อีกตอนเดียวก็อวสานแล้วครับ
กีฏมนตรา ดำเนินมาเกือบถึงปลายทางแล้ว ขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกท่านที่ติดตามมาตลอดครับผม
ขอบคุณกิฟต์จาก คุณอินทรายุธ, mimny, กุหลาบมอญ, มานีโอลา, Travel to the moon, เขมปัณณ์, Setakan, npuiy, Hermosa, Sky With Rainbow, รพิชา, แก้วกังไส, นวลน้ำผึ้ง, wor_lek, นารีจำศีล, เรียวรุ้ง, อมราวตี และคุณ XueYitan ครับ
สำหรับตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11621617/W11621617.html
และตอนล่าสุดครับ
บทที่ 45
ผีเสื้อหลากสันสีต่างพันธุ์บินร่อนกรายปีกแสนสวยอยู่กลางแสงแดดอุ่นในกลางฤดูร้อน ดอกไม้ในสวนหย่อมด้านหน้าอาคารรูปทรงสูงตระหง่าน ต่างบานชูช่อส่งกลิ่นหอมรวยระริน บรรดาเด็กๆจากโรงเรียนมัธยมและประถมกำลังทยอยกันลงมาจากรถโรงเรียน เพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์แมลงเปิดใหม่แห่งนี้ของมหาวิทยาลัยเพชรพยัต
เสียงคุยกันเจี๊ยวจ๊าวอย่างสนุกสนานเงียบลงเล็กน้อย เมื่อเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์สาวออกมาต้อนรับบรรดาเด็กๆด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และแจกภาพถ่ายสีประกอบแผ่นพับสวยงาม ก่อนจะพาขึ้นไปยังห้องจัดแสดงด้านบน
ดอกเตอร์ธุมชาล เชษฐภักดี ทอดสายผ่านหน้าต่างกระจกห้องทำงานบนตึกแล็บหลังเดิม ไปยังลานจอดรถหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ด้านล่าง ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางสนอกสนใจของเด็กๆเหล่านั้นระหว่างเดินผ่านเข้าไปภายในอาคาร
นี่เองคือคุณค่าและประโยชน์ที่แท้จริงของพวกมัน ร่างกายและโครงสร้างที่รอวันเสื่อมสลายไปโดยธรรมชาติ อาจจะถูกหยุดค้างเอาไว้เพียงชั่วเวลาใดเวลาหนึ่ง สำหรับเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ ไม่ใช่เพื่อสนองต่อความต้องการ ความโลภ ของคนเพียงบางกลุ่ม
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงปีเดียวสภาพตึกแสนทรุดโทรมจะแปรเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ใช่อาคารสูงตระหง่านสีเทาทึบทะมึนที่มองดูน่าเกรงขามเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว สีสันสดใสและการติดช่องกระจกประดับตามแนวอาคารที่ผ่านการปรับแต่งขึ้นมาใหม่ ทำให้ตึกปฏิบัติการแห่งนี้มีความโปร่งโล่งและทันสมัย รวมถึงภูมิทัศน์สวยงามของส่วนอุทยานพันธุ์ไม้หน้าอาคาร ก็ยิ่งทำให้ร่มรื่นชื่นตามากยิ่งขึ้น
มากจนทำให้เขาแทบจะลืมเลือนเหตุการณ์สยดสยองที่เกิดขึ้นเมื่อปีเศษที่ผ่านมาไปแล้ว เหตุการณ์ที่ทุกคนพยายามไม่เอ่ยถึงมันอีก
การเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของคันธรสและความตายของบุรโชตินั่นเอง
ไม่น่าเชื่อว่านักศึกษาปริญญาโทสาวผู้นั้นจะตัดสินใจกระโดดลงมาจากระเบียงดาดฟ้าตึก โดยการโหม่งส่วนศีรษะลงมากระแทกพื้นจนเสียชีวิต รปภ. ผู้เห็นเหตุการณ์ไม่สามารถอธิบายสิ่งใดๆได้เลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหญิงสาวแอบขึ้นไปยังพิพิธภัณฑ์ชั้นบนสุดตั้งแต่เมื่อใด
ผมตรวจดูตอนเข้าเวรช่วงแรกแล้ว ไม่พบว่าใครยังอยู่ในอาคารเลยครับ แสดงว่า คุณคันธรส แอบเข้ามาด้วยกุญแจที่ขโมยจากคนในตึกมา
โสภณ ยามผู้เผชิญเหตุการณ์ระทึกขวัญต่อหน้าต่อตาเพียงคนเดียวให้ปากคำได้เพียงแค่นั้น และจากการตรวจสอบ จากกล้องวงจรปิดและหลักฐานอื่นทางนิติเวช ก็ไม่พบร่องรอยผู้บุกรุกคนใดอีก คันธรสเป็นผู้บุกรุกเข้ามาเพียงคนเดียวเท่านั้น
พยานหลักฐานเดียวที่พอจะอธิบายสาเหตุการเข้ามาในครั้งนี้ได้ก็คือ เศษผีเสื้อในกระเป๋าคาดเอวของหญิงสาว ผีเสื้อสตาฟฟ์สีสวยจำนวนสองตัวที่แหลกยับ เมื่อร่างของหล่อนหล่นกระแทกลงมาและกดทับกล่องประจุซากผีเสื้อเหล่านั้นจนไม่เหลือชิ้นดี
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ มันคือผีเสื้อสายพันธุ์หายากที่คาเรนนำเข้ามาใช้จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง
หากข้อสรุปของการเสียชีวิตนั่นต่างหากที่ทำให้ตำรวจทำคดีถึงกับมืดแปดด้านไปหมด
จู่ๆหัวขโมยสาวที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ก็ตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรมตัวเอง ด้วยการกระโดดดิ่งมฤตยูลงมาเองจากดาดฟ้าตึก เหมือนมีแรงดลใจบางอย่าง??
เหมือนจะไม่มีเหตุผลใดๆในการอธิบายสาเหตุครั้งนี้เลยด้วยซ้ำ และคนที่สามารถบอกเหตุผลนี้ได้ ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น คือคันธรส ผู้เสียชีวิตไปแล้ว!
หากเรื่องสำคัญที่นอกเหนือไปจากนั้น และตามมาอีกเป็นระลอก จนทำให้ดอกเตอร์พงศ์พิทย์ต้องคอยแก้ปัญหาจนหัวแทบระเบิด ทั้งการเสียชีวิตอย่างลึกลับของนงลักษณ์ภายหลังลาออกอย่างไม่เป็นทางการเพียงไม่กี่วัน และเหมวดี ที่เสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน ภายหลังจากขึ้นมารับตำแหน่งแทนนงลักษณ์ จนเกิดเสียงร่ำลือว่าเป็นตำแหน่งอาถรรพ์ประจำมหาวิทยาลัยไปเสียแล้ว
นอกจากนี้ก็คือการหายตัวไปของว่าที่ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แมลงนั่นเอง
คาเรน โรมินสกี!
ที่สำคัญ ดอกเตอร์พงศ์พิทย์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโปรเฟสเซอร์สาวใหญ่ผู้นั้น ได้พาหญิงสาวนามกีฏยา มาสมัครทำงานที่ห้องแล็บพิพิธภัณฑ์แมลงตั้งแต่เมื่อใด มีเพียงธุมชาลและเกตุมาลาเพียงเท่านั้นที่รู้เรื่องและเคยเห็นหน้าค่าตาหญิงสาวลึกลับผู้นั้น น่าแปลกที่คนอื่นกลับดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องราวนี้เลยด้วยซ้ำ
แม้แต่กนกกาญจน์ นักวิทยาศาสตร์สาวที่ทำงานอยู่ชั้นถัดลงไปเองก็ยังไม่รู้เรื่องดังกล่าว และหญิงสาวก็ไม่พร้อมจะรับรู้ใดๆทั้งสิ้น กนกกาญจน์เกือบจะขอลาออกจากงานเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีการนิมนต์พระมาทำพิธีสวดและทำบุญคณะ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตึกแล็บใหม่อีกครั้ง และธุมชาลก็เอ่ยขอร้องให้หล่อนอยู่ทำงานต่อ
กนกกาญจน์จึงจำต้องรับปากอย่างจำใจไม่ใช่น้อย แต่เขาก็เห็นว่าท่าทีหวั่นกลัวนั้นค่อยคลายลงไปบ้าง
สำหรับส่วนของพิพิธภัณฑ์และห้องทำงานของคาเรน ถูกรื้อและปรับใหม่จนหมด แต่หลายสิ่งหลายอย่างรวมทั้งภาพบรรยากาศก็ยังฝังติดอยู่ในความทรงจำของหล่อนจดไม่อาจลบเลือน
ส่วนธุมชาลก็คิดว่าจะไม่พูดกับใครทั้งสิ้น เขารู้ดีว่าเรื่องราวเหลือเชื่อแบบนี้ ถ้ายิ่งถูกเอ่ยแพร่สะพัดออกไปก็จะยิ่งทำให้เกิดความคลางแคลงจนกลายเป็นความเรื่องเล่าซุบซิบที่รังแต่จะก่อให้เกิดความหวั่นกลัวขึ้นมา มากกว่าจะเป็นผลดีใดๆ ควรจะปล่อยให้เลือนหายไปเองจะดีกว่า
เช่นเดียวกับเกตุมาลา หญิงสาวก็ไม่เอ่ยปากอะไรเช่นเดียวกัน นอกจากจะรับรู้ในความรู้สึกส่วนลึกระหว่างกัน โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
น่าแปลก ภายหลังเหตุการณ์ในคืนนั้นผ่านพ้นไป ความรู้สึกที่เขามีต่อเกตุมาลาก็เหมือนกับถูกไขล็อคจากกุญแจปิดตายให้เปิดออกจากกัน เป็นความเข้าใจซึ่งกันและกัน นอกเหนือจากในด้านสวยงามที่สร้างความประทับใจอย่างที่เคยมี หล่อนได้เรียนรู้ด้านมืดของเขา เฉกเช่นเดียวกับที่เขาได้มองเห็นตัวตนแง่มุมด้านอื่นของหล่อน จนเกิดการยอมรับกันและผูกพันคุ้นเคยต่อกันอย่างแน่นแฟ้นมากขึ้นกว่าเดิม
แม้จะไม่อาจตอบได้ถึงความสัมพันธ์ที่จะยาวนาน ต่อเนื่องไปในทิศทางใด หรือแปรเปลี่ยนไปเช่นไรในอนาคต รับรู้แต่เพียงในปัจจุบัน ที่ต่างมีความรู้สึกดีๆให้กันอยู่เช่นนี้
นั่นก็คือความสุขแล้วในปัจจุบัน
ธุมชาลยังจำเหตุการณ์ระทึกขวัญในรุ่งอรุณของวันนั้นได้ชัดเจน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้...
********************
ในยามแสงระเรื่อของแสงอรุณระบายขอบฟ้าใกล้รุ่งที่เริ่มขับแสงเข้มจัดขึ้นทุกขณะ เขาเผลอตัวโอบร่างน้อยนั้นไว้แนบอกโดยสัญชาตญาณ สดับเสียงปืนก้องสะท้านไปทั้งผืนป่า คาดว่ากระสุนนัดมรณะของบุรโชติจะต้องทะลุผ่านเข้าสู่ร่างกายของเขาและเธอพร้อมกันในเวลาใดเวลาหนึ่งข้างหน้า
วินาทีนั้นเอง เพิ่งได้ตระหนักหัวใจของตนเองในฉับพลัน ปราศจากพันธนาการใดๆมาเหนี่ยวรั้งได้อีก จบสิ้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง หากอย่างน้อยที่สุด ก็ได้ปลดเปลื้องความรู้สึกแห่งผิดบาปนั้นจากใจ จนไม่เหลือสิ่งใดให้ติดค้าง ไม่เหลือภาพมัทนียาหรือมนตรามายาการใดจะตามมาหลอนหลอก ให้เป็นทัณฑ์แห่งมโนธรรมอันเจ็บปวดได้อีกแล้ว
เนิ่นนานแสนนาน เมื่อเสียงปืนยุติลง แต่กลับไม่รู้สึกรู้สมใดๆ ไม่เจ็บปวด ไม่ทรมาน ตราบจนเมื่อลืมตาขึ้นพร้อมกับหญิงสาว จึงมองเห็นร่างชายหนุ่มรูปงามผู้นั้น นอนแผ่หลาอยู่เบื้องหน้า ในสภาพที่แทบจะต้องเบือนหน้าหนี
บุรโชติ...
ยินดีด้วย ที่คุณทั้งสองคนได้เลือกเส้นทางที่เหมาะสมของตัวเองได้สำเร็จแล้ว
และยังไม่ทันจะทำสิ่งใดต่อไป น้ำเสียงกังวานของกีฏยา จิตรางคนางค์ก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏร่างในม่านสลัวแห่งอรุโณทัย เป็นการปรากฏกายครั้งสุดท้าย...
กีฏยา...
เขาลืมตาขึ้นพร้อมเกตุมาลา ภาพเบื้องหน้านอกเหนือจากร่างเลือนแสงในท่ามอุษากาล คือซากผีเสื้อนับร้อยพัน ก่ายกองเรียงรายกันเต็มไปทั่วทั้งพื้นดิน ราวกับถูกปูลาดด้วยกลีบปีกสีขาวพิสุทธิ์ของพวกมัน ให้ทอดวางเป็นผืนพรมแห่งชีวิตที่ดับสูญ
ไม่ใช่ไข่ผีเสื้อ หรือรังดักแด้ ที่กำลังก่อกำเนิดสรรพผีเสื้อสีเงินของพวกมันเหมือนภาพที่เกตุมาลาเห็นแต่แรกอีกต่อไป แต่มันคือสุสานผีเสื้อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับตัณหาและความต้องการของมนุษย์
ผีเสื้อสีขาวหิมะล้ำค่า จำนวนมหาศาลที่หลายคนต้องการเป็นเจ้าของนักหนา บัดนี้เหลือเพียงซากชีวิตก่ายกองอยู่บนพื้นอย่างน่าอนาถใจ
กีฏยาพยักหน้าช้าๆ เขาอ่านแววตาคู่นั้นออกแล้ว ไม่ใช่ความยินดี ความสุขสม ที่เห็นจุดจบของทุกคนที่เกิดขึ้น หากคือความเศร้าหมองและสลดสังเวช...
สิ่งที่มนุษย์พวกนั้นสร้างขึ้น ไม่ได้ย้อนกลับไปทำลายพวกเขาเพียงอย่างเดียว แต่มันคือการทำลายชีวิตของผีเสื้อพวกนั้นจนหมดสิ้น ชีวิตที่ผ่านวิวัฒนาการ ก่อร่างสร้างประโยชน์ให้แก่ธรรมชาติ และระบบนิเวศน์ โดยไม่เคยเบียดเบียนรุกรานต่อสรรพชีวิตอื่น ต้องมาสังเวยให้กับกิเลสของคนพวกนั้น นี่แหละคือหายนะอย่างแท้จริง มนุษย์ไม่ใช่ผู้สร้าง แต่คือผู้ทำลาย!
กีฏยา...
ดอกเตอร์หนุ่มเอ่ยได้เพียงแค่นั้น ทุกถ้อยคำเหมือนติดค้างอยู่ในลำคอจนมิอาจเอื้อนเอ่ย
กลีบปีกนับร้อยพัน กำลังกระพือขึ้นตามแรงลมพัด บางส่วนก็เลื่อนมาคลุมร่างไร้ชีวิตของบุรโชติ และซึมซับหยาดโลหิตของผู้ตาย จนทำให้แผงปีกเหล่านั้นกลายเป็นเลือด ริมฝีปากสีซีดเอ่ยขึ้นเชื่องช้าหากหนักแน่น
ฉันขอให้พวกคุณทิ้งเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่นี่ ไม่มีผีเสื้อหิมะ ไม่มีแม้แต่กีฏยาอีกต่อไป และหวังเป็นครั้งสุดท้าย ว่าเราคงจะไม่ได้พบกันอีก ลาก่อน
ร่างนั้นเริ่มเลือนสลายลงช้าๆ เมื่อแสงตะวันฉายผ่านละไอหมอกทอลอดม่านไม้ไพรพนาลงมาสู่ใต้เงาครึ้มของผาติ้ว เขาเห็นทุกองคาพยพของกีฏยา กลืนหายไปกับลำแสงสว่างเรืองรอง จนท้ายที่สุดก็คือดวงตางดงามที่สามารถแปรความรู้สึกได้อย่างหลากหลายคู่นั้น นี่คงเป็นสิ่งเดียวสำหรับธุมชาล เชษฐภักดี ที่มิอาจลบเลือน
ผมสัญญา กีฏยา...
ชายหนุ่มรำพึงเสียงแผ่วเบากับตนเอง และรู้ดีว่าร่างในอ้อมแขนของเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยประโยคเดียวกัน
*********************
สายฝนเริ่มซาลงจนหยุดสนิทพร้อมกับแสงเรื่อเรืองเริ่มจับขอบฟ้าลางเลือน ธุมชาลพาเกตุมาลาให้ย้อนกลับขึ้นไปด้านบน ใต้หุบผาแห่งนั้นมีแนวหินที่พอจะปีนไต่กลับขึ้นไปได้ แม้ว่าจะต้องอาศัยเวลาอยู่มากโข ในที่สุดเมื่อผ่านขึ้นมาถึงขอบหน้าผาได้สำเร็จ แสงสว่างเจิดจ้าของดวงตะวันยามเช้า ทำให้มองผ่านแนวป่าติ้วเลือดที่ขึ้นเป็นดงออกไป และที่สำคัญมีร่างของเรืองดาวนอนสลบไสลอยู่บนเนินผา
หลังจากเขย่ากายเรียกเด็กสาวอยู่สักระยะหนึ่ง เรืองดาวจึงฟื้นคืนสติขึ้นมา หล่อนโผเข้าหาธุมชาลอย่างดีใจสุดขีด
เรืองไม่กล้ากลับไปค่ะ ตอนตามอาจารย์ชาลออกมา ไม่ทันรู้สึกว่ามันมืดเหลือเกิน ไม่รู้ว่ากลับออกไปทางไหน ตั้งใจว่าจะรอให้เช้าเสียก่อน แล้วผีเสื้อพวกนั้นล่ะคะ?
นัยน์ตาเด็กสาวเปล่งประกายฉงนฉงายเมื่อเห็นเกตุมาลาอยู่พร้อมกันกับเขาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เรืองดาวเล่าว่าภาพสุดท้ายที่เห็น คือผีเสื้อสีขาวจำนวนมากมายบินกรูกันขึ้นมาจากชะง่อนผาและร่างของเขาก็หายลับไปจากสายตาท่ามกลางกลุ่มผีเสื้อเหล่านั้น เมื่อเริ่มขยับตัวได้ เรืองดาวจึงวิ่งตรงไปยังตำแหน่งที่สังเกตเห็นแต่แรก แต่ก็ไม่พบสิ่งใดทั้งสิ้น เรืองดาวไม่ได้บอกชายหนุ่มว่า ระหว่างค่ำคืนที่รอคอยให้แสงสว่างแห่งอรุณรุ่งมาเยือน หล่อนได้ขบคิดหลายสิ่งหลายอย่างไปพร้อมกัน จนผล็อยหลับไป และหนึ่งในเรื่องเหล่านั้นก็คือทิพย์มณี!
เรารีบกลับไปที่หมู่บ้านกันเถอะ ป่านนี้ทิพย์อาจจะกังวลถึงพวกเราแย่แล้ว
ชายหนุ่มออกความเห็นด้วยความเป็นห่วงนักศึกษาสาวอีกคนหนึ่งที่ติดตามมาด้วย ตอนนี้เขาพอจดจำเส้นทางนั้นได้บ้างแล้ว ดูเหมือนมันอยู่ไม่ห่างไกลเกินไปนัก หากในยามราตรีกาล กลับรู้สึกว่าเส้นทางนั้นช่างยาวไกลราวกับเดินทางเข้ามาหลายกิโลเมตร
หมู่บ้านผาติ้วที่ตั้งอยู่ขอบบึงพลาญเสือไฟ มองเห็นในระยะไกล แต่เมื่อไปถึงที่นั่น ก็พบร่างหมดสติของทิพย์มณีนอนกองอยู่บนพื้นชานเรือนที่พัก แต่กลับไม่มีใครอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นเลยสักคนเดียว หลังคามุงจากของแต่ละครัวเรือนไหวพะเยิบเมื่อแรงลมพัด และทำให้เห็นว่าภายในเรือนเหล่านั้น เต็มไปด้วยฝุ่นละออง หยากไย่ขึ้นเต็มไปหมดเหมือนปราศจากการดูแลจากเจ้าของ
แล้วแสงคำกับคูนลูกชายของเขาเล่า?
คำตอบมาถึงในเวลาต่อมานั่นเอง เมื่อกลิ่นบางอย่างระเหยผ่านออกมาจากเรือนด้านในสุด กลิ่นที่ไม่ได้สัมผัสมาก่อนหน้าเลยแม้แต่เมื่อคืนนี้ ธุมชาลเดินผ่านกระดานไม้ลั่นเอียดอาดเข้าไป ร่างๆหนึ่งนอนงอก่องอขิงอยู่บนเสื่อขาดที่มีผ้าห่มคลุมเอาไว้เพียงครึ่งตัว
เป็นศพที่กำลังขึ้นอืดและส่งกลิ่นเน่าเหม็นทันทีที่กระแสลมเปลี่ยนทิศทาง และพัดโชยเข้ามากระทบจมูกเต็มรัก!!
เขาจดจำสร้อยพระที่อีกฝ่ายห้อยลำคอเอาไว้ได้อย่างดี แน่นอนว่านี่คือศพของพ่อใหญ่แสงคำ ไม่ผิดตัว!!
มีอะไรหรือเปล่าคะ อาจารย์
เสียงร้องตะโกนเรียกของเกตุมาลาและเรืองดาวดังมาจากด้านหลังพอดี ชายหนุ่มรีบหันกลับออกไปแล้วรุนหลังหญิงสาวทั้งสองให้ก้าวลงไปจากเรือนพร้อมกัน ไม่ต้องการให้ต้องมาเห็นภาพอันน่าอนาถและพรั่นพรึงเช่นนี้อีกแล้ว
เมื่อความจริงเริ่มปรากฏ แท้จริง หมู่บ้านผาติ้วแห่งนี้คือหมู่บ้านร้าง ปราศจากชีวิตของทุกคนในหมู่บ้านมาตั้งแต่แรกแล้ว ชายหนุ่มหลับตาลง พยายามไม่ครุ่นคิดถึงเหตุผลและความเชื่อในวิทยาศาสตร์ของตนเองอีกต่อไป ตั้งแต่กีฏยา จนมาถึง แสงคำ... คูน และภาพชาวบ้านที่เข้ามาต้อนรับด้วยเสียงอึกทึกทักทายเมื่อคืนนี้ ภาพแสงตะเกียงเจ้าพายุส่องสว่างไสว หลายสิ่งเกินตรึกนึกฝันและคาดคะเนหยั่งถึง
ต่อไปนี้ ขอเพียงให้ความเลวร้ายทั้งหมดได้จบสิ้นลงได้เสียที...
ทิพย์มณีลืมตาขึ้น เมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา สิ่งแรกที่เด็กสาวทำ ก็คือกรีดเสียงร้องอย่างคนขวัญหนี โผเข้าหาอ้อมกอดของดอกเตอร์หนุ่ม
อาจารย์ขา มันน่ากลัว น่ากลัวเหลือเกิน ทิพย์กลัว...
เลิกทำตัวอ่อนแอเสียทีน่ะ ทิพย์ เธอโตแล้วนะ
แต่แล้ว กลับเป็นเสียงกร้าวด้วยอำนาจของเรืองดาวที่ดังแทรกขึ้นมาแทน ธุมชาลเพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กสาวผู้อ่อนปวกเปียกมีท่าทีเปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด ไม่ใช่การหลบสายตาอย่างขลาดกลัวเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่มีประกายของความแข็งกร้าวขึ้นมาแทน
ทิพย์...
นัยน์ตาทิพย์มณีเบิกกว้างขึ้น หล่อนอ้าปากเหมือนพยายามจะพูดอะไรออกไปสักคำ แต่ก็ไม่ทันเพื่อนสาว ที่ก้าวเข้ามาดึงตัวหล่อนให้ลุกขึ้นอย่างคนที่อยู่เหนือกว่า
จะมาอ้อยสร้อยอะไรกัน ไม่เห็นหรือว่า ทุกคนรอเธออยู่คนเดียวนะทิพย์ ตกลงจะไปด้วยกันหรือจะนอนอยู่ที่นี่อีกสักคืนล่ะ
แค่คำพูดประโยคเดียว ทิพย์มณีแทบจะสปริงตัวลุกขึ้นทันที หล่อนป้ายน้ำตาคลอคลองจนแห้งเหือดอย่างรวดเร็วแล้วรีบลนลานตามออกไป เป็นภาพที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน เหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมาทำให้เด็กสาวผู้ก๋ากั่นเก่งกล้าในกลุ่มเพื่อน กลายเป็นสาวน้อยขวัญอ่อนจน หงอกับเรืองดาวไปเสียแล้ว
ทิพย์มณีคนเก่งไม่กล้าแม้แต่จะตวาดหรือเถียงใส่เรืองดาวที่เดินนำหน้าขบวนไปอย่างคล่องแคล่ว เด็กสาวคนนั้นไม่แม้แต่จะหันมามองหล่อนที่ต้วมเตี้ยมตามมาอีกเลย
นี่ทิพย์มณีคนเดิมหายไปไหน? หล่อนก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน นอกจากรู้สึกว่า ก่อนจะสิ้นสติไปในคืนนั้น เฒ่าแสงคำหรือดวงวิญญาณชายชราผู้นั้น ได้ทำให้หล่อนมองเห็นตัวตนด้านอ่อนแอ หวั่นไหวหวาดกลัว ที่เร้นซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกนอกแข็งกระด้างได้ชัดเจน
การไม่เคยแคร์ความรู้สึกใคร การเหยียบย่ำความรู้สึกคนอื่นให้ด้อยค่ากว่าตัวเอง แท้จริงมันคือการกลบลบปมด้อยของความอ่อนแอภายในตัวตนอย่างหนึ่งนั่นเอง...
สุดท้ายแล้ว หล่อนก็ขี้ขลาดไม่ต่างกับเรืองดาว หรืออาจจะมากกว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบของความกล้า ที่ตัวเองไม่เคยมี
ความรู้สึกนั่นเองที่ทำให้เด็กสาวปากกล้า รู้สึกเหมือนตัวหล่อนเล็กจ้อยลงจนแทบไม่ต่างเศษธุลี... แทบหมดสิ้นความมั่นใจ
ตรงกันข้ามกับเรืองดาว...
เรืองดาวกำลังรู้สึกเริงร่าเบิกบาน โลกรอบตัวช่างน่าอภิรมย์เสียจริง นี่เองหรือคือการปลดปล่อย? ไม่ต้องอยู่ใต้อาณัติของทิพย์มณีอีกต่อไป การถูกขังให้อยู่กับตัวเองในคืนนั้นเองทำให้เด็กสาวได้ทบทวนความคิดขึ้นมาใหม่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ใช่! หล่อนกลัวสุดขีดเมื่อเห็นธุมชาลหลุดร่วงลงไปต่อหน้าต่อตา ท่ามกลางกลุ่มผีเสื้อสยองขวัญสีเหลือบเงินกระจ่างนับร้อยพันตัวเหล่านั้น กลัวจนอยากจะวิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดแต่ก็ไม่อาจทำได้ ร่างทั้งร่างถูกผนึกให้แข็งนิ่งค้างเอาไว้เหมือนหุ่นปั้น ไม่อาจแม้แต่จะเปล่งเสียงหวีดร้องออกมา
แต่ในพันธนาการของตัวตนที่ถูกคุมขังเอาไว้นั่นเอง ทำให้เรืองดาวเรียนรู้ที่จะต่อสู้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว!
สู้กับความหวาดกลัวที่จู่โจมจิตใจ สู้เพื่อเพื่อไม่ให้จิตใจเตลิดจนก้าวเข้าสู่ขอบเขตของความวิปลาส รู้ว่าถึงที่สุดแล้วของความกลัวสามารถเปลี่ยนให้คนเรากลายเป็นอีกคนหนึ่งขึ้นมาได้ เพราะได้เผชิญหน้ากับสภาวะวิกฤตนั้นมาแล้ว และได้เลือกที่จะสู้หรือยอมพ่ายแพ้...
ซึ่งหล่อนเลือกหนทางแรก
แล้วเหตุไฉน เรืองดาวคนนี้จึงจะต้องยอมเป็นเบี้ยล่างให้กับทิพย์มณีอีกต่อไปด้วยเล่า แท้จริง หล่อนก็มีธาตุของความเข้มแข็ง การยอมอ่อนให้อีกฝ่าย รังแต่จะสร้างความเจ็บแค้น เก็บกดเอาไว้ภายใน ทั้งที่เป็นความอึดอัดคับข้องใจมาโดยตลอด
เรืองดาวคนนี้ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่ยอมให้ความอ่อนแอมีอำนาจเหนือกว่าเท่านั้น
และมันทำให้หล่อนหมดคุณค่าของตัวเองลงไปเรื่อยๆ หมดเวลาแล้วที่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างอย่างโง่เขลาเช่นนั้นอีก!
ร่างของธุมชาลหล่นร่วงลับสายตาลงไปแล้ว และผีเสื้อนรกกลุ่มนั้นก็บินหายลับลงไปด้วยเช่นกัน เมื่อค่อยขยับทุกสรรพางค์กายได้สำเร็จ มันเป็นการตระหนักรู้ในฉับพลัน ในชั่วพริบตา ทำให้เด็กสาวผู้อ่อนปวกเปียกรู้ดีว่าจะไม่ยอมให้ตนเองต้องอยู่ในสภาพเช่นนั้นอีกต่อไป
เรืองดาวคนนี้จะต้องเข้มแข็ง การอ่อนแอและถอยหนีจากปัญหาไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา แต่มันคือการจำนน ในความอ่อนแอปวกเปียก นาทีนี้ เพิ่งได้ประจักษ์ชัดถึงเนื้อในที่แข็งแกร่ง อย่างที่ไม่เคยตระหนักรู้มาก่อน
พอกันที กับทิพย์มณีผู้น่าสมเพช!
เด็กสาวเดินนำหน้าขึ้นไปสู่ถนนลูกรังด้านบน ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอดีต หัวหน้ากลุ่มของตนเองอีกเลย...
เด็กสาวคนนั้นยังอ่อนแอเกินไปที่จะมาเป็นผู้นำใครๆได้ หล่อนไม่ใช่ลูกไล่ของทิพย์มณีอีกต่อไปแล้ว!
ในขณะที่ธุมชาลและเกตุมาลา เดินช้าๆตามเรืองดาวมาด้านหลัง ดอกเตอร์หนุ่มกำลังคิดถึงสิ่งที่จะต้องรับมือกับเหตุการณ์ต่อไปเบื้องหน้า แม้ว่าทุกอย่างควรจะจบสิ้นลงหมดแล้ว ตามที่เขาได้รับปากกับกีฏยาเอาไว้
การติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสำรวจที่บริเวณหมู่บ้านร้างแห่งนี้ เพื่อแจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงการติดตามมาช่วยเหลือเกตุมาลาโดยพลการ เขาคิดว่าน่าจะพอหาเหตุผลมาอธิบายไปได้โดยไม่โยงไปถึงเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ผ่านมาในชีวิต เขาคิดว่าทุกอย่างน่าจะจบลงในไม่ช้า
แต่ดอกเตอร์หนุ่มหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เพียรคาดหวังเอาไว้ยังไม่จบ!
เมื่อพบกับกลุ่มตำรวจท้องที่ ผู้กองภากร และหมวดเขมชาติ กำลังรอคอยอยู่แล้วที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน...
*************************
พบกับบทอวสาน และปัจฉิมลิขิต แห่งกีฏมนตรา ในสัปดาห์หน้าครับ หมอกมุงเมือง
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ม.ค. 55 11:42:17
|
|
|
|