.
ชุติมนสืบเท้าเบาๆ ไปที่บ้านหลังเล็กอีกหลังที่นนทัชได้ใช้แยกออกมาอยู่ตามลำพังอย่างเป็นส่วนตัว เธอนึกไม่ผิดจริงๆ ว่าลูกสาวเธอจะต้องมานั่งซุกตัวอยู่ที่นี่นี้ เพื่อหลบหนีปัญหาอยู่ที่นี่ เป็นประจำทุกครั้งเมื่อณิชนันท์เกิดปัญหาที่ตัวเองจัดการไม่ได้
“เพลิน” และเธอก็เรียกชื่อเล่นลูกสาวเบาๆ ตอนนี้เธอ ลูกสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองมาทางเธอ วงหน้านั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์บางอย่างอยู่
“แม่คะ..”
ยามที่ชุติมนเดินเข้าไปใกล้ๆ ร่างของลูกสาว ณิชนันท์ก็โผเข้าซบอกคนเป็นแม่ รู้สึกวุ่นวายสลับกันไปหมด เพราะอีกใจหนึ่งเธอก็ยังติดใจกับการกระทำที่เธอไม่คิดว่ามนัญชยาจะกล้าทำเช่นนั้นลงไปได้ และเมื่อนึกถึงสายตาที่ดูไร้ชีวิตคู่นั้นอีกล่ะ เธอก็นึกหวาดกลัวขึ้นมาจับจิต ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยในชีวิตนี้จนต้องกอดคนเป็นแม่แน่นๆ ขึ้นไปอีก
“บอกแม่สิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ณิชนันท์ ทำท่าลังเล ...แต่เพราะไออุ่นจากร่างของคนเป็นแม่ทำให้เธอสละความหวาดกลัว นั่นเองได้ พร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาของแม่ตนเอง พร้อมตอบคำถาม เธอก็กลืนน้ำลายลงคอแรงๆ “ฝ้ายเค้า เค้าเอาขนมมาให้เพลินจริงๆ แหละค่ะ...แม่.....”
ชุติมนสบสายตากับลูกสาวจริงจังขึ้น เพื่อรอคอยตอนที่สำคัญที่สุด ที่น่าจะเป็นทางออกเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ณิชนันท์กลับอึกอัก พร้อมทำท่ากลับไปครุ่นคิดอะไรเงียบๆ เองอีกแล้ว
...เพราะเวลานี้ ในตัวของณิชนันท์นั้นเองก็กำลังลังเลว่า ...จะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้คนเป็นแม่ฟังทั้งหมดดีหรือไม่ ว่ามนัญชยาเป็นคนปัดจานขนมนั้นทิ้งเอง ก่อนจะใช้เท้าตัวเองเหยียบซ้ำลงไปที่เศษกระเบื้อง จนเกิดเลือดและบาดแผลนั่น แต่ถ้าหากเธอเล่าไป ‘แม่’ คนที่เป็นคนช่างคิด ชั่งถามจะไม่คาดคั้นเอาอีกหรอกหรือว่า ทำไมมนัญชยาถึงได้ปัดจานทิ้งและยอมเจ็บตัวบ้าๆ แบบนั้น เธอจะตอบแม่ได้ไหมว่า เพราะเธอนั่นแหละ มนัญชยาเดินเข้ามาขอน้ำใจจากเธอไปบ้าง ดีๆ แต่เธอกลับปฺฏิเสธแถมออกปากไล่ให้ไปหาที่อื่นที่ไม่ใช่หาจากคนที่บ้านหลังนี้ที่เธอหวง ..
คิดมาถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ยิ่งหนักใจนัก ยามเมื่อได้สบสายตากับแม่ที่เต็มไปด้วยความเอื้ออารี ที่ความเมตตาอารีนั้นไม่เพียงแต่จะมีให้กับลูกในไส้เช่นเธอ แต่ท่านก็ยังคิดที่จะเผื่อแผ่ ไปให้กับลูกของคนอื่น
เธอจะบอกแม่คนที่คอยปลูกฝังในเรื่องการแบ่งปันนี้กับเธอได้หรือไม่?
คิดไปคิดมาณิชนันท์ก็รู้ว่า ความรู้สึกมันช่างขัดแย้งกันอยู่ในตัวของเธอเองหลายอย่างทำให้เด็กสาวอายุสิบกว่าปีสับสน สุดท้าย เธอก็กลายมาเป็นฝ่ายรู้สึกผิดต่อคนเป็นแม่ขึ้นมาเงียบๆ และยากเกินไปที่จะทำให้แม่ที่เธอรู้แก่นแท้ในใจที่ดำมืดอีกด้านหนึ่งของเธอ เธอไม่อยากให้แม่ผิดหวัง...
“แล้วอะไร ?” ชุติมนถามย้ำกับลูกสาว
และณิชนันท์ก็ให้คำตอบกลับมาแค่ ยันตัวออกจากอ้อมกอดของแม่ แล้วส่ายหน้าไปมา เหมือนพยายามตัดบทเอง
“ช่างเถอะค่ะแม่ อย่าถามเพลินอีกเลยนะคะ เอาเป็นว่าเพลินผิดที่ไม่อยากจะกินขนมจากเด็กคนนั้น และเพลินสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก เพลินจะอยู่ให้ห่างจากฝ้ายเข้าไว้ค่ะ ”
ยามรับฟังคำพูดของลูกสาว ที่ไม่ใช่คำตอบที่เธออยากจะรู้จริงๆ สักหน่อย ชุติมนก็ได้แต่กดหัวคิ้วทั้งสองจนเกิดร่องลึกๆ แต่เมื่อเห็นว่าณิชนันท์เองก็ทำท่าไม่อยากจะกลับไปคิดถึงมันอีกแล้ว เธอก็เกรงใจไม่อยากจะชักลูกสาวนัก เพราะนั่นมันจะเป็นการกดดันลูกตนเองอยู่กลายๆ ด้วย
แต่อีกใจหนึ่งเธอก็ไม่ยอมให้เรื่องนี้มันจบลงแค่ตรงนี้ง่ายๆ เหมือนกัน เธอมองออกว่า ณิชนันท์ไม่พูดหรือ ทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นมาในวันนี้ มันจบลงตรงแค่นี้ แต่เหมือน ณิชนันท์กำลังจะปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นเสียเองต่างหาก...
.
อีกด้านหนึ่งหลังจากออกจากคลีนิกแห่งหนึ่งมานนทัชก็พาคนเจ็บที่ได้รับการทำแผลแล้วกลับบ้าน ภายในรถยังคงเกิดความเงียบอยู่อย่างนั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืนนนทัชที่เป็นคนให้เด็กสาวอีกคนอยู่กับความเงียบเองดูเหมือนว่าเธอมีอะไรบางอย่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่ตามลำพัง เขาก็เลยไม่อยากจะรบกวนเธอเท่าไหร่
มนัญชยานั่งมองเงาสะท้อนของตนเองจากกระจกประตูรถ มองเห็นประกายแววตาที่ขาดความสดชื่นแล้ว ค่อยๆ ลดสายตากลับมามองเท้าข้างหนึ่งที่ถูกผันเอาไว้ด้วยผ้าผันแผลสีขาว และนั่งย้อนไปถึงก่อนหน้าที่เธอจะมานั่งอยู่ในรถยนต์ของนนทัชเช่นนี้
เธอไม่รู่ตัวเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนั้นลงไป
หลังจากที่ณิชนันท์ปฏิเสธสิ่งที่เธอร้องขอด้วยความจริงใจ เธอก็ไม่รู้สึกตัวอะไรสักอย่าง ตอนที่เหยียบเท้าลงไปที่เศษกระเบื้อง รู้ตัวอย่างเดียวก็เพื่อแสดงออกมาให้ณิชนันท์เห็นว่า ว่าคนได้รับบาดเจ็บมันจะเป็นเช่นไร ยอมแลกกับความเจ็บเพื่อให้ณิชนันท์เข้าใจว่าเวลาคนที่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายยังแค่นี้ กับเธอ ที่ต้องได้รับบาดเจ็บทางจิตใจมันมากกว่านี้อีกหลายเท่าและเธอก็ยอมทนเจ็บทางร่างกายได้ เพียงแค่ อย่าทำให้เธอได้รับการบาดเจ็บทางจิตใจอีกเลยก็พอ
“ยังเจ็บแผลอีกมั้ย”
นนทัชถามขึ้นเบาๆ ทำให้เด็กสาวที่นั่งเงียบๆ ในรถมองเงาตัวเองมองเห็นแววตาที่ไร้ซึ่งความสุขตัวเองตรงหน้า ค่อยๆ เหลียวกลับมาส่ายหน้าเป็นคำตอบแทน
“แล้วตอนนี้พอจะเล่าให้ฉันฟังได้รึยังว่า มันเกิดอะไรขึ้น เพลินทำอะไรเธอหรือเปล่า”
คำถามของนนทัช ทำให้เด็กสาวมีอาการนิ่งคิด และเธอจะสามารถบรรยายความสลับซับซ้อนในเรื่องจิตใจที่เธอนึกถึงเมื่อครู่ให้เขาฟังได้หรือไม่
“ว่าไง ล่ะ”
“ตอนเที่ยงฝ้ายเห็นว่า เพลินเค้า ไม่ทานข้าว ฝ้ายเลยเอาขนมไปให้เขาที่ห้อง แล้ว...”
“แล้วยังไงต่อ..”
มนัญชยาก็เหมือนคนน้ำท่วมปากขึ้นมาอีกแล้ว เธอไม่สามารถพูดต่อได้จริงๆ ว่าหลัง .
จากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น นนทัชไม่เข้าใจหรอกว่า ที่เธอทำแบบนั้นลงไป ยอมแลกกับความเจ็บเพื่อให้ณิชนันท์เห็นใจว่าเวลาเธอที่ได้รับบาดเจ็บแผลทางร่างกายเธอทนได้ แต่บาดแผลทางจิตใจมันมากกว่านี้อีกหลายเท่า ถ้าจะให้เธอเลือกระหว่างเจ็บทางกาย และเจ็บทางใจ เธอยอมเจ็บทางกายดีกว่า ที่จะกลับไปเจอกับความเจ็บปวดทางใจอีก
และสุดท้ายเมื่อเห็นว่า เธอไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เพราะยามนี้เธอทั้งรู้สึกอึดอัดและเครียด ผลพวงของความรู้สึกที่ตีแน่นอยู่ในใจของเธอ ทำให้ร่างกายที่ต้องเก็บอัดแน่นความรู้สึกนั้นเอาไว้กับตัวจึงเกิดปฏิกิริยาขึ้น เมื่ออยู่ดีๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง
นนทัชเห็นถึงหยดน้ำใสๆ ที่ไหลรินลงมาอาบแก้ม ก็รีบเอื้อมมือไปหยิบกระดาษเช็ดหน้ามาให้พร้อมทั้งเปลี่ยนเรื่องเสียเองด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ
“เล่าไม่ได้ก็ไม่ต้องเล่า เอ้าเช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยนะ”
(มีต่อค่ะ)
จากคุณ |
:
พิณพลอย
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ม.ค. 55 20:47:18
|
|
|
|