...
...
...
ผมรู้สึกหลงทางอย่างไรชอบกล...
เส้นทางที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคดดูจะสนิทชิดเชื้อกันดีกับความมืดมิดของราตรีกาล ผมกลายเป็นคนแปลกหน้าบนถนนสายเปลี่ยวที่ท้องฟ้าอากาศหลอมรวมเข้ากับความมืด ลมหนาวเย็นเป็นผ้าห่มผืนใหญ่ห่อหุ้มไปทั่วอาณาบริเวณ ไฟหน้ารถยังเปิดสว่างและรถยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ผมกลับรู้สึกตัวชาดิกและเริ่มงงว่าตัวเองอยู่ที่ไหน นี่ผมยังนั่งขับรถอยู่ใช่ไหม ไม่ใช่ถูกมัดตราสังข์แล้วนอนอยู่ในโลงแคบๆ
เพ้อเจ้อแล้วไอ้บ้า
ผมบอกตัวเองแล้วเร่งความเร็วขึ้น พยายามขับไปให้พ้นความอึดอัดที่จู่โจมเข้ามาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ผมปรับไฟหน้ารถเป็นไฟสูงเมื่อแน่ใจว่าคงจะยังไม่มีรถสวนทางมาในเวลาอันใกล้ แสงไฟสาดส่องให้เห็นเงาของขุนเขาที่อยู่ไกลลิบและป้ายบอกระยะทางผ่านแวบเข้ามาในกรอบสายตา
.......... 110 กิโลเมตร
อีกไม่นานร่างที่นอนอยู่ในโลงข้างหลังรถผมกำลังจะได้กลับถึงบ้าน นี่ไม่รู้ว่า เธออยากกลับไปไหม ใครจะออกมารับ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือคนข้างบ้านของเธอเป็นคนแบบไหนกันหนอ
และ... ผมควรจะบอกพวกเขาอย่างไรดีนะ
* ..,..,.. * * ..,..,.. * * ..,..,.. * * ..,..,.. *
...
...
...
3 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น...
เสียงเรียกของโทรศัพท์ดังขึ้นเวลาในเวลาหัวค่ำ
ยังมีแรงขับรถทางไกลอยู่ไหมจ้อน
ผมแทบไม่เคยบันทึกเบอร์ใครไว้ในโทรศัพท์จึงได้แต่ส่งเสียงในลำคออ้ำอึ้ง
เฮ่ย... เมื่อไหร่แกจะรู้จักเมมเบอร์สักทีวะ นี่ณเดชน์โทรมา รู้จักปะ ณเดชน์ๆ
ครับ จำได้แล้วครับน้าเดช
ผมตอบยิ้มๆ ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีมาตามสาย ไม่ใช่ณเดชน์ คูกิมิยะ ที่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้กรี๊ดกร๊าดกัน แต่เป็น น้าเดช ญาติห่างๆผู้มีอุปการคุณที่ผมไม่น่าลืมเสียงของแกเลย น้าเดชมักจะช่วยเหลือเกื้อกูลและเจียดงานให้ผมเป็นครั้งคราว นอกเหนือไปจากอาชีพขับรถสองแถวที่ผมทำประจำอยู่ ก็มีงานรับจ้างจิปาถะที่น้าเดชให้มานี่แหละ เป็นรายได้เสริมให้มีพอกินพอใช้อยู่ทุกวันนี้
น้าเดชจะให้ผมขับรถไปไหนหรือเปล่าครับ
ผมย้อนกลับไปถามต้นเรื่องเมื่อนึกขึ้นได้
อือ พอจะขนศพไปส่งบ้านเขาที่ต่างจังหวัดได้ไหม ไปคืนนี้ได้ เขาให้แปดพัน
อ้าว ทำไมไม่เอารถโรงบาลไปส่งล่ะครับ
ผมถามกลับอย่างเกรงใจ น้าเดชทำหน้าที่เป็นเวรเปลของโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง ด้วยความเก๋าเพราะอยู่มานานและมีฝีมือหลายด้าน ในเวลาค่ำที่ผู้ป่วยซาลง น้าเดชมีหน้าที่เสริมคือทำศพและเคลื่อนย้ายศพเข้าและออกจากห้องดับจิตด้วย
ก็ รถโรงบาลไม่ว่างเลย ห้องเย็นก็ไม่อยากเก็บศพไว้นาน
น้าเดชส่งเสียงตอบตะกุกตะกัก ผมคิดว่าเพราะสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้อง
ญาติก็ไม่มารับเองหรือครับ
อือ... โรงพยาบาลติดต่อญาติแล้ว เขาบอกไม่มารับแต่ถ้าโรงบาลขนไปส่งให้ เท่าไรก็ยอมจ่าย
อ้อ... คงบ้านคนมีกะตังนะครับ โรงบาลก็น่าจะดีใจ ปล่อยรถออกไปส่งก็ได้รายได้เพิ่ม
เออ... แต่มันไม่มีคนยอมไปส่ง เอ่อ เพราะเขาไม่ว่างกันน่ะซีวะ...เอาๆ มารับงานหน่อยเถอะ แปดพันเชียวนา น้าได้ยินว่าช่วงนี้เอ็งต้องหาเงินไว้เยอะๆไม่ใช่เรอะ
น้าเดชทั้งบ่น ทั้งหลอกล่อด้วยค่าจ้างเป็นเม็ดเงินงามๆ ผมรับคำสั่งอีกคำสองคำแล้วตอบรับ เมื่อเหลียวมองภรรยาท้องแก่ที่กำลังนั่งรีดผ้าอยู่ไม่ห่างพยักพเยิดให้เป็นสัญญาณอนุญาต
ไปเถอะพี่ ไม่ต้องห่วง ฉันยังไม่ปวดท้องคลอดวันนี้หรอก
ไม่พูดเปล่า ยังหันไปหยิบกุญแจรถมาให้ ผมเอื้อมมือไปรับและลูบหัวเธอเบาๆแล้วค่อยๆก้มลงจูบที่ท้องกลมมน
งั้นเดี๋ยวพี่มานะ แค่....... ไปกลับคงไม่เกินแปดชั่วโมงหรอก
จ้ะ
ผมออกจากบ้านมาด้วยอารมณ์ที่แช่มชื่นเบิกบาน ไม่ได้ติดใจกับคำบ่นของน้าเดชที่ว่าไม่มีใครยอมไปส่ง คิดแต่เพียงว่า มันคือการขนศพไปส่งในเวลามืดและหนทางไกลจึงไม่มีใครอยากรับ แต่หากได้เงินก้อนนี้มา ผมน่าจะเอามาซื้อเสื้อผ้า ผ้าห่ม และที่นอนเตรียมไว้ให้ไอ้ตัวเล็กมันได้อีกหลายผืน
และแน่นอน ผมต้องรีบไปรีบกลับ เพราะเมียท้องแก่เต็มทีแล้ว...
* ..,..,.. * * ..,..,.. * * ..,..,.. * * ..,..,.. *
เอ้า รถรับศพมาแล้ว
ทันทีที่ผมจอดรถตรงหน้าอาคารที่ชั้นล่างเป็นห้องเก็บศพ เจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณนั้นก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างทันตาเห็น ผมมองหาน้าเดชแต่ไม่เจอ ที่พอจะรู้จักก็เจ้าหน้าที่เปลอีกคนหนึ่งซึ่งยิ้มเผล่เดินมาหา
ไงจ้อน สบายดีไหม เมียคลอดหรือยังเรา
ยังครับพี่ หมอบอกประมาณอาทิตย์หน้า แต่ก็ไม่แน่ว่าจะปวดท้องคลอดก่อนกำหนดหรือเปล่า
เออ ดีๆ มาทางนี้สิมา เดี๋ยวเฮียช่วยยกโลงขึ้นรถให้
ครับ เฮียจุ๊น
โลงศพที่เฮียจุ๊นบอกอยู่ด้านใน เราต้องเดินเลาะซอกตึกเข้าไปยังชั้นใต้ดินอีกชั้นหนึ่งแล้วค่อยเข็นโลงศพขึ้นทางลาดออกมาใส่รถ ระหว่างทางเฮียจุ๊นมองหน้าผมอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะถอนใจแล้วออกปาก
น้าเดชไม่ได้บอกอะไรเลยสินะ
บอกครับ บอกที่อยู่ที่จะให้ไปส่ง
เฮียจุ๊นถาม ผมก็ตอบไปตามซื่อ
ไม่ใช่ หมายถึงรายละเอียดอื่นๆสิ
เฮียจุ๊นทำเสียงเครียดขึ้น
เอ่อ... ไม่ครับ
เป็นศพผู้หญิง ตายทั้งกลมน่ะ เฮียเป็นคนฉีดฟอร์มาลีนเอง... เอ็งมาดูสิ
เฮียจุ๊นเป็นคนโผงผางพี่ชายคนนี้ทำอะไรไม่เคยปรึกษา พอพาผมมาถึงหน้าโลงก็เปิดให้ดูร่างของหญิงสาวที่นอนลืมตาโพลงอยู่ในโลงด้วยใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ผมตกใจแทบผงะหงาย หันขวับไปถามพี่ชายอย่างขวัญเสีย
เฮีย ทำผมตกใจทำไมเนี่ย!
ชั่วแวบนั้น ผมเห็นเฮียจุ๊นทำหน้ารู้สึกผิดและยิ้มแหยๆ
เออ เฮียขอโทษ เฮียแค่อยากพิสูจน์ดูว่าเอ็งขวัญกล้าพอหรือเปล่า ถ้าไม่กล้าพอ ก็อย่าไปเลย ทิ้งศพไว้ที่นี่แหละ
อ่าว เฮีย ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ
เอ็งดูนังหนูนี่ดีๆสิ
เฮียจุ๊นยังยืนอยู่เป็นเพื่อนผม ไม่หนีไปไหน แกยืนอยู่นิ่งๆให้กำลังใจในเรื่องไม่เข้าท่า ผมควรจะปฏิเสธงานนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่แรงดึงดูดอะไรบางอย่างก็ชักจูงให้ผมชะโงกลงไปมองใบหน้าของหญิงสาวในโลงใหม่
ข้างในนั้นคือใบหน้าของหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่กำลังลืมตาโพลงและมีคราบน้ำตารินไหลจากหางตาลงมาจรดไรผม ผมเพ่งมองใบหน้านั้นแล้วรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ขณะที่กำลังพยายามทบทวนว่าเคยเจอกันที่ไหน เสียงเฮียจุ๊นก็ลอยมาเบาๆ
เขาตายตาไม่หลับน่ะ เหมือนจะมีเรื่องคาใจ เห็นคราบน้ำตาตรงหางตานั่นไหม นั่นไหลตอนตายไปแล้ว ทะลักออกมาระหว่างฉีดฟอร์มาลีน ไอ้หยุนเด็กใหม่มาดูอยู่ข้างๆ มันตกใจขนหัวลุกตั้ง ไปเที่ยวโวยวายว่าศพร้องไห้ เลยไม่มีใครกล้ามาขนย้ายศพ
ผมฟังแล้วถอนใจบ้าง
แล้วเฮียช่วยปิดตาศพไม่ได้เหรอครับ
ปิดได้ แต่ทิ้งไว้สักพัก ก็ลืมขึ้นมาอีก เอ็งว่าเฮี้ยนไหมล่ะ
เฮียจุ๊นถามอย่างหยั่งเชิง
ไม่เฮี้ยนหรอกเฮีย คงเป็นกล้ามเนื้อกระตุกหรืออะไรสักอย่าง ผมเคยช่วยงานสัปเหร่อมา พอจะชินกับเรื่องพวกนี้อยู่
เออ ค่อยยังชั่ว ที่เอ็งไม่ขวัญอ่อน งั้นช่วยเฮียผนึกฝาโลงก่อน จะได้ขนออกไปข้างนอก
เอ่อ...เดี๋ยวนะเฮีย
ผมเจอผ้าพันแผลที่พอหาได้ใกล้ๆโลง พยายามฉีกส่วนที่ขาวสะอาดที่สุดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เอาไปปิดตาศพไว้
ทำอะไรวะจ้อน
ผมไม่ได้กลัวหรอก แต่สงสารอยู่เหมือนกัน
และที่สำคัญกว่านั้น ผมนึกออกแล้วล่ะ ว่าพอจะรู้จักกับผู้หญิงที่นอนอยู่ในโลงคนนี้...
* ..,..,.. * * ..,..,.. * * ..,..,.. * * ..,..,.. *