Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
PSYCHO FEAR (ปี 2) ....๐ เรื่องที่ 2 ผู้เดินทาง ๐..... ติดต่อทีมงาน

ผมพยายามจะลืมตา แต่กลับมองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากจุดแสงสว่างที่เคลื่อนผ่านไปเป็นครั้งคราว และในบางครั้งก็ดูเหมือนมีเงาของอะไรบางอย่างมาบดบังมัน หรือผมอาจจะถูกใครผูกผ้าปิดตาเอาไว้ ความรู้สึกสับสนวนเวียนอยู่ภายในหัว


“เดินทางปลอดภัยนะ”

เสียงของใครคนหนึ่งบอก และผมตอบกลับไปว่า

“ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

ดูเหมือนผมกำลังจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ด้วยพาหนะอะไรสักอย่าง แต่ทุกอย่างนั้นเหมือนเกิดขึ้นในหมอกหนา มันเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ก็ไม่รู้ ที่สำคัญคือ คนที่ผมคุยด้วยเป็นใครกันนะ เป็น ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับตัวผม

น้ำเสียงนั้นแสดงความห่วงใยออกมาอย่างไม่ปิดบัง คำตอบของผมเองก็เช่นกัน มีความห่วงใยอยู่ในนั้นไม่น้อยไปกว่าผู้ที่สนทนาด้วยเลย


ความมืดที่ยาวนานผ่านเข้ามา ผมพยายามจะขยับตัว แต่ความรู้สึกต่างๆ มันสับสนไปหมด เหมือนกับว่าผมถูกจับยัดเข้ามาในร่างของคนอื่น หรือว่าผมจะถูกมัดเอาไว้ ความรู้สึกรุนแรงบางอย่างพุ่งขึ้นอย่างฉับพลัน ผมบอกได้แค่ว่ามันคือความเจ็บปวด แต่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด ผมกรีดร้อง แต่ไม่รู้ว่ามันจะมีเสียงดังออกมาหรือไม่


“ลูกตั้งใจโกหกแม่ใช่ไหม”

“...ผม...เปล่า ครับ ผม...ผมดูผิดไป”

ผมหลบสายตาของแม่ มองดูของเล่นกล่องใหม่ที่พึ่งซื้อมา ของเล่นที่ผมอยากได้มาก มากจนกระทั่งตัดสินใจทำสิ่งนี้ และตอนนี้ผมรู้สึกเกลียด ไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นตัวผมเอง

“ตอนประกาศรายชื่อ เขามีทั้งชื่อ ทั้งนามสกุล ลูกจะบอกว่าดูแต่ชื่อ เลยเข้าใจว่าตัวเองสอบติดอย่างนั้นหรือ”

“...ครับ”

ไม่มีชื่อผมอยู่ในนั้น แต่ผมอยากได้ของเล่น และแม่อ่านหนังสือไม่ออก ถึงอย่างไรผมก็มีโรงเรียนที่จะเรียนต่ออยู่แล้ว ถึงจะโกหกว่าผมสอบติดโรงเรียนนี้ด้วย ก็คงไม่เป็นไร  ตอนนั้นผมคิดแค่นั้นจริงๆ แค่อยากได้ของเล่นเท่านั้นเอง

แม่จ้องหน้าผมนิ่ง

“บอกแม่มาตามตรง ลูกตั้งใจโกหกแม่ใช่ไหม”

ผมลังเลเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในเวลานั้นมันรู้สึกเหมือนว่านานแสนนาน สายตาของแม่บอกกับผมชัดเจน แม่รู้อยู่แล้ว แต่ผมกลับตอบว่า

“…เปล่าครับ ผมดูผิดจริงๆ “

แวบหนึ่งที่ผมเห็นสายตานั้นเปลี่ยนไป แวบหนึ่งนั้นยังคงติดอยู่ในใจของผมตลอดมา


ผมกลับมาสู่ความมืดอีกครั้ง นอกจากความเจ็บปวดแล้ว ตอนนี้ความอึดอัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนก็เริ่มต้นขึ้น ผมต้องการทำอะไรบางอย่างที่ธรรมดาอย่างที่สุด แต่กลับไม่อาจทำได้ ผมพยายามจะหายใจ ให้ตายสิ ผมทำไม่ได้ ผมต้องหายใจ แต่ผมหายใจไม่ได้


ความทรงจำในวัยเด็กของผมนั้นมีอยู่น้อยมาก ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนผมหรือไม่ แต่มันก็ถูกเติมเต็มด้วยความทรงจำที่ได้มาจากลูกของผม ใช่ผมมีลูกแล้ว และได้เห็นตั้งแต่ตอนที่เขาถูกดึงออกมาสู่โลกนี้ ด้วยมือของหมอ

ในตอนที่ผมลืมตาออกมาดูโลกคงไม่เหมือนแบบนี้ แต่ก็แค่ในรายละเอียด โดยหลักการแล้วคงไม่แตกต่างกัน ผมเฝ้าดู เด็กคนนี้ค่อยๆ เติบโต พลิกตัว ยกหัว นั่ง ยืน เดิน พูด นั่นต่างอะไรจากวัยเด็กของผมเอง

“อย่าร้องนะ”

ผมฟาดไม้แขวนเสื้อในมือลงไปเต็มแรง และเต็มแผ่นหลังเล็กๆ นั้น มันถึงกับหักกระเด็นไป เด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าร้องไห้จ้า แต่ความโกรธของผมยังคงไม่สงบลง เด็กอะไร สอนไม่เคยจำ เอาแต่สร้างปัญหาอยู่ตลอดเวลา

ผมมองดูใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้น มันคล้ายกับใบหน้าของผมเหลือเกิน หรือจริงๆ แล้ว นี่คือส่วนหนึ่งของความทรงจำในวัยเด็กของผม แล้วเด็กที่ยืนอยู่นั่น แท้จริงแล้วก็คือตัวผมเอง


ความเจ็บปวดที่ผมไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจนพุ่งขึ้นอีกครั้ง มีอะไรบางอย่างเบียดแทรกเข้ามาในร่างกาย ผมบอกได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่ความเจ็บปวดอีกมากมายจะแตกประทุไปทั่วร่าง ความมืดเข้ามาปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด


“เราเลิกกันเถอะ”

เธอจ้องหน้าผม ก่อนน้ำตาจะไหลหยดลงบนจานข้าว ผมบอกเลิกกับเธอในร้านอาหารโปรด ที่มากินด้วยกันเป็นประจำ ด้วยเหตุผลอะไรน่ะหรือ เพราะว่าเธอเกาะติดผมไม่ยอมห่าง คอยตามแจไม่ปล่อยให้ผมคลาดสายตาไปไหนเลย ผมทนไม่ได้ ก็ผมยังอยากไปเจอกับผู้หญิงคนอื่นบ้างในบางครั้ง แต่ผมไม่ได้คิดจะนอกใจเธอสักหน่อย

ผมลุกขึ้นเดินออกจากร้าน

“อย่าไปนะ”

เธอร้องตะโกนลั่น จนคนทั้งร้านหันมาดู ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจอะไรแล้ว ตัวผมเองก็เช่นกัน ผมเดินออกจากร้านโดยไม่เหลียวหน้ากลับไป

“อย่าไปนะ อย่าไปนะ อย่าไปนะ...”

เสียงของเธอกรีดร้องซ้ำๆ ยังดังออกมาจากในร้าน ผมจำได้แค่เพียงว่าเธอเป็นแฟนคนหนึ่งของผม แต่จะใช่แม่ของลูกผมหรือไม่ ผมนึกไม่ออก


สิ่งแปลกปลอมในร่างนั้นยังคงอยู่ ความเจ็บปวดยังคงอยู่ แต่ผมก็ตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่ง ตอนนี้ผมหายใจได้แล้ว ความเจ็บปวดทำให้ผมไม่ทันตระหนักถึงเรื่องนี้ พอพูดถึงความเจ็บปวด ความเจ็บปวดก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันกระแทกลงมาเป็นจังหวะไม่ยอมหยุด


“เอาคืนมา”

เพื่อนรักของผมตะโกน พยายามไล่คว้ากระเป๋าสตางค์ที่ตอนนี้ตกอยู่ในกำมือของผม เขาพึ่งอวดรูปแฟนที่อยู่ในนั้นให้ดู และผมก็เกิดอยากจะยั่วโมโหเขาขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“รับนะ”

ผมจงใจขว้างมันออกไปนอกหน้าต่าง และเราอยู่บนชั้นห้าของตึกเรียน ข้างนอกนั่นเป็นชุมชนอะไรสักอย่าง และเขาก็ไม่เคยได้เห็นกระเป๋าใบนั้นอีกเลย พวกเรายังคงเป็นเพื่อนกันจนวันเรียนจบ และหลังจากนั้น

แต่มันคงจะดีกว่ามาก ถ้าไม่เกิดเรื่องราวในวันนั้นขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดออกมาก็ตาม


ความเจ็บปวดทรมานต่างๆ ค่อยๆ เจือจางลง เหมือนกับมันลอยห่างออกไป หรือไม่ผมก็ลอยห่างมันออกมา ความมืดยิ่งเข้มข้นขึ้น ชัดเจนจนราวกับว่ามันเป็นวัตถุที่สามารถจับต้องได้ และผมกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน เป็นหนึ่งเดียวกับความมืดที่เยียบเย็น ความมืดที่เดียวดาย


“พ่อแกไม่ค่อยสบาย”

“แม่ก็พาไปหาหมอสิครับ”

ผมตอบไปอย่างนั้น งานการกำลังวุ่นวาย แต่มันก็สร้างรายได้ที่งดงามให้กับผมด้วย ตอนนี้ผมมีภาระหลายอย่าง ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ไหนจะใช้หาความสุขใส่ตัว และครอบครัวอีก แน่นอน ผมแบ่งส่วนหนึ่งให้พ่อกับแม่ด้วย

“...แค่นี้นะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

“ครับแม่”

ผมรู้ว่าแม่คงอยากบอกว่า ให้แวะกลับไปเยี่ยมพวกท่านบ้าง แต่ท่านก็ไม่ได้พูดออกมา และเมื่อผมได้รับโทรศัพท์จากแม่อีกครั้ง มันก็กลายเป็นข่าวร้ายที่คาดไม่ถึง

พ่อจากไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีใครได้ทันเตรียมใจ และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ แม่เองก็ป่วยเช่นกัน แต่แม่ยังมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะต้องจากไป

ผมทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ก็พยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะคิดออก พาแม่ไปทานอาหาร ไปเที่ยว หาของอร่อยๆ ไปฝาก แต่แม่ก็ไม่ค่อยอยากไปไหน ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น และไม่นานสภาพร่างกายของแม่ก็ทรุดลง จนไม่อาจออกไปไหนได้อีก

ผมบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่าได้ทำสิ่งที่ควรจะทำไปแล้ว ทำไปแล้ว ทำไปแล้ว แต่ใจผมเองกลับค้านคำพูดนั้น ผมทำดีที่สุดแล้ว และตัวผมเองก็ยกมือขึ้นค้านอีกครั้งอย่างสุดหัวใจ

ในที่สุดแม่ก็จากไป สิ่งที่ผมจดจำได้ขึ้นใจกลับเป็นสายตาของแม่ในวันประกาศผลสอบ วันที่ผมได้ของเล่นชิ้นใหม่ วันที่คำตอบของผมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป


แล้วจู่ๆ ความมืดก็เหมือนจะเบาบางลง มันถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดทรมาน ความอึดอัด ความเหนื่อยหน่าย ความไม่สบายตัว ซึ่งผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่าความรู้สึกแบบไหนกันแน่ ที่แย่กว่ากัน


“ของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ครับ”

ซองกระดาษสีน้ำตาลถูกยื่นมาให้ผม ข้างในนั้นมีกระดาษสีเทาปึกหนึ่ง กระดาษที่สามารถบันดาลความสุขในชีวิตให้กับผมได้

ผมรีบคว้ามันมาเก็บเอาไว้ ราวกับกลัวว่าใครจะผ่านมาเห็น ทั้งๆ ที่พวกเรานั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของผมเอง

“งานหน้าก็ขอให้ช่วยๆ กันอีกนะครับ”

เขายิ้ม และดูเหมือนผมเองก็ยิ้มเช่นกัน ผมไม่ต้องทำอะไรมากมาย นอกจากแค่มองข้ามตัวอักษรไม่กี่ตัวที่ระบุเอาไว้ในสัญญาเท่านั้น งานทุกอย่างยังคงสำเร็จลงได้อย่างเรียบร้อย โดยที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ รวมทั้งตัวผมเองด้วย

มันเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ เขาก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้น นั่นเป็นซองแรก และแน่นอนว่าไม่ใช่ซองสุดท้าย และผมรับซองเหล่านั้นได้เก่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับหน้าที่การงานของผมที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน


เสียงบางอย่างดังขึ้นที่ข้างหู ผมไม่ได้ยิน แต่รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครกำลังพยายามเรียกผมอยู่ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอยากหนีให้พ้นไปจากความเจ็บปวดที่ไม่สิ้นสุดนี้ บางทีความมืดนั้นอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็เป็นได้


“เดินทางปลอดภัยนะ”

“ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

ผมตอบภรรยาก่อนที่จะก้าวขึ้นไปบนรถ ผมต้องเดินทางไปทำธุระสำคัญที่ต่างจังหวัด และยังมีบางเรื่องที่เธอยังไม่รู้ และต้องไม่รู้ ผมจะแวะไปหาใครอีกคน ผู้หญิงอีกคน ก็แค่ความสุขชั่วคราวเล็กๆ น้อยๆ ของคนทำงานอย่างผม ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

ผมหันไปหาเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ

“ไปนะลูก”

ภาพการบอกเลิกกลางร้านอาหารซ้อนทับขึ้นมา เธอคนนั้นคือภรรยาของผม  ใบหน้าของเด็กที่ร้องไห้จ้าเพราะโดนฟาดด้วยความโกรธในวันนั้นก็เช่นกัน ที่เป็นลูกของผม

รถยนต์คันนั้นออกวิ่งไป ก่อนที่จะมี ความมืด เสียงดัง กลิ่นเหม็นไหม้ ความเจ็บปวด มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในระหว่างทาง และผมไปไม่ถึงจุดหมาย


“หัวใจหยุดเต้นไปอีกแล้วค่ะ”

“รีบปั๊มหัวใจอีกที...ระวังท่อหายใจที่ใส่ไว้ด้วย”

หมอหนุ่มคนหนึ่งกระโดดขึ้นคร่อมบนร่างคนไข้ ประสานมือ ก่อนออกแรงกดลงบนกระดูกซี่โครงเหนือหัวใจตามที่ได้เรียนมา พวกเขาดูไม่ค่อยเคร่งเครียดกับสิ่งที่กำลังทำอยู่เท่าใดนัก มีอีกหลายคนที่ได้แต่ยืนดูไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรด้วยซ้ำ

ผมอยู่ในร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผล รอยพกช้ำ คราบเลือด และอื่นๆ เสื้อผ้าบางส่วนถูกกรีดออก มีท่อหายใจถูกสอดเอาไว้เพื่อให้ผมสามารถหายใจต่อไปได้ สายน้ำเกลือ ถุงเลือด และอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆ อีกหลายชนิดอยู่รายล้อม

ก่อนหน้านี้ผมประสบอุบัติเหตุรถยนต์ในระหว่างการเดินทาง ตอนนี้ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาล และผมกำลังจะตาย ถึงแม้ผมจะรู้ดีว่า คนทุกคนต้องตาย แต่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นกับผมแบบนี้ ผมคิดเสมอว่าตัวเองยังมีเวลา

สติของผมกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง ผมไม่เข้าใจ ผมสับสน ทั้งความเจ็บปวด และความมืด ผมมีเรื่องดีๆ ในชีวิตนี้ตั้งมากมาย แต่ทำไมมันจึงมีแค่ ความทรงจำที่ไม่อยากจดจำพวกนี้ ผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน

สายตานั้นของแม่ เสียงกรีดร้องในวันที่ถูกบอกเลิกของภรรยา กระเป๋าสตางค์ของเพื่อนรัก วันที่ผมตีลูกตัวเองด้วยความโกรธ การจากไปของพ่อ กับแม่ ซองเงินซองนั้น และอื่นๆ อีกมากมาย ที่อาจเคยกวนใจผมมาก่อนหน้านี้ แต่ผมคิดเสมอว่าพวกมันไม่สำคัญอะไร

ยังมีเหตุการณ์ดีๆ ในชีวิตผมอีกตั้งมากมาย แต่ให้ตายสิ ผมนึกไม่ออกเลยสักอย่าง เหมือนกับพวกมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

ผมคิดถึงภรรยา กับลูก ขึ้นมาจับใจ พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง เป็นห่วง บ้าน และรถคันใหม่เอี่ยมที่ยังผ่อนไม่หมด ต่อไปใครจะดูแลพวกเขา

แรงกระแทกเป็นจังหวะกดลงบนหัวใจของผม หมอคนนั้นหันไปคุย หัวเราะกับเพื่อนในขณะที่เขายังคงปั๊มหัวใจของผมต่อไปไม่ยอมหยุด ผมลืมตาเบิกโพลง ภาพทั้งหมดกระจ่างจ้าชัดเจนก่อนเลือนหายไปอีก คราวนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย

ผมระลึกได้ถึงอะไรที่สำคัญบางอย่าง อะไรที่เคยสะกิดใจผมในบางช่วงเวลาของชีวิตที่ผ่านมา อะไรบางอย่างที่บอกไว้เกี่ยวกับความเป็นจริงของโลกนี้ อะไรบางอย่างที่อาจจะช่วยผมได้

อะไรบางอย่าง ความทรงจำที่เจ็บปวดเหล่านั้น วนเวียนย้อนไปมาในหัวของผม อะไรบางอย่าง ความเจ็บปวด ความมืด ความทรมาน อะไรบางอย่าง

ผมกำลังจะนึกออก...

“คนเจ็บเสียชีวิตแล้วค่ะ”

จากคุณ : zoi
เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 16:57:29




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com