หลังมื้ออาหารผ่านไป ชนาธิปเดินเข้าห้องทำงานกับลูกทั้งสอง เพื่อตรวจสอบเอกสารที่ค้างคา..โดยลูกสาวคนโตนั้นคอยช่วยเหลืองานด้านบริหารภายในบริษัท และลูกชายที่ยังเรียนปริญญาโทให้ช่วยกันทำงานกับพี่ชายของเขาในส่วนของรับเหมาและบริหารงานก่อสร้างทั้งหมด
ไฟล์งานถูกเปิดได้ไม่นาน..คณินก็เปิดประตูเข้ามาสมทบ เอ้า สามพ่อลูก ทำอะไรกันง่วนเชียว
ทั้งสามหันมามองตามเสียงทักทาย แต่จะมีเพียงชนาธิปเท่านั้นที่เป็นคนตอบคำถาม ในขณะที่สองพี่น้องก้มหน้าก้มตาดูหน้าจอแล็ปท็อปของตนต่อไป ก็พวกผลการรายงานน่ะ แล้วพี่มีอะไรเรอะ
พี่จะมาให้เราเซ็นเช็คให้อีกสักหนึ่งล้านน่ะ
คราวนี้สองพี่น้องพร้อมใจกันละสายตาจากหน้าจอหันมองผู้ใหญ่ทั้งสอง และเป็นฉันทัชที่ปากไวเอ่ยถามก่อนพี่สาวเสียอีก เมื่อต้นเดือน ลุงเพิ่งจะเบิกไปสามแสนไม่ใช่เรอะ
นั้นมันค่าเอ็นเตอร์เทน
แล้วนี่มันค่าอะไร
คณินนิ่วหน้ากับการไล่บี้ของหลานชายผู้ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขามาตลอด นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเข้ามาเรียนรู้งานกับเขาตามคำสั่งของน้องชาย เพราะแนวคิด แนวปฏิบัติในการทำงานระหว่างเขากับหลานชายนั้นคอยจะสวนทางกันเสมอ งานทุกชิ้นที่ผ่านมือฉันทัชจะต้องสมบูรณ์เหมือนที่ออกแบบไว้ไม่มีผิดเพี้ยนภายในเวลาที่กำหนด และเป็นคนค่อนข้างเคร่งครัดในกฎระเบียบการบริหารคนมากทีเดียว ในขณะที่เขานั้นค่อนข้างอะลุ้มอล่วย จนกลายเป็นข้อขัดแย้งกับหลานชายบ่อยครั้ง แต่หลานชายนั้นมีน้องชายเขาคอยให้ท้ายจึงเหลิงในอำนาจ คำสั่งในบางครั้งจึงเหมือนเป็นการกระทำข้ามหน้าข้ามตาเขาต่อหน้าลูกน้องคนอื่นๆ นอกจากนั้นยังคอยจับผิดในเรื่องการเบิกจ่ายของเขาแทบทุกบิล และสิ่งที่ทำให้เขาเกลียดหลานชายคนนี้มากที่สุด คือ ความปากเสีย ที่เจ้าตัวคงหลงลืมไปแล้วว่าเขานั้นเป็นลุงของมัน !
เขาหายใจลึกอย่างสกัดกั้นอารมณ์ ก่อนตอบ เป็นค่าคอมฯล่วงหน้าให้เจ้าของงาน
ฉันทัชยิ่งไม่พอใจ ตัวเขานั้นรู้ว่า ขณะนี้บริษัทกำลังใช้เทคนิครบนอกรอบเพื่อให้ได้โครงการใหม่มาไว้ในกำมือ หลังจากที่พลาดให้กับบริษัทคู่แข่งในโครงการครั้งก่อน..แต่เงินค่าคอมมิชั่น หรือจะเรียกว่าเงินใต้โต๊ะ หรืออะไรก็ตามที่จะเรียกกัน แต่นั่นมักจะจ่ายก็ต่อเมื่อได้งานมาแล้วเท่านั้น
ไม่มีใครเขาจ่ายค่าคอมฯกันล่วงหน้าหรอกนะ
นั่นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ไว้ใจกัน แต่ครั้งนี้ลุงมั่นใจว่าเจ้าของงานตกลงเลือกเราแน่นอน เพราะเขาเป็นเพื่อนเก่าของลุง เงินก้อนนี้น่ะถือว่าเป็นการซื้อน้ำใจกัน
เฮอะ! ผมว่าลุงถูกเพื่อนหลอกกินฟรีมากกว่ามั้ง
ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน ผู้สูงวัยกว่าใบหน้าแดงก่ำด้วยอารมณ์ขึ้งโกรธ จนชนาธิปต้องเอ่ยปากปรามลูกชาย ทัช เดี๋ยวเรื่องนี้พ่อคุยกับลุงเขาเอง
ฉันทัชจึงจำต้องสงบปากสงบคำ และแสร้งก้มหน้าทำทีว่าสนใจรายงานในจอแล็ปท็อป แต่หูนั้นยังคงจับทุกคำพูด ผมเห็นด้วยกับตาทัชนะพี่..เรื่องเงินๆทองๆน่ะมันไว้ใจกันไม่ได้
แต่พี่มั่นใจ แล้วพี่ก็รับปากว่าจะให้เขาแล้วด้วย..หรือจะให้พี่เสียคำพูด แล้วแบบนี้ต่อไปใครจะเชื่อถือคำพูดของพี่อีกล่ะ คณินพาลเอาอารมณ์หงุดหงิดมาขึ้นเสียงกับน้องชาย ทำธุรกิจมันก็ต้องมีการเสี่ยงกันทั้งนั้นล่ะ
ชนาธิปถอนใจเฮือก ตัดใจเปิดลิ้นชักหยิบสมุดเช็คออกมา เพราะไม่อยากทะเลาะกับพี่ชายให้เสียอารมณ์.. สำหรับเขา จำนวนเงินที่พี่ชายขอมานั้นถือว่าเล็กน้อยมาก แต่เขาสำนึกเสมอว่าเงินแต่ละบาทที่หามาได้นั้นมีคุณค่ามากแค่ไหน เขาจึงไม่อยากเสียไปโดยเปล่าประโยชน์..และเพื่อลดความเสี่ยงและความรู้สึกเสียดาย เขาจึงลดจำนวนตัวเลขลง
ปลายปากกาตวัดบนแผ่นกระดาษ ก่อนถูกดึงยื่นส่งให้พี่ชาย..คณินโวยวายทันทีที่เห็นตัวเลข เฮ้ย! พี่ขอหนึ่งล้านนะ ไม่ใช่ห้าแสน
เป็นการลดความเสี่ยงน่ะ ชนาธิปบอกน้ำเสียงราบเรียบ แต่เมื่อพี่ชายขยับปากจะทักท้วง เขาก็ชิงพูดเสียก่อน
บอกเพื่อนของพี่ว่าช่วงนี้บริษัทต้องใช้โอดีเยอะ แต่ไม่ต้องห่วง หลังจากเปิดซองประมูลเขาจะได้ที่เหลือครบทันที..ถ้ามันเป็นไปตามข้อตกลงนะ
ประโยคที่บอกกับพี่ชาย สื่อถึงความไม่เชื่อถือเช่นกัน และทำให้คณินยิ่งเพิ่มอารมณ์โกรธเคือง เสมือนว่าน้องชายดูถูกความสามารถในการทำงานของเขา ไม่ต่างไปจากฉันทัช เออ จะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ
คณินทิ้งท้าย ก่อนหันกระแทกส้นเปิดประตูเดินออกจากห้องมาสมทบกับ ก้องภพ ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ซึ่งเป็นผู้ช่วยคนสนิทยืนคอยอยู่หน้าห้อง ซึ่งคณินโทรศัพท์เรียกตัวให้มารับเพื่อออกไปพบเจ้าของงาน หรืออีกนัยคือเพื่อนเก่าของเขาพร้อมๆกัน
ได้เงินมาจากคุณชัชไหมครับ
ได้ แต่มันให้แค่ครึ่งเดียว เพราะมันไม่เชื่อถือข้า ฮึ! เคี่ยวทั้งพ่อทั้งลูกเลย
คนฟังส่ายหน้า แย่จัง..เราอุตส่าห์รับปากฝ่ายนั้นเป็นมั่นเหมาะ
นั่นสิ
ก้องภพครุ่นคิดไม่นานก็เสนอความคิดเห็น เอาอย่างนี้สิครับ..คุณคณินก็ออกส่วนที่ขาดโปะลงไปสิครับ เราจะได้ไม่ต้องเสียคำพูด
เอาอย่างนั้นเรอะ
อย่างนี้ล่ะครับ ดีที่สุด
คณินคิดตาม แม้ลึกๆของตัวเองก็กลัวจะสูญเงินก้อนนี้เหมือนกัน แต่ก็ยอมทำตามคำแนะนำของลูกน้อง เพราะเชื่อใจเพื่อนเก่า ที่เป็นผู้ดูแลการตัดสินประกวดราคาในโครงการที่เขาต้องการครั้งนี้
ทั้งสองเดินออกจากบ้าน เพื่อขึ้นรถยนต์ซีดานคันหรู และก้องภพก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งขณะขับรถ ผมว่า คุณคณินน่ะอยู่ใต้อำนาจของคุณชนาธิปมากเกินไปนะครับ ทั้งๆที่คุณเป็นพี่ คุณควรจะเป็นผู้ออกคำสั่งมากกว่าที่จะต้องมาคอยถามความคิดเห็นหรือต้องแบมือขอเงินกับคุณชนาธิปอยู่แบบนี้
คนฟังถอนใจยาว จะทำไงได้ล่ะ ก็นายชัช มันเป็นคนกอบกู้บริษัทนี้ขึ้นมานี่นา.. แต่มันเคยเป็นของคุณนะครับ..เขาควรจะคืนให้คุณ มากกว่าที่จะฮุบเอาหน้าตาเฉยเหมือนทุกวันนี้
คณินขยับตัวอย่างอึดอัด พลางนึกถึงอดีต สมัยก่อนบริษัทยังไม่ใหญ่โตถึงขนาดนี้ และเขาสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดต่อจากบิดา ส่วนน้องชายนั้น หลังจากเรียนจบในต่างประเทศก็ขอเงินจำนวนหนึ่งจากบิดาและชักชวนเพื่อนชาวต่างชาติมาร่วมหุ้นเปิดบริษัทรับเหมาเล็กๆเป็นของตนเอง และกิจการเริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขากลับบริหารงานผิดพลาดหลายครั้งจนบริษัทที่บิดาสร้างมากับมือเริ่มเข้าสู่สภาวะวิกฤต ถึงขั้นต้องขายทรัพย์สินเพื่อพยุงบริษัท จนไม่เหลือแม้แต่บ้านจะซุกหัวนอน และชีวิตยิ่งจมดิ่ง เมื่อภรรยาสาวหอบเสื้อผ้าหนีไปกับผู้ชายคนอื่นโดยทิ้งลูกสาวที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนไว้ให้เป็นภาระของเขา น้องชายจึงเสนอขอซื้อหุ้นของเขาทั้งหมด และก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดแทน แล้วก็ควบรวมกิจการจนขยายใหญ่โตจนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อก่อนเขาก็ไม่คิดอะไร เพราะน้องชายก็ดูแลเอาใจใส่เขากับลูกดี แต่เมื่อลูกหญิง-ชายของน้องชายเริ่มเติบโตและเข้ามาก้าวก่ายในการทำงานของเขา ผสมกับคำพูดของก้องภพที่คอยกระตุ้นให้นึกถึงวันเก่าๆที่เคยผงาดมีอำนาจเหนือใครๆบ่อยครั้ง..จิตใจเขาก็เริ่มเอนเอียง นึกอยากได้บริษัทกลับคืนมาอีกครั้ง !
แล้วนายจะให้ฉันทำอย่างไง..นายชัชมันก็ทุ่มให้กับบริษัทนี้ไปเยอะทีเดียว มันไม่ยอมปล่อยง่ายๆหรอก..ช่างเถอะ..อยู่อย่างนี้ก็มีความสุขดีแล้ว
ก้องภพเหลือบสายตามองผู้เป็นนายผ่านกระจกส่องหลัง แม้ว่าคณินจะพูดออกมาเช่นนั้น แต่สีหน้าและแววตาที่เขาเห็นเผยถึงความเสียดายอย่างชัดเจน..ชายหนุ่มตวัดสายตากลับมองถนนตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาส่องประกายวาวพร้อมหยัดยิ้มมุมปากจากความคิดแยบยลที่ซ่อนลึกไว้ภายใน ซึ่งคณินนั้นคือหมากตัวสำคัญในการเดินเกมครั้งนี้ !
...............................................................
ภายในสนามบินนานาชาติ..
อนาวินยืนหน้าแผงหนังสือเพื่อเลือกซื้อนิตยสารที่อ่านเป็นประจำ แต่สายตากลับมองเลยไปยังปกนิตยสารที่มีภาพของราโมน่าดึงดูดสายตาผู้คนด้วยดวงหน้าสวยซึ้งมีหยาดน้ำเกาะพราวภายใต้กรอบผมยาวเปียกชุ่ม ริมฝีปากอิ่มชุ่มเรื่อสีสดเผยอแย้มเย้ายวน เรือนร่างกระจ่างอวบอิ่มละลานตาสวมใส่เพียงทูพีซสีสวยเช่นเดียวกับดวงตาของเธอถูกบดบังให้เห็นเพียงเงาลางๆจากแผ่นน้ำใสของสระว่ายน้ำ
ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่ง..รับรู้ว่าจังหวะการเต้นของหัวใจนั้นเริ่มผิดจังหวะ ความรุ่มร้อนจากอารมณ์ดิบกำลังขยับเคลื่อนไหวไปทั่วทุกอณูให้เกิดอาการกระสับกระส่าย ด้วยไฟราคะที่อยากครอบครองสิ่งสวยงามเฉกเช่นบุรุษทั่วไป แม้จะตระหนักดีว่าเธอคือสิ่งต้องห้ามที่เขาควรหลีกเลี่ยง แต่ความปรารถนาในส่วนลึกมักคอยรุมเร้าปลุกจินตนาการให้เตลิดไปไกลเกินกว่าจะควบคุม และแม้จะได้รับการตอบสนองจากผู้หญิงคนอื่น แต่ก็ไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกให้อิ่มเอมได้เลยสักคนเดียว
จะรับเล่มไหนดีคะ
เสียงของพนักงานขายเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าลูกค้าหนุ่มผู้มีใบหน้าชวนฝันคนนี้ยืนทำสีหน้าครุ่นคิดนานหลายนาทีแล้ว
ดวงตาคมกริบปรายสายตามองผู้ถามเพียงครู่เดียวก็หันกลับมาหยิบนิตยสารเล่มที่ต้องการซื้อแต่แรก โดยอดใจไม่ได้ที่จะหยิบนิตยสารปกของราโมน่าติดมือมาด้วย..และโทรศัพท์เรียกคนของเขาให้เอาไปเก็บไว้ในรถ โดยห้ามไม่ให้ใครเห็น ก่อนจะเดินกลับไปหาพิมพ์ศิริที่ร้านกาแฟ ซึ่งมีคนของเขาคอยยืนอยู่ใกล้ๆบริเวณ
ไหนเฮียว่าจะไปซื้อหนังสือไง ไม่เห็นได้อะไรมาเลย หญิงสาวผู้มีใบหน้ารูปไข่ นัยน์ตาดำกลมโตคู่หวานฉายแววฉงน เมื่อญาติผู้พี่เดินกลับมามือเปล่า
เฮียให้คนเอาไปเก็บที่รถแล้วน่ะ ขี้เกียจถือมาด้วย เขาตอบพร้อมก้มมองนาฬิกาข้อมือ เครื่องลงแล้วนี่นา ไปกันเถอะ ป่านนี้หนูเล็กคงกำลังออกมาแล้วมั้ง
อืม หญิงสาวตอบรับในลำคอ พลางดึงปิ่นไม้ฝังมุกที่เสียบมวยผมซึ่งเริ่มหลุดลุ่ยออกให้ผมยาวหยักศกดำขลับสยายลงเคลียร์แผ่นหลัง และถูกรวบม้วนเป็นมวยให้แน่นขึ้นก่อนปลายแหลมมนของตัวปิ่นจะเสียบยึดดั่งเดิมอีกครั้ง และร่างเพรียวกลมกลึงในชุดเสื้อ กางเกงผ้าเนื้อดีสีครีมเข้าชุดขยับลุกขึ้นก้าวเดินเคียงข้างร่างสูงกำยำของญาติผู้พี่ตรงไปยังจุดรอรับผู้โดยสารขาเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งคนของเขาอีกสองคนได้ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
ไม่นาน..ผู้โดยสารเริ่มทยอยเดินออกมาซึ่งจะเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ แต่สายตาหลายคู่ตวัดมองไปยังหญิงสาวร่างเล็กบอบบางสวมใส่เสื้อผ้าทันสมัยยี่ห้อแบรนด์เนมชั้นนำ เรือนผมสลวยดำขลับยาวเรียบตรงเกือบถึงเอวคอดเล็ก ดวงหน้าสวยเฉี่ยวเชิดเล็กน้อยอย่างคนถือตัว ผิวขาวจัดถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบา ทว่าเรียวปากอิ่มเคลือบด้วยลิปติกสีแดงเจิดจ้า และเพิ่มความเด่นสะดุดสายตาด้วยชายหนุ่มผิวขาวสะอาดที่กำลังเข็นรถเข็นกระเป๋าเดินอยู่ข้างกาย เรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่า ร่างเพรียวกำยำมีความสูงเทียบเท่ากับชาวต่างชาติจนข่มร่างของคนที่เดินเคียงข้างให้เล็กกระจ้อย ใบหน้าคมหวานอย่างบุรุษเพศสงบนิ่งไม่เผยความรู้สึกใดๆและบดบังดวงตาคมกริบสีน้ำตาลอ่อนไว้ภายใต้แว่นกันแดด อนาวินหยัดยิ้มมุมปาก สายตาจับจ้องไปยังน้องสาว และอ้าแขนออกทันทีที่ร่างเล็กๆนั้นก้าวยาวๆโผเข้าหาทุ่มร่างใส่ทั้งตัว สองเรียวแขนโอบกอดร่างหนาแกร่งของพี่ชายแน่นด้วยความคิดถึงจับใจ..ชายหนุ่มกระชับกอดให้แน่นขึ้นไม่กี่อึดใจ ก่อนจะคลายออก และกวาดมองดวงหน้าของผู้มีสมญานามว่า นางมารน้อย ของเขาให้ชัดเจน หลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้ากันเกือบปี
คิดถึงชะมัด..ป๊าคงดีใจมาก ที่เห็นเรา
หนูเล็กก็ทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงป๊าเหมือนกัน..เฮียพาหนูเล็กไปหาป๊าเดี๋ยวนี้เลยนะ
ไม่แวะอาบน้ำอาบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเรอะ
ไม่ล่ะ หนูเล็กจะไปหาป๊าเลย
งั้นก็ตามใจ
อนาวินผละจากน้องสาว ปล่อยให้หันไปกอดทักทายกับพิมพ์ศิริ เขาจึงหันไปหาชายหนุ่มที่มีทั้งอายุและความสูงเท่ากัน เสียใจเรื่องน้าตฤนด้วยนะ
ครับ.. เสียงทุ้มตอบรับแผ่วเบา ริมฝีปากบางสีเรื่อเม้มแน่นเล็กน้อยกับความเคียดแค้นที่เก็บกดไว้ในใจกับผู้ที่พรากบิดาไปจากเขาและมารดา
เดี๋ยวผมจะไปไหว้พ่อที่วัดก่อนนะครับ
อือ..เดี๋ยวนายขับรถไปก็แล้วกัน ฉันให้คนเอามาเผื่อนายอีกคันหนึ่ง
ขอบคุณครับ
งั้นไปกันเลยก็แล้วกัน
ทั้งหมดจึงก้าวเดิน และแยกย้ายไปตามจุดหมายที่ตั้งใจ
.....................................................................................
จบตอนค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
จากคุณ |
:
ระรินใจ
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ก.พ. 55 12:52:33
|
|
|
|