Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วิญญาณ...ความผูกพัน : ตอน ผมมาตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง (๑) ติดต่อทีมงาน

วิญญาณ...ความผูกพัน : ตอน ผมมาตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง (๑)



                            ...ผมมาตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งที่จริงนี้เราพบกันเพียงไม่นาน เกือบสัปดาห์
                           มันเป็นคืนฟ้าฝนโปรยกระหน่ำ ที่ข้างทางพบใครยืนอยู่...



“จ่าถม ฟังเพลงอะไรน่ะ เปลี่ยนคลื่นเหอะ ผมขอร้อง”

ร้อยเวรหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถ้วยกาแฟร้อนหอมกรุ่น ได้ยินเนื้อเพลงเข้าก็สีหน้าไม่ค่อยดี ทว่าจ่าถมกับหัวเราะหึๆ

“ทำไมล่ะหมวด กลัวหรือไง เพิ่งสามโมงเย็นเองนะ”

“คืนนี้ผมต้องขับรถกลับบ้านต่างจังหวัดคนเดียวนะ ไม่เอาล่ะ เปลี่ยนเถอะ”

ร้อยเวรหนุ่มบอกพลางวางถ้วยกาแฟลง ก่อนเดินไปที่วิทยุ แล้วหยิบรีโมทขึ้นมากดหาคลื่นใหม่ แต่ยังไม่ทันได้ทำ จ่าถมก็พุ่งเข้ามาแย่งคืนไปเสียก่อน ตำรวจอีกสองสามนาย เห็นเข้าก็นึกสนุกอยากแกล้งร้อยเวรขึ้นมา จึงช่วยกันกับจ่าถมไม่ให้เขาแย่งรีโมทวิทยุไปได้ ในที่สุดก็กลายเป็นการเล่นลิงชิงบอล (รีโมท) อยู่ตรงนั้นเอง และคงจะเล่นกันไปอีกนาน ถ้าประตูห้องสารวัตรจะไม่เปิดผางออกมาขัดจังหวะ


“เล่นอะไรกันน่ะ เสียงดังไปถึงข้างในโน่น”

การละเล่นหยุดลงทันที แต่ละคนทำหน้ายิ้มปุเลี่ยนๆ เพราะไม่คิดว่าจะเจอแจ๊กพอตก่อนเลิกงานอย่างนี้ ทีปณัฐหน้าเคร่งมองหน้าลูกน้องทีละนายอย่างไม่ชอบใจ สายตาดุๆ นั้นหยุดนิ่งอยู่ที่จ่าถม ซึ่งอาวุโสกว่าใครเพื่อน

“จ่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แทนที่จะทำตัวเป็นแบบอย่าง กลับลงมาเล่นเสียเอง นี่ถ้าประชาชนมาติดต่องานเห็นเข้าจะว่ายังไง จะไม่คิดว่าตำรวจที่ทำตัวอย่างนี้จะเป็นที่พึ่งให้กับพวกเขาได้งั้นหรือ”

“ผมขอโทษครับสารวัตร ผมแค่อยากแกล้งหมวดดินเท่านั้น ส่วนสองคนนี่นึกสนุกเลยมาร่วมวง กะว่าเพลงจบแล้วก็จะเลิกเล่นน่ะครับ”

“เพลงอะไร” สารวัตรหนุ่มขมวดคิ้ว

“เพลงนี้ไงครับ ท่อนสุดท้ายมาพอดีเชียว”

                                      ...ใครกัน ห้องสุดท้าย หรือคนก่อนนั้น
                                      ที่เธอหายไป รถเธอชนที่โค้งต้นไทร หรือใครที่คุณถาม
                                     ผมมาตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง...เธออยู่ไหน”



ทีปณัฐฟังจบก็หันมาทางร้อยตรีเอกบดินทร์ สีหน้าหมวดหนุ่มไม่สู้จะดีนัก ในที่สุดตนเองก็ต้องฟังตอนจบของเพลงจนได้ ยิ่งเห็นนายมองจ้องก็ยิ่งหน้าเสีย

“แค่เพลง ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่”

“วันนี้ผมกลับบ้านต่างจังหวัดครับ ออกจากนี้กว่าจะถึงก็ราวๆ สามทุ่ม แล้วระหว่างทางมันมีโค้งต้นไทรแบบในเพลงนี่อยู่”

“กลัว ว่างั้นเถอะ”

“ครับ ถ้าไม่คิดก็แล้วไป แต่มาได้ยินแบบนี้มันก็อดคิดไม่ได้ อีกอย่าง ที่ตรงนั้นก็เฮี้ยนเอาเรื่อง”

สายตาของสารวัตรหนุ่มอ่อนลง เขาเอื้อมมือมาตบบ่าผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเข้าใจ ลำพังต้นไทรใหญ่ยืนต้นทะมึนอยู่ข้างทางก็น่ากลัวด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ตามโค้งถนนยิ่งไม่ต้องพูดถึง

“อย่าพยายามคิดถึงมัน ผมอนุญาตให้คุณกลับก่อนเวลาก็แล้วกันวันนี้”

ร้อยตรีเอกบดินทร์ยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นตะเบ๊ะนายอย่างดีใจ

“ขอบคุณครับสารวัตร งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ไปทางด้านหลังสถานีตำรวจอย่างเริงร่า ได้นายที่เข้าใจลูกน้องแบบนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ

“อ้าว!”

เสียงจ่าถมกับพลพรรคอีกสองนายร้องขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกันที่หมวดหนุ่มผละไป ทำให้ทีปณัฐตวัดสายตาไปมองทันที

“อ้าวอะไรกัน พวกจ่าเริ่มเรื่องเองนะ ถนนสายนั้นไม่เคยผ่านไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง”

“แปลว่าสารวัตรเคย”

ใบหน้าของผู้บังคับบัญชาขรึมลงอีกครั้ง เขาไม่ตอบคำของจ่าถม กลับเดินเข้าห้องทำงานไปเสียดื้อๆ จะให้เขาบอกได้อย่างไรว่า ยิ่งกว่าเคยผ่าน และเนื้อเพลง “ห้องสุดท้าย” ที่เพิ่งจบไปนั้นก็มีส่วนคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ชิดของเขาเมื่อหลายปีก่อนเสียด้วย ความทรงจำที่เข้าใจว่าเคยถูกปิดตาย มาถึงตอนนี้กลับผุดพรายขึ้นอย่างชัดเจน


พยับฝนที่เริ่มตั้งเค้ามืดครึ้มทำให้คนที่กำลังขับรถอยู่เริ่มวิตกกังวล เพราะสองข้างทางเป็นแนวภูเขาชัน และถนนสายนี้ก็ตัดผ่ากลางหุบเขาเสียด้วย ถ้าฝนตกหนักขึ้นมาก็ออกจะเสี่ยงกับดินสไลด์อยู่ไม่น้อย อยากจะเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นกว่านี้ก็จนใจ เพราะถนนที่มีลักษณะเป็นโค้งหักศอกชนิดเก้าสิบองศา และมีมุมอับหลายที่ ถ้าไม่ระวังให้ดีก็มีสิทธิประสานงากับรถที่แล่นสวนมาอีกเลนหนึ่ง ที่ร้ายไปกว่านั้นบางช่วงบางตอนยังเป็นหุบเหวชัน ชนิดที่ถ้าพลาดขึ้นมาก็อย่าหวังว่าจะรอด นอกจากจะลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในหุบข้างล่างโน่น

“ฝนจ๋า อย่าเพิ่งตกตอนนี้เลยนะ ขอให้ผ่านเส้นทางสายวิบากนี่ไปก่อนเถอะ”

คำภาวนาของเขาไม่เป็นผล เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาบนกระจกหน้ารถ ระเด่นถอนใจเฮือกอย่างเซ็งๆ มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเขาล่ะนี่ ให้ตายเถอะ ตอนออกจากบ้านแดดยังออกแจ๋ กลางฤดูหนาวแบบนี้ใครจะคิดว่าดันมีฝนหลงฤดูเกิดขึ้น ไม่เรียกว่าซวยแล้วจะให้เขาเรียกว่าอะไรได้อีก  

ฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นทุกที ที่ปัดน้ำฝนสะบัดไปมาในระดับสูงสุด ถึงอย่างนั้นก็แทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้าอยู่ดี ในที่สุด หลังจากที่ระเด่นฝืนขับรถ หรือที่ถูกจะต้องบอกว่าคลานมาได้ระยะหนึ่งก็ต้องยอมแพ้ เขาตบไฟเลี้ยวแล้วหักรถหลบลงข้างทาง รอเวลาให้ฝนซาค่อยออกเดินทางต่อ นาฬิกาดิจิตอลในรถบอกเวลาสี่โมงเย็นพอดี ระเด่นเห็นแล้วถึงกับยกมือขึ้นขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ อย่างขัดใจ  

“กรรม อีกแค่สองชั่วโมงก็ถึงเวลานัด ขืนไปช้ายัยปายเล่นงานแน่ เอาไงดีว้า”

มีโทรศัพท์มือถือก็เหมือนไม่มี เพราะอยู่ในหุบอย่างนี้ ต่อให้เป็นเครือข่ายที่มีสัญญาณทะลุทะลวงดีแค่ไหน ก็เจ๊งบ๊งเหมือนกันหมด ระเด่นมองผ่านม่านน้ำฝนออกไปภายนอก นานครั้งกว่ารถจะวิ่งผ่านมาสักคัน ก็คงจอดอยู่ข้างทางเหมือนเขากระมัง ใครๆ ก็ไม่กล้าเสี่ยงทั้งนั้น เอาสิ ถ้าปารวีไร้เหตุผลไม่ยอมฟังกันอีกล่ะก็ เห็นทีต้องโบกมือลาอย่างถาวรเสียที


หนึ่งชั่วโมงต่อมา ฝนที่กระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็ค่อยซาเม็ดลงจนพอมองเห็นทาง ระเด่นตบไฟเลี้ยวแล้วเคลื่อนรถขึ้นจากขอบทางสู่พื้นถนนอีกครั้ง พื้นถนนฉ่ำน้ำและเส้นทางลงเขาทำให้เขาต้องรักษาระดับความเร็วไว้ที่เกียร์สาม ถึงอย่างนั้นก็ยังน่ากลัวจะเกิดอันตรายอยู่ดี หลายครั้งที่รถทำท่าจะแล่นไถลเข้าหาแผงกั้นจนต้องเหยียบเบรกตัวโก่ง ในที่สุดเลยต้องแตะเบรกเป็นระยะเพื่อชะลอความเร็วลง พอพ้นมาได้ระเด่นก็ค่อยหายใจทั่วท้อง


เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนเบาะข้างๆ เริ่มสั่นพร้อมกับแสงไฟที่วาบขึ้น แสดงว่ามีข้อความเข้า ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบมาถือไว้ ทางข้างหน้าเป็นเส้นตรงปลอดภัยมากพอที่เขาจะกดอ่านข้อความได้

“หมายเลข 06572XXXX โทรหาคุณเป็นจำนวน 150 ครั้ง”

แม่เจ้า นี่คุณเธอจะสร้างสถิติกินเนสส์บุ๊คทำมิสคอลล์ให้มากที่สุดในโลกหรืออย่างไร ระเด่นกดข้อความออกแล้วกดเบอร์หนึ่งโดยไม่มองหน้าจอ พอปลายสายรับแล้ว เขารีบกรอกเสียงลงไปทันที

“ไอ้ณัฐ ว่างมั้ย”

“ว่าง มีอะไรวะ โทรมาค่ำขนาดนี้”

“แกทายซิ วันนี้ยัยปายทำอะไรมั่ง”

“กระโดดหอมแก้มที่แกไปง้อเขาถึงที่บ้านมั้ง”

“เหอะ คงมีหรอก ฉันยังไปไม่ถึงบ้านยัยนั่นเลย”

“อ้าว ไหนว่านัดจะไปดินเนอร์ไถ่โทษตอนหกโมง นี่มันจะทุ่มแล้วนะเว้ย”

“ติดฝนหลงฤดูกลางทางน่ะสิ แม่เจ้าประคุณเลยโทรหาฉัน คราวนี้สถิติใหม่ว่ะ 150 ครั้งในหนึ่งชั่วโมง”

“ฮ้า!”

“ไม่ฮ้าไม่เฮ้อล่ะ เสียดายไม่ได้เอากล้องติดมาด้วย ไม่งั้นจะถ่ายรูปให้เจ้าหล่อนดูเป็นหลักฐาน”

เสียงสัญญาณเรียกซ้อนแทรกขึ้นมา ระเด่นมองดูหน้าจอก็เห็นชื่อปารวี จึงรีบบอกปลายสาย

“เฮ้ยๆ แค่นี้ก่อนนะเว้ย พูดถึงไก่ ไก่ก็มาซะงั้น”

ว่าแล้วก็รีบสลับสายอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอให้ทีปณัฐตอบรับหรือปฏิเสธด้วยซ้ำ

“ว่าไงจ๊ะ ปาย”

“ไม่ว่าไงทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องมาให้เห็นหน้านะ ไอ้คนหลอกลวง เราเลิกกันวันนี้แหละ”

สวรรค์โปรด นี่เขาหูเฝื่อนไปหรือเปล่า ปารวีบอกเลิกเขา จะหาอะไรดีไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องข่มความดีใจด้วยการดัดเสียงเศร้าๆ

“ปาย ฟังเด่นก่อนสิ เด่นติดฝนกลางทางเลยมาช้า ไม่ตั้งใจผิดนัดจริงๆ นะ”

“โกหกอะไรกันอีกล่ะ ฝนเฝินอะไรไหนมี บ้านฉันแดดออกสว่างไสว ฉันให้โอกาสเธอมาหลายครั้งแล้ว พอกันที แค่นี้นะเด่น”

วู้ปี้! สุขใดไหนปาน ปารวีบอกเลิกเขาจริงๆ ตั้งแต่วันนี้เขาเป็นอิสระ ไม่ต้องตามง้อเจ้าหล่อนทั้งที่ตัวผิดและไม่ผิดอีกแล้ว  ระเด่นรีบโทรหาทีปณัฐอีกรอบเพื่อบอกข่าวดีนี้ และตบท้ายว่า

“ไหนๆ ก็มาแล้ว ฉันขอเที่ยวให้เปรมเลยว่ะ ไม่แน่ ฉันอาจจะเจอสาวๆ น่ารักๆ คนใหม่ก็ได้”

“ไม่สลดเลยนะแก”

“สลดทำมั้ย ฝันที่เป็นจริงเลยเนี่ย แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวหาที่พักได้ฉันจะโทรไปหาใหม่”


ถนนชานเมืองสายนั้นดูว่างไปถนัดตา อาจเป็นเพราะแถบนี้ฝนเพิ่งหยุดตกไปก็ได้ เพราะยังเห็นรอยน้ำชัดเจนบนขอบทาง  ผู้คนแถวนี้เลยสมัตรใจที่จะอยู่แต่ในบ้านแทน ระเด่นเหลือบสายตามองดูนาฬิกาดิจิตอลในรถอีกครั้ง สองทุ่ม นี่เขาช้าถึงขนาดนี้เลยหรือ แต่ก็ดี เขาจะได้ขับรถสบายๆ ไม่ต้องเร่งรีบเหมือนตอนที่ออกมา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นอะไรบางอย่างตะคุ่มอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ห่างออกไปราวห้าสิบเมตร

ระเด่นผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นชัดว่าเป็นคน และกำลังโบกมือเรียกรถของตนคล้ายจะขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มยังไม่จอดรถในทันทีเพราะเกรงว่าจะเป็นมิจฉาชีพดักปล้น แต่เมื่อมองซ้ายมองขวาดีแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอยู่แถวนั้นอีก เขามองนาฬิกาอีกครั้ง หัวค่ำขนาดนี้คงไม่ใช่ผีแน่ เพราะจากที่รู้มา ผีไม่ออกมาเวลาแบบนี้ ระเด่นจึงตัดสินใจจอดรถพร้อมกับเปิดกระจกรถลงครึ่งหนึ่ง แต่ยังไม่ยอมปลดเซ็นทรัลล็อคและดับเครื่องยนต์เสียทีเดียว

“มีอะไรให้ช่วยหรือครับ”

ร่างนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ ดวงหน้านวลรูปไข่ ตาคม ผมยาวก้มลงมาหาแล้วบอกด้วยน้ำเสียงไม่สู้จะดีนักว่า

“รถขวัญเสียน่ะค่ะ อยากจะขอติดรถเข้าเมืองหน่อยได้ไหมคะ”

ระเด่นมองหญิงสาวที่บอกว่าตนเองชื่อขวัญอย่างถูกใจ เขาส่งยิ้มอย่างหล่อกลับไปให้พร้อมกับบอกว่า

“ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งครับ”

ฝ่ายชายปลดล็อคประตู แล้วลงจากรถเดินอ้อมไปเปิดประตูให้เธอ ขวัญยิ้มอย่างขอบคุณก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ ระเด่นยิ้มกริ่ม เลิกกับปารวีไม่ทันไร เขาก็มีผู้หญิงน่าสนใจคนใหม่แล้ว อารามยินดีกับโชคไม่คาดฝันนี้ทำให้เขาไม่ทันผิดสังเกตกับอะไรบางอย่างในบริเวณนั้นสักนิดเดียว เมื่อขวัญนั่งในรถแล้ว เขาก็วิ่งกลับมายังที่นั่งคนขับ ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็ออกรถไปจากตรงนั้นทันที


                                                                      อริญชย์

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 16:58:48




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com