Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาวมาดเซอร์ หัวใจเจอรัก บทที่ 2 : งานที่รักกับคนที่เกลียด ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11668398/W11668398.html


เช้าวันใหม่ เพียงขวัญออกมาจากห้องพักในชุดที่แตกต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เธออยู่ในชุดทะมัดทะแมง เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนขึ้นถึงข้อศอกกับกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบ กลับมาอยู่ในมาดอาร์ตไดเร็คเตอร์สุดเซอร์ตามเดิม

หน้าตาของเพียงขวัญในเช้าวันนี้ดูงัวเงียอยู่เล็กน้อย เพราะนอนไม่ค่อยพอ เมื่อคืนหลังจากคิดเรื่องพี่แมนอยู่พักใหญ่ๆ เธอก็กลับมาทำงานต่อ ทำงานไปก็วกกลับไปคิดเรื่องพี่แมนอีก เรื่องงานเลี้ยงรุ่น เรื่องโจรฉกกระเป๋า แล้วก็อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ โดยเฉพาะเรื่องที่เธอยอมให้ผู้ชายที่เป็นรักแรก ซึ่งถึงจะกลายร่างเป็นกระเทยไปแล้วก็ตาม มาอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

เพียงขวัญได้รับทราบจากปากของเจ้าตัวว่า ที่เขามีอันต้องระเห็จออกจากห้องพักกลางดึกเช่นนั้นก็เป็นเพราะติดค่าเช่าอาเจ๊จอมเค็มมาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งเหตุที่ไม่มีเงินจ่ายก็เป็นผลมาจากการตกงาน เงินเก็บก็ไม่มี เพราะมันถูกใช้ไปจนหมดกับการผ่าตัดเปลี่ยนเพศให้พี่แมนกลายเป็นน้องแมนนี่นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงไม่อาจจะใจร้ายเอ่ยปากให้เขาพักอยู่ด้วยแค่วันสองวัน เพราะถึงยังไงเขาก็เคยเป็นรักแรกของเธอ และยิ่งเป็นเพื่อนที่รู้จักกันแล้ว จะดีจะชั่วยังไง เธอก็ควรจะช่วยเหลือเจ้าตัวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อยก็ตามที

สาวเซอร์ขยับสายกระเป๋าสะพายให้กระชับกับหัวไหล่มากขึ้น เพื่อเป็นเชิงเตือนตัวเองให้เลิกคิดฟุ้งซ่านเสียที

เพราะตอนนี้ได้เวลาที่เธอจะต้องไปทำงานแล้ว เพียงขวัญตรงไปยังลานจอดรถชั้นล่าง ก่อนจะสตาร์ทรถของตนมุ่งหน้าไปสู่ถนนลาดพร้าว ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆ เธอก็เลี้ยวรถยนต์เข้าจอดที่ลานจอดรถข้างอาคารแห่งหนึ่ง

เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปที่กระโปรงหลัง หยิบถุงกระดาษใบใหญ่ออกมาพร้อมด้วยของอื่นๆ ทั้งหมด เธอเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูงตรงหน้า ที่นี่เป็นที่ทำงานของเธอเอง แม้ตัวอาคารจะไม่สูงเสียดฟ้าเหมือนกับตึกอื่นๆ

ในละแวกเดียวกัน เพราะมีเพียงแค่เจ็ดชั้น ทว่าแต่ละชั้นก็กว้างขวางมากถึงขนาดบริษัทของเธอเช่าชั้นเดียวก็เหลือเฟือ ด้านข้างอาคารยังมีระเบียงกว้างๆ วางเก้าอี้ม้านั่งให้พนักงานได้มานั่งพักผ่อนทุกชั้น เธอมองจากตรงนี้ไปยังชั้น 5 ที่ตั้งของบริษัท เห็นสาวๆ เออีของบริษัทยืนจับกลุ่มเมาท์กันตั้งแต่เช้า

“หวัดดีขม”

เสียงห้าวทักทายขึ้นทางด้านหลังพร้อมทั้งใช้ฝ่าเท้าสะกิดเข้าที่น่อง พอหันไปมองก็เห็นชายหนุ่มร่างสันทัด ผมสั้นหัวหยิก ใส่แว่นตากรอบดำ เพียงขวัญยิ้มให้ แต่เมื่อก้มลงมองเห็นสิ่งที่สะกิดเธอก็ทำหน้ายี้

“อี๋ ไอ้อู๊ด! สกปรกว่ะ ซักมั่งหรือเปล่าเนี่ย” เพียงขวัญต่อว่าเมื่อเห็นบาทาผ้าใบของอู๊ดซึ่งเดิมเป็นสีขาว แต่ด้วยประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวในโลกภายนอกมาอย่างโชกโชน มันจึงกลายเป็นสีโคลนไปเสียแล้ว

“ของแกมันก็ไม่ต่างกันนักหรอกวะ”

อู๊ดสบประมาทรองเท้าผ้าใบสีดำคู่เก่งของเพียงขวัญ ทำให้เธอต้องแกว่งเท้าขึ้นสูงให้ยลกันชัดๆ

“ฉันอาบน้ำให้มันบ่อยกว่าของแกก็แล้วกัน”

“ฉันประหยัดน้ำเพื่อลดการใช้ทรัพยากรนะเว้ย แล้วแกคอยดู ต่อไปรองเท้าสีนี้จะต้องฮิตกัน” อู๊ดยืดอกพูดอย่างมั่นใจ

แต่เพียงขวัญกลับมองอย่างไม่ค่อยจะเชื่อในคำพยากรณ์ของก๊อบปี้ไรท์เตอร์นัก

อาร์ตไดเร็คเตอร์กับก๊อบปี้ไรท์เตอร์คู่นี้ทำงานเป็นคู่หูกันมาเป็นเวลากว่าสองปีแล้ว คนคิดเนื้อเรื่องโฆษณาอย่างเพียงขวัญมีคนคิดคำประกอบโฆษณาอย่างอู๊ดทำงานด้วยกันอย่างรู้ใจ ไม่ว่างานจะยากลำบากแค่ไหน ก็ลุยไปด้วยกัน จึงทำให้หนุ่มซกมกกับสาวห้าวคนนี้ซี้กันมากจนทักทายกันแบบนี้เสมอ

ทั้งสองคนเดินพูดคุยกันไปกระทั่งหยุดรอเพื่อจะขึ้นลิฟท์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท Kidsy Advertising บริษัทโฆษณาเล็กๆ ที่เริ่มมีผลงานโฆษณาโดดเด่นเป็นที่จดจำของคนดูหลายชิ้น ขึ้นชื่อว่า Kid อาจฟังดูเหมือนบริษัทประกอบกิจการอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเด็กไม่ใช่บริษัทโฆษณา แต่ที่จริงแล้วคำว่า Kid มาจากคำว่า คมคิด ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าของบริษัทแห่งนี้นั่นเอง ส่วน sy ที่ต่อท้ายนั้นมีที่มาจากคำพูดติดปากของเขา

“ไปคิดเข้าซี่...เร็วๆ เข้าซี่...เร่งมือหน่อยซี่”

คำว่าซี่ๆ มักต่อท้ายคำพูดของเจ้านายหนุ่มเสมอตั้งแต่สมัยเรียนจนเป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นเมื่อคิดจะตั้งบริษัท ภรรยาจึงตั้งชื่อ คิดซี่ ให้เป็นการแซว แต่คมคิดกลับเอาจริง ชื่อบริษัท คิดซี่ แอดเวอร์ไทซิ่ง จึงได้มาด้วยประการฉะนี้แล

เสียงเดินลากเท้าจากด้านหลังใกล้เข้ามา ทำให้ทั้งสองคนต้องหันไปมอง แล้วก็พบกับชายหนุ่มตัวสูง หน้ายาว ผิวขาว ดวงตาเรียว จมูกโด่ง ผมหยักศกฟูเคลียบ่า เพียงขวัญแอบเบะปาก เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ ตาคนนี้ชื่อธนัช ชื่อเล่นชื่อ เป้ แต่เธอแอบเรียกว่า ‘เป้ปากเสีย’ อายุอานามมากกว่าเธอที่อยู่ในวัยเบญจเพสปีหนึ่ง ถ้าแหวกผมหยักศกฟูๆ นั่นออก ก็คงได้จะได้เห็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาเลยเชียวล่ะ

แต่...หน้าตากับนิสัยน่ะมันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงและที่สำคัญ...หมอนี่ดันทำงานตำแหน่งเดียวกับเธอเสียด้วยสิ

จริงๆ เธอแอบรู้จากอู๊ดมาว่าเจ้าตัวเป็นถึงลูกคุณหนูเชียวนะ พ่อแม่มีบริษัทขายยาเสียใหญ่โต ถึงจะมีพี่ชายของธนัชคอยสืบทอดบริษัทอยู่แล้ว แต่พ่อก็ยังอยากให้เขาไปช่วยดูงานร่วมกับพี่ชายอยู่ดี ตาคนนี้มันขี้เกียจ เพราะเป็นพวกอารมณ์ศิลปินเสียมากกว่า เลยบอกปัด แล้วย้ายออกมาอยู่คนเดียว ทำงานเป็นอาร์ตไดเร็คเตอร์เลี้ยงชีพซะเลย

ผิดกลับเธออย่างลิบลับ เพียงขวัญเป็นแค่ลูกชาวไร่ชาวสวนธรรมดา แต่ฐานะไม่ได้ยากจนอะไร พ่อแม่ก็มีที่มีทางทำสวนผลไม้อยู่แถวๆ จังหวัดในปริมณฑล แต่ด้วยความที่เธอคุ้นชินกับชีวิตในเมืองเสียมากกว่า เพราะตั้งแต่เรียนมอปลาย เธอก็อาศัยอยู่กับญาติมาตลอด ตอนสอบติดก็อยู่ที่พอพัก พอจบปั๊บก็ได้งานทำที่บริษัทคิดซี่ เธอก็เลยมาเช่าคอนโดฯ ให้เป็นที่อยู่ถาวรในกรุงเทพเสีย

“ดีเป้ เป็นไงมั่ง งานเสร็จหรือยัง?” อู๊ดทักทายเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง หนุ่มๆ ในฝ่ายครีเอทีฟก็สนิทกันทั้งหมดนั่นแหละ เพียงขวัญเองก็สนิทกับทุกคนเหมือนกัน แต่ไม่ขอสนิทกับนายคนนี้ เธอเลยยืนเฉยไม่ทักทายอะไรทั้งสิ้น

“วันนี้พรีเซนต์แล้ว”

“ผ่านอยู่แล้วสิ”

“ก็อย่างนั้นแหละ” คนพูดยักไหล่บอกอย่างมั่นใจ

“ชิ...” เพียงขวัญแอบเบะปากอีกครั้งด้วยความหมั่นไส้ พลางนึกประชดในใจไม่ได้ว่า

‘นายเป้ปากเสียเอ๊ย มั่นใจเหลือเกิ๊น เก่งมาก เก่งที่สุด เก่งไม่มีใครเกิน ทำไมไม่ลาออกไปเปิดบริษัทเสียเองเลยล่ะ!’

“ลิฟต์นานจังวุ้ย วิ่งขึ้นไปดีกว่า ต้องบริหารขาลดหุ่นกันหน่อย” จู่ๆ อู๊ดก็กระชับกระเป๋าเป้ที่หลังแล้วออกวิ่งไปที่บันไดทันที

“เฮ้ยแก! ชั้นห้านะเว้ย จะลดหุ่นทำไมผอมจะตายอยู่แล้ว” เพียงขวัญรีบตะโกนถาม

อู๊ดหันหน้ากลับมายักคิ้วให้ ทุบพุงแบนๆ ของตัวเองดังป้าบๆ

“ถึงจะผอมแต่ต้องเฟิร์มๆ หน่อย เดี๋ยวแฟนไม่รัก ไปล่ะ เดี๋ยวเจอกันข้างบน”

อู๊ดโบกมือบ๊ายบายแล้ววิ่งตัวปลิวไปเลย ทำเอาเพียงขวัญถอนหายใจเบื่อๆ ไอ้เพื่อนบ้า ไม่รู้หรือไงว่าเธอไม่ชอบตาหัวฟูนี่ ยังมาทิ้งให้อยู่กันสองคนอีก แถมให้เธอเดินขึ้นบันไดก็ไม่เอาแล้วด้วย เมื่อเช้าก็วิ่งลงไปสองร้อยขั้นแล้วเมื่อยขาจะแย่

“จะโวยวายทำไม มันอยากเดินก็ให้มันเดินไปสิ” ธนัชพูดขึ้น

เพียงขวัญหันขวับไปมองแล้วรีบหันหน้ากลับ ไม่อยากพูดด้วย ถ้าไม่จำเป็นจะไม่พูดด้วย จะไม่พูด ไม่พูดเด็ดขาดไม่ชอบหน้าอีตานี่

“อ้าว ทำงานด้วยกันมาตั้งนาน เพิ่งรู้ว่าไม่มีปาก” ธนัชเห็นเธอไม่ตอบ เลยพูดกัดคู่ปรับขึ้นมาอีกหนึ่งดอก คราวนี้เธอสะบัดหน้าไปมองทันที

“นายมาหาว่าฉันไม่มีปากได้ยังไง ก็ฉันพูดอยู่เมื่อกี้ไม่ได้ยินหรือไง”

“ก็เธอไม่ได้พูดกับฉันนี่”

“ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่มีปากจะพูด อย่ามามั่ว”

“อ้อ เหรอ งั้นก็โทษที” ธนัชยักไหล่หน้าตาเฉย

ดู๊...ดูอีตานี่ทำท่าเข้า เพียงขวัญอยากจะเตะสักทีสองทีจริงๆ แต่เคราะห์ดีที่ชะตาของธนัชยังไม่ถึงฆาต ลิฟต์ส่งเสียงร้องดังติ๊ง ประตูเปิดออกเสียก่อน คนในลิฟต์เดินออกมาสามคน ภายในลิฟต์จึงว่างเปล่า ธนัชก้าวขายาวๆเข้าไปเป็นคนแรก ส่วนเพียงขวัญยังลังเลอยู่นิดๆ สมองซีกขวาสั่งมิให้เธอก้าวเข้าไปอยู่ในลิฟต์กับเขาสองต่อสอง

แต่สมองซีกซ้ายกลับแย้งว่ามันก็แค่ห้าชั้นเอง ใช้เวลาหายใจในที่เดียวกันไม่น่าเกินยี่สิบวินาที เธอก็ไม่ต้องทนเหม็นหน้าตานี่แล้ว คนที่เห็นสาวเซอร์มัวแต่ยืนเก้ๆ กังๆ เลยชักจะเกิดรู้สึกรำคาญขึ้นมา จึงเอ่ยปากถามออกไปว่า

“อ้าว แม่คุณ! ตกลงว่าจะไปไหมเนี่ย”

นั่นแหละ...เธอจึงยอมเดินตามเข้าไป และเลือกที่จะอยู่ข้างหลังมุมขวาสุดของลิฟต์ ใครอยู่ข้างหน้าก็กดชั้นที่จะไปด้วยแล้วกัน

ธนัชกดชั้นห้าแล้วกดเร่งปิดประตู เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง บรรยากาศในลิฟต์ก็เงียบสงัดเพียงขวัญนับถอยหลังในใจยี่สิบวินาที ยืนจ้องตัวเลขที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากชั้น 1...2...3...

แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 55 15:50:04

จากคุณ : inmost
เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 15:49:06




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com