้าพนักงานสอบสวนและสารวัตรหนุ่มที่ยืนกอดอกอยู่ทางด้านหลังของร้อยเวรอีกต่อหนึ่ง

“เอาล่ะครับ คุณยศวิน ถ้าคุณพร้อม เชิญเล่าได้เลยครับ”

ยศวินพยักหน้ารับ เหงื่อเม็ดโตๆ ผุดขึ้นเต็มใบหน้า เขาสูดลมหายใจลึกเพื่อคลายความหวาดกลัว ถ้อยคำที่เจ้าตัวเก็บซ่อนไว้มาแสนนานเริ่มพรั่งพรูออกจากปากราวทำนบแตก


“ไอ้ฤทธิ์กลับเหอะ ข้าว่าน้องเขาไม่มาหรอก”

ยศวินในวัยสิบเจ็ดปีบอกเพื่อนที่เดินขึ้นตึกมาพร้อมกัน ด้วยสีหน้าหวั่นๆ ไม่น้อย

“มาสิ ยังไงก็ต้องมา ยัยเด็กนั่นปลื้มไอ้ก้องจะตาย”

ฤทธิรงค์บอกด้วยพร้อมกับยิ้มแปลกๆ ในหน้า แต่เวลานั้นยศวินกำลังกึ่งกล้ากึ่งกลัวที่จะต้องขึ้นมาบนตึกที่เขาว่าผีทั้งดุทั้งเฮี้ยนอย่างนี้ ยศวินสะดุ้งขึ้นสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากบนตึก ตายล่ะหว่า ยายเด็กคนนั้นคงเจอดีแล้วล่ะมั้ง  

“เฮ้ย ไอ้ฤทธิ์ น้องเขาเจอดีแล้วมั้งนั่น”

“หึ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ”

“แกหมายความว่าไง”

“ขึ้นไปดูเองสิวะ ไม่แน่แกอาจจะชอบก็ได้”

“ไอ้ฤทธิ์”

“ไป ขึ้นไป”


ฤทธิรงค์ดึงแขนเพื่อนเกือบเป็นกระชากให้เดินตามขึ้นไปบนตึก ยศวินจะขัดขืนแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใบมีดคัตเตอร์คมปลาบในมือเพื่อนที่ชักออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันสังเกต


เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็นิ่งไปนิดหนึ่งเพื่อกลืนก้อนแข็งๆ ที่ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอกลับลงไป แม้จะรู้ว่าสายเกินไปสำหรับการสำนึกผิด แต่เวลาที่ผ่านมานั้น เขายอมรับว่าไม่มีสักวันเดียวที่จะหลับตาลงได้สนิท

“ถึงไม่ได้ทำแต่ก็เหมือนร่วมทำด้วย ผมเพิ่งรู้ว่าลุงพรกับไอ้ฤทธิ์เป็นญาติกัน พวกมันใช้มีดบังคับให้ผมดูต้นทางให้  คุณตำรวจรู้ไหมครับว่าไม่มีสักวันที่ผมจะลืมเรื่องนั้น เสียงน้องหวานกรีดร้องยังก้องอยู่ในหูผมนี่ แต่ผมไม่คิดว่าพวกมันจะฆ่าน้องหวานด้วย”

“แล้วทำไมคุณไม่คิดที่จะบอกตำรวจ กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้”  ทีปณัฐเอ่ยถามเสียงเครียด หลังจากนิ่งฟังมานาน    

“ผมยอมรับว่าตัวเองขี้ขลาด ตอนนั้นผมสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยได้พอดี ไอ้ฤทธิ์มันขู่ผมว่า ถ้าไม่อยากหมดอนาคต ไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ ก็อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้”

“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก คุณคิดว่าไม่มีใครรู้มากกว่า อีกห้าปีคดีก็หมดอายุความแล้ว ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น คุณก็คงไม่ยอมมาสารภาพ”

“ถึงตอนนี้คุณจะว่ายังไง ผมยอมรับหมดทุกอย่างครับ ผมกลัว กลัวว่าน้องหวานจะมาฆ่าผมอีกคน” ยศวินยอมรับอย่างสิ้นท่า

“เดี๋ยวก่อนนะครับ ผมยังติดใจอยู่อีกเรื่อง จากสำนวนคดีเก่าที่ทำไว้นี้บอกว่า  วันที่เกิดเรื่องตำรวจก็มาสอบปากคำพวกคุณด้วยไม่ใช่หรือครับ แล้วพวกคุณรอดมาได้ยังไง”

นัยน์ตาของคนถูกถามมีแววลำบากใจที่จะตอบขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า

“ในส่วนของผมนั้น ผมบอกคุณตำรวจไปหมดแล้วว่า ผมมีหน้าที่แค่ดูต้นทางเท่านั้น  การที่ไม่พบหลักฐานชี้มาถึงพวกนั้นไม่แปลกเลย เพราะสองคนนั้น เตรียมการเอาไว้อย่างดีทุกอย่างทั้งถุงยางอนามัย หรือแม้กระทั่ง ขอโทษนะครับ โกนขนไอ้นั่นออก  อีกอย่างหวานเป็นเด็กตัวเล็กอยู่แล้วเลยไม่ยากที่จะจับตัว ที่ผมได้ยินน้องหวานร้องก็แค่ครั้งเดียว พอไปถึงก็เห็นลุงพรขึ้นคร่อมตัวน้องอยู่ที่หลังห้องแล้ว ผมคิดว่าน้องไม่ทันจะได้ต่อสู้หรือป้องกันตัวด้วยซ้ำ คุณคงเห็นลุงพรแล้วว่าแกตัวใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่น หวานนอนนิ่งไม่ดิ้นไม่ร้อง ผมมารู้ทีหลังว่าลุงพรแกบีบคอหรือทำอะไรสักอย่างให้น้องหมดสตินี่แหละ”

ทีปณัฐหลับตามองเห็นภาพตามคำบอกเล่าของยศวินได้อย่างไม่ยากเย็น ถ้าคนลงมือตระเตรียมไว้พร้อมสรรพ การจะไม่พบหลักฐานใดๆ เช่น ขนเพชรของผู้ต้องหา หรือแม้แต่คราบอสุจิก็เป็นไปได้ ยิ่งร่องรอยขีดข่วนยิ่งไม่พบเข้าไปใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อฤทธิรงค์จัดการเหยื่อสาวต่อจากญาติแล้ว เหยื่ออาจรู้สึกตัวขึ้นมา จึงต้องชิงลงมือก่อน หรืออีกทางหนึ่งคือ ตัวของลุงพรเองนั่นแหละที่ลงมือฆ่าเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมในการที่จะสาวถึงตัวคนร้าย แต่สำหรับเขาแล้ว ฤทธิรงค์ไม่น่าจะใช่คนลงมือ เด็กวัยสิบเจ็ดปีไม่น่าจะเหี้ยมพอที่จะลงมือฆ่าเหยื่อด้วยวิธีการแทงซ้ำๆ ในตำแหน่งหัวใจเช่นนั้น

“ผมแค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องทั้งหมดเท่านั้น และพูดอย่างที่ไอ้ฤทธิ์มันเตี๊ยมไว้ให้ปกติที่สุด อ้อ! ที่ผมไม่กล้าบอกใครเรื่องนี้ก็เพราะเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง ไอ้ฤทธิ์ขู่ผมว่า ถ้าผมปากโป้ง นอกจากจะเข้าซังเตแล้ว มันยังจะให้ลุงพรฆ่าผมแบบเดียวกับน้องหวานด้วย คุณตำรวจเอ๋ย ถ้าคุณเห็นหน้าของลุงพรตอนลงมีดคุณจะรู้ ลุงพรทำเหมือนลองมีดกับเนื้อหมูอย่างนั้นแหละ ค่อยๆ ดันมีดลึกลงในอกแล้วบิดตัดขั้วหัวใจ แล้วค่อยๆ ถอนมีดออกช้าๆ เอาเสื้อน้องปิดแผลไว้กันเลือดกระเซ็น แล้วทำอย่างนั้นซ้ำๆ ผมร้องไม่ออกสักแอะเดียวตอนที่เห็นร่างน้องหวานกระตุกเฮือกแล้วนิ่งไปในที่สุดน่ะ”

สมมติฐานของเขาถูกต้องจริงๆ ลุงพรคือฆาตกรโหดที่ลงมือฆ่าเหยื่อสาวอย่างเลือดเย็นและอุกอาจ และยิ่งไปกว่านั้น ความจริงที่ถูกซ่อนเร้นมานานคือคนร้ายไม่ได้มีเพียงหนึ่ง ส่วนยศวินเป็นคนที่ตกกระไดพลอยโจนติดร่างแหไปในฐานะผู้สนับสนุนอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สารวัตรหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนถามคำถามต่อไป

“แล้วคุณก้องล่ะ เขามีส่วนอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่า”

เงาเลือนรางปรากฏไหวๆ อยู่ที่มุมห้องโดยไม่มีใครมองเห็น นัยน์ตาไร้แววของผีสาวจ้องนิ่งที่แผ่นหลังของยศวินนิ่งอย่างอยากรู้เช่นกัน เหลืออีกคนเดียวเท่านั้น คนสำคัญที่เธออยากรู้คำตอบ ทำไมเขาต้องทำกับเธออย่างนี้

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 55 16:38:57




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com