25
‘แท็กซี่’ คันนี้ใหญ่ที่สุดเท่าที่ปุริมาเคยเจอ หากเมื่อคิดรวมกับโซเฟอร์แล้ว มันน่าจะเป็นการโดยสารรถที่ ‘’อุ่นใจ’ ที่สุดเช่นกัน
หลังจากปิดบ้านเรียบร้อย เธอก็เปิดประตูขึ้นไปนั่ง ส่วนโขงเดินมากระซิบข้างประตูเพราะเขมรัฐไม่ได้ลงจากรถ
“ในฐานะได้ทำคะแนน ผมขอแลกกับการสมทบทุนกีตาร์ตัวใหม่นะป๋า”
“เออ ก็ได้” เขาโยกศีรษะลูกชายอย่างหมั่นไส้ และกำชับให้รีบกลับบ้าน ก่อนจะพายานพาหนะเคลื่อนตัวออกไป มองจากกระจกหลังเห็นจักรยานคันนั้นค่อย ๆ แล่นไปลับสายตา เขาจึงสตาร์ทเครื่อง
หันกลับมามองยังคนที่นั่งข้างกัน สีหน้าเป็นกังวล
“ผอ.ไม่เป็นอะไรหรอก”
เธอหันมองราวกับเขาพูดคำหยาบ
“ก็เมื่อครู่คุณบอกว่า พยาบาลให้ผอ.โทรมาบอกคุณเอง แสดงว่าผอ.ยังมีสติอยู่ อย่างน้อยก็พอวางใจได้นะ”
จริงของเขา ปุริมารับรู้ หากแต่ยังวางใจไม่ได้จนกว่าจะได้เห็นหน้าพ่อ จึงนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเอง
เขมรัฐเองก็ไม่ได้เอ่ยคำใดอีก หากมีรอยยิ้มแต้มบนหน้าคมพลางคิดถึงโอกาสหนนี้ แม้ว่าเรื่องเจ็บไข้หรืออุบัติเหตุไม่ควรล้อเล่น แต่ชายหนุ่มอดดีใจไม่ได้ที่คนสำคัญของผู้หญิงสองคนมีเหตุให้เข้าโรงพยาบาลพร้อมกันพอดี ทำให้ผู้ชายอย่างเขากับธรณิศโชว์บทพระเอกได้อย่างถูกที่ถูกเวลา ตอนนี้ลูกน้องปากหนักของเขาคงนอนฝันหวานปล่อยให้บุ้งสุดสวยสะกดจิตเหมือนหนอนชาเขียวไปแล้ว
ที่โรงพยาบาล ปุริมารีบถามหาชื่อคเชนทร์
ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่แผนกต้อนรับหาข้อมูลช้าไปหรืออย่างไร เพราะหญิงสาวร้อนรน พอได้คำตอบก็รีบผละไป แทบจะลืมไปว่ามีเขมรัฐมาด้วยอีกคน
“ใจเย็น ๆ ปูนิ่ม วิ่งเป็นเด็กเลย เดี๋ยวก็หกล้มแข้งขาหักไปอีกคนหรอก”
ปุริมาไม่สนใจ ลิฟท์ทะยานขึ้นชั้นเป้าหมาย เธอมองซ้ายขวา
“ห้อง 708 ทางซ้าย” เขาบอก เธอรีบเดิน พอเจอก็เปิดบานประตูด้วยอาการที่เกือบจะเรียกว่าผลัก
“พ่อ!!” ปุริมาโผเข้าหาคเชนทร์ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนศีรษะพันผ้าก๊อซ ที่แขนมีผ้าพันแผล มีรอยเขียวบริเวณใต้ตา เธอกอดคนไข้โดยไม่ได้สนใจกับชายหนุ่มที่เดินตามมากับปฏิกริยาต่อคำเรียกคนเจ็บ
“พ่อเป็นยังไงบ้างคะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ หนูเป็นห่วงพ่อแทบแย่”
คเชนทร์ลูบศีรษะลูกสาว ยิ้มปลอบใจและพยายามแสดงให้เห็นว่าอาการเขาไม่หนักหนาสาหัส
“ชนกับใครคะ คู่กรณีเขาเป็นยังไงบ้าง เขาว่ายังไง”
คนเจ็บส่ายหน้า “ไม่ได้ชนกับใคร พ่อแค่หน้ามืด รถแฉลบไปชนรั้วน่ะ”
ปุริมาหายใจถี่ “หนูบอกแล้วไงคะว่าพ่อทำงานหนักเกินไป ไม่เชื่อกันบ้าง ดีแล้วนะเนี่ยที่ไม่เป็นอะไรมาก” พูดพลางกอดอีกฝ่ายแนบแน่น รู้สึกว่าไม่ได้รับการตอบสนองเต็มที่ก็เพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง พอดึงตัวออกก็เห็นสายตาของพ่อมองเลยตนเองไปยังชายหนุ่มอีกคน เขาผงกศีรษะ
“นายเข้มาส่งให้เหรอ”
“พอดีเจ้าโขงไปส่งปิ่นโตให้ปูนิ่มครับ เลยโทรให้ผมมาส่งให้เพราะน่าจะปลอดภัยกว่าขับมอเตอร์ไซค์”
คเชนทร์พยักหน้า ปุริมาเห็นแววตาที่ฉายออกมา ไม่เพียงแค่ยินดีที่ได้ทำประโยชน์ หากเป็นเปรมปรีด์บางอย่าง... ใจเธอเต้นระรัว เขาได้ยินหมดแล้ว รู้เรื่องที่เธอเรียกคน ๆ นี้ว่าพ่อด้วย
“อาการเป็นยังไงบ้างครับ” เขาเลือกถามคนเจ็บ
“ก็...นอกจากตรงนี้” คเชนทร์ชี้มือที่ศีรษะตัวเอง “ที่เหลือก็ฟกช้ำดำเขียวธรรมดา แต่หมอบอกให้ค้างคืนนึงก่อน จะได้ดูอาการให้ละเอียดอีกทีน่ะ ขอบคุณนายเข้มากนะ” “ครับ”
น้ำเสียงนั้นจริงใจ แววตาก็ไม่ตั้งแง่ดั่งเคย เขมรัฐต้องระงับตัวเองไม่ให้ยิ้มแฉ่งฟ้องออกมา บทว่าจะโชคดีก็พากันดาหน้าเขามาเหมือนถูกหวยสามใบซ้อนเลย
“ค้างคืนนึง งั้นเดี๋ยวหนูอยู่เฝ้านะคะ” ปุริมาบอก
“ไม่เป็นไร หนูกลับบ้านไปเถอะ บ้านไม่มีคน พ่ออยู่คนเดียวได้”
“ช่างบ้านสิคะ พ่อ...สำคัญกว่า เดี๋ยวหนูกลับไปเอาของก่อน จะได้เอาเสื้อผ้ามาให้พ่อเปลี่ยนด้วย แล้วถ้าเกิดมีอาการอะไรเพิ่มเติมจะได้รักษาได้ทัน นะคะ”
คเชนทร์เห็นท่าทางขึงขังของลูกสาวแล้วจึงยอม
ปุริมาผละออกมา “เดี๋ยว รบกวนคุณอีกครั้งแล้วกันนะคะ”
เขมรัฐโค้งตัวสวยงาม “ยินดีครับคุณผู้หญิง”
‘คุณผู้หญิง’ ค้อนให้อีก หนอยแน่ พอรู้ว่าไม่ใช่เมียล่ะก็ออกอาการเลยเชียวนะ ต่อหน้าต่อตายังไม่วายทะเล้น เธอหันไปทางพ่อ จับมือบีบเบา ๆ
“งั้นเดี๋ยวหนูมานะคะ”
“จ้ะ”
ทั้งคู่กลับที่รถ ยานพาหนะแล่นกลับไปยังเส้นทางเดิม ปุริมาโล่งอก เมื่อเห็นแก่สายตาและคำยืนยันจากหมอแล้วก็สบายใจ ผ่อนคลายกิริยาที่เครียดเขม็งไปกับทิวทัศน์จากแสงไฟข้างทาง เกือบจะลืมประเด็นที่ติดค้างหากคนขับไม่พูดขึ้น
“คุณเป็นลูกสาวนี่เอง”
ปุริมาไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ หลักฐานอยู่บนคำเรียกและสีหน้าของเธอก็คงบอกว่าถูกต้องไปแล้ว ด้านหนึ่งก็โล่งใจเหมือนได้ปลดภาระที่ไม่จำเป็นต้องถือทิ้ง หากอีกด้านก็ตื่นเต้นกับทางใหม่ที่เปิดออก
“เสียใจหรือเปล่าที่ไม่ได้ลองปีนต้นงิ้วเป็นครั้งแรกในชีวิต”
เขมรัฐหัวเราะเต็มเสียง ท่าทางถูกใจกับการประชดประชัน “เสียใจ...เพราะผมจะมีคู่แข่งเพิ่มน่ะสิ นี่ถ้าเจ้าโขงรู้นะมันกระดี๊กระด๊าน่าดูเลย”
คราวนี้เป็นหญิงสาวที่ยิ้มหมั่นไส้ “ถ้าอย่างงั้นเสียใจก็ถูกแล้ว เพราะคุณกับโขงน่ะไม่ใช่สเป็คฉัน”
“ผมรู้” เขาพูดยิ้ม ๆ ท่าทางรื่นเริง “แต่คุณไม่คิดเหรอว่าเราน่ะเข้ากันได้และเหมือนกันเปี๊ยบเลย”
“ตรงไหนไม่ทราบ”
“ตรงที่พยายามหนีอะไรที่ตัวเองไม่อยากเป็น แต่ก็ต้องเป็นไง”
ปุริมาคิดว่าพอจะเข้าใจ แต่ปากหนักรักษาฟอร์ม “ไม่เห็นเข้าใจ”
เขมรัฐหมุนพวงมาลัย “จำได้ไหมที่ผมเคยบอกว่าผมไปเรียนที่กรุงเทพ...”
จากเดิมคิดว่าจะไม่สนใจ แต่อยู่ดี ๆ กำลังจะได้ยินเรื่องที่อยากรู้โดยไม่ต้องถามให้น่าสงสัย ใจก็เต้นอีกครั้ง
“ที่ว่าหนี...”
“ไม่เชิงหนี แต่ผมไม่อยากอยู่เมืองเล็ก ๆ ริมทะเล ไม่อยากทำแพ เกลียดกลิ่นคาวปลา อยากทำงานในออฟฟิศ ใส่สูทผูกไทด์โก้ ๆ แต่ที่ไหนได้...” เขาไหวไหล่ “เหมือนไหมล่ะ”
คนฟังไตร่ตรองแล้วยอมรับว่าจริง เธอรู้ดีว่าการมาอยู่กับพ่อย่อมไม่พ้นการรับอาชีพครูที่ตัวเองไม่คิดจะเป็น ถ้าเพียงแต่ทู่ซี้อยู่กับแม่ ดื้ออีกหน่อยอาจจะพอมีทาง แต่เธอก็ไม่ยอมเพราะอยากไปให้พ้นจากการถูกบังคับนั่นเอง
“บ้านนั้นอา ๆ เขาหลงหลาน เอาใจสารพัด ผมทำอะไรไม่ค่อยผิด จนไปก่อเรื่องนั่นแหละ พ่อถึงได้ส่งกลับ”
“เรื่องโขง?”
เขายิ้ม “ครับ”
ปุริมาสูดลมหายใจ “คุณไปอยู่กรุงเทพกับพ่อ แปลว่าพ่อแม่คุณแยกทางกันเหรอ” “รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาวหน้าแดง เห็นไหมล่ะ อุตส่าห์ระวังอย่างดีไม่ให้ถามประเจิดประเจ้อ เขายังจับไต๋ได้ว่าเธอรู้อยู่แล้ว ชายหนุ่มหัวเราะแผ่วพอดีรถเลี้ยวเข้าซอยมาถึงหน้าบ้าน ปุริมาเลยได้จังหวะไปตั้งหลักโดยการผละไปเก็บของที่จำเป็น ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็เรียบร้อย และกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง
ชายหนุ่มผู้รับหน้าที่แท็กซี่จำเป็นพารถโดยสารของตัวเองเคลื่อนกลับไปยังโรงพยาบาลอีกครั้ง
“เมื่อกี้จะถามว่าอะไรนะ”
คนจะถามบ่นแก้เขิน ยังไม่ลืมอีก เอาน่ะ ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นหนีแล้ว “ทำไมพ่อแม่คุณถึงแยกกัน”
รถเลี้ยวออกจากซอยสู่ถนนสายหลัก “พ่อผมเป็นลูกคนโต แม่ก็เป็นลูกคนเดียว ต่างคนต่างต้องรับกิจการที่เป็นมรดกของครอบครัว พอไม่มีใครเสียสละก็เลยจำเป็นต้องแยกกันใช้ชีวิตเท่านั้นเอง นี่ก็เหมือนครอบครัวคุณอีก”
“รู้ได้ไงว่าเหมือน” เธอลอยหน้า
“ก็คุณเคยเล่าว่าหนีมาเพราะถูกแม่ขัดใจไม่ให้ทำตามความฝัน มันก็อาจะเป็นรูปแบบเดียวกับที่ผอ.ต้องอยู่คนเดียว มันคือการไม่ลงรอยกันระหว่างคนสองคนไง”
ปุริมานิ่ง
“ว่าแต่ปูนิ่ม ความฝันคุณคืออะไรเหรอ” เธอไม่ตอบทันใด “เล่าหน่อยน่า นี่ผมเล่าเรื่องตัวเองไปแลกแล้วนะ”
“อย่าหัวเราะนะ ฉัน...อยากเป็นนางแบบ”
เขมรัฐยกคิ้ว ห่อปากทำท่าทึ่ง
“นั่นปะไร”
“ทำไม”
“ก็คิดว่าคุณคงอยากทำอาชีพอะไรที่เกี่ยวข้องกับการออกสื่อสังคม บันเทิง ดูคุณไม่ใช่คนชอบชีวิตเรือกสวนไร่นาเท่าไร” เขาจุดยิ้มเจ้าเล่ห์ “ระวังนะปูนิ่ม โบราณเขาว่าไว้ เกลียดอะไรก็ได้อย่างนั้น ยิ่งถ้าคุณเกลียดคนตัวดำ...”
“หยุดเลยนะ อย่ามาเสนอขายตัวเองตอนนี้”
“งั้นขายได้ตอนไหน เลยหกโมงแล้วนี่”
“นายเข้!!”
เขมรัฐหัวเราะ ปุริมาร้อนผะผ่าว พอรู้ว่าเธอไม่ใช่เมียก็ทำเป็นออกลายเชียว แต่...มันก็ไม่ต่างกับตอนที่ไม่รู้เท่าไรเหมือนกัน
“รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
เป็นอีกครั้งที่เธอต้องยอมรับอีกอย่างว่าเขาเป็นคนที่ทำให้ความกลัดกลุ้มกังวัลหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทำกะล่อนพูดจาแทะโลมชวนโมโห แต่กลายเป็นการขจัดความเครียดได้อย่างดี
หญิงสาวผ่อนลมหายใจ
“อยากรู้อะไรอีกไหม”
เธอเหลือบมอง กอดอกเชิดหน้านิด ๆ “แล้วก็เหมือนคุณกับภรรยาด้วยล่ะสิ”
เขมรัฐยิ้มระบาย แช่มชื่นมากกว่าโกรธที่ถูกถามเรื่องส่วนตัว บางทีเขาอาจรอที่จะตอบเธออยู่นานแล้ว
“หรือมีอะไรอื่น ถ้าฉันไม่ควรถามก็ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่หรอก อย่างที่บอกนั่นแหละ คิดไม่ตรงกันก็เลยแยกกันแค่นั้น”
เธอเว้นระยะ ปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวล “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนเหรอ”
“ไม่รู้สิ ตั้งแต่แยกกันก็ไม่ได้ติดต่ออีก”
ในที่สุดปุริมาก็ได้รู้ บทที่เกี่ยวกับแม่ของโขง เป็นคนที่นายเข้ไปเจอที่กรุงเทพ อาจจะเป็นสาวกรุงเทพ ตอนอายุสิบเจ็ดสิบแปด มีความสัมพันธ์กันซึ่งไม่รู้ว่าผิดพลาดหรือตั้งใจ หรือด้วยวัยอยากรู้อยากเห็น แต่ที่แน่ ๆ มีเหตุให้ทั้งคู่แยกกันแล้วชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายรับลูกมาเลี้ยงเอง
คำถามที่มีต่อมาคือ ทำไม ‘เธอ’ ถึงไม่เป็นฝ่ายได้ลูกไปนะ ทิ้งเหรอ...
อย่าเพิ่งตัดสินดีกว่าปูนิ่ม
“ฟังดู คงไม่ได้เพิ่งแยกกันใช่ไหม แล้ว...คุณมีวิธีบอกโขงยังไงที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วโขงเข้าใจไหม”
รถแล่นสู่ถนนใหญ่มาติดไฟแดงในเมือง ยังไม่ดึกยานพาหนะจึงหนาตา
“ผมไม่ได้บอกอะไร ไม่ได้โกหกอะไรด้วย ได้แต่อธิบายว่าเมื่อใดที่เขาโตเขาจะเข้าใจเอง ซึ่งเขาก๋ไม่เข้าใจนักหรอก แต่ระหว่างนี้ก็ให้เวลาเขาเต็มที่ เป็นพ่อเป็นเพื่อนให้เขารู้สึกว่าไม่ได้ขาดอะไร”
มิน่าล่ะ ปุริมาคิด สองพ่อลูกถึงได้สนิทกันขนาดนั้น เรียกว่าถ้าไม่รู้จักมาก่อน อาจจะคิดว่าพ่อเลี้ยงลูกลามปาม แต่เท่าที่ดูยามเขาจริงจังเด็กชายก็เชื่อฟังไม่ขัด คนเป็นลูกไม่ได้แสดงออกว่ายอมเพราะกลัว หากเป็นความรักและความศรัทธาต่อบิดาของตนเองมากกว่า เหตุการณ์ชกสินธพเป็นตัวอย่างได้ดีถึงความผูกพันที่ลึกซิ้งของคนคู่นี้
พ่อพร้อมจะมาเมื่อลูกมีปัญหา ลูกพร้อมจะปกป้องและเคารพผู้เป็นพ่อ
อบอุ่น และน่าอิจฉา ถ้ามีใครอีกคนเข้ามา จะอยู่ตรงไหนนะ
“คุณนี่เจ้าเล่ห์ไม่เบานะปูนิ่ม”
ปุริมาหลุดจากภวังค์ เห็นตาแพรวพราวแสดงสัญญาณไม่ค่อยดี “ทำไม ฉันเจ้าเล่ห์อะไร”
“ก็หลอกถามผมเรื่องแม่เจ้าโขง จะได้พิจารณาโอกาสที่ตัวเองจะได้เป็นแฟนผมใช่หรือเปล่า ร้ายเหมือนกันนี่”
หน้านวลแดงจัด ตัวร้อนเหมือนอยู่กลางกองเพลิง ชักสายตาหลบ กลบเกลื่อนอาการพัลวัน
“บะ บ้า!! ใครไปคิดอะไรขนาดนั้น บ้า ฉันไม่สนหรอกคนหลงตัวเองอย่างคุณน่ะ”
แต่ดูเหมือนว่าจะเก็บไม่มิดแล้ว เพราะชายหนุ่มยังมีเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจ ปุริมาอยากมุดเบาะหนี ฉันไม่ได้คิดอะไร เปล่าเลย ปูนิ่ม เธอต้องปฏิเสธให้ชัดสิ เดี๋ยวอีตาคนตัวดำนี่ได้ใจหรอก
กลับมาถึงโรงพยาบาลอีกครั้ง ปุริมาเป็นคนบอกเขาเองว่าไม่ต้องเดินไปส่งถึงห้องก็ได้ เท่านี้ก็เกรงใจมากแล้ว เธอปลดเข็มขัดนิรภัย ครั้นแล้วก็สบตาเขา ถึงจะยั่วแหย่จนเธอจนมุม แต่ก็ต้องยอมรับน้ำใจครั้งนี้
“ขอบคุณนะคะ”
เขมรัฐยิ้ม “ไม่เป็นไร ผมเป็น 7-11 คิดถึงเมื่อไรก็แวะมา”
เธอเค่นยิ้ม เก็บทุกเม็ดทุกดอกเชียวนะ นอกจากจะแปลงเพลงเก่ง ยังจะไปบิดเบือนโฆษณาอีก
“หิว...ต่างหากล่ะ”
“ก็ได้...ถ้าปูนิ่มหิวผมเมื่อไรก็แวะมา”
กรี๊ด!!!
พลาดอีกแล้ว คราวนี้ร้ายแรงมหันต์เลยเชียว เธอผลุนผลันลงจากรถ เก็บอาการหัวหูแดงเหมือนมะเขือเทศ ถ้าอยู่ต่อวินาทีเดียวอาจจะถูกเคี้ยวเสียเองก็ได้ คนบ้า ใครกันแน่ที่ร้าย
“เดี๋ยวปูนิ่ม พรุ่งนี้ให้ผมมารับกี่โมง”
“ไม่ต้องมาแล้ว!"
เขมรัฐยิ้มกว้าง มองร่างหญิงสาวเดินจ้ำพรวด ๆ เข้าไปในอาคารอย่างเพลินใจ รู้ว่าพรุ่งนี้ก็ยังสามารถมารับเธอได้อีก เขากำลังเริ่มคิดถึงการสมนาคุณเจ้าลูกชายจอมแสบที่เปิดโอกาสจนได้พบสิ่งดี ๆ แบบนี้
ส่วนปุริมา พอลับสายตาชายหนุ่มมาได้ก็ยังต้องยืนสงบอารมณ์อยู่พักใหญ่ มือทาบหน้าอกที่ก้อนเนื้อในนั้นเต้นระรัว ก่อนจะมีรอยยิ้มเหมือนคนคุมตัวเองไม่อยู่
รู้แล้วว่าได้เผลอทำให้จระเข้จอมทะเล้นมานอนอาบแดดยิ้มแป้นแล้นในใจเสียแล้ว
ต่อ...
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ม.ค. 55 11:02:37
|
|
|
|