Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หัวใจก้นครัว ๑๑-๑๒-๑๓ (แก้ไขใหม่) ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๑๑

             เมื่อพนักงานในครัว เข้ามาจัดของ สำหรับสาธิตการเรียนปฏิบัติอาหารครั้งแรก นั่นก็คือ เมนูของว่าง
 วันนี้ ภัทร เลือก หมี่กรอบและข้าวตังหน้าตั้ง มาเป็นรายการอาหารของว่างหรืออาหารเรียกน้ำย่อย

             นักเรียนถูกแบ่งออกเป็นคู่ๆ เพื่อให้รู้จักสลับกันแบ่งหน้าที่ในการทำ ภัทร ให้นักเรียนแบ่งหน้าที่กันเองตามถนัด โดยมีข้อแม้ว่า จะต้องช่วยกันเตรียมของ และสลับกันเป็นผู้ประกอบอาหาร ในสองรายการที่ได้เตรียมมา

             ภัทร สาธิตการทำหมี่กรอบและข้าวตังหน้าตั้งอย่างคล่องแคล่ว โดยในวันแรก จะมีพนักงานในครัวมาคอยช่วยเป็นลูกมือให้ก่อน แต่ในทุกวันถัดไป จะต้องมีนักเรียนจัดเวรกันมา เพื่อเป็นผู้ช่วยภัทร ในการสาธิตการประกอบอาหาร รวมถึงทำความสะอาด เก็บภาชนะที่ใช้แล้ว นำส่งแผนกล้างจาน ไปจนเก็บถังแก๊ส ที่โรงเก็บถังแก๊สอีกด้วย

            เมนูแรกคือ หมี่กรอบ ภัทร ทำน้ำปรุงรสสำหรับใช้คลุกหมี่กรอบ ที่ทอดไว้จนเป็นเส้นสีขาวพองกรอบ เริ่มจากการผัดเนื้อหมูสับและกุ้งสับกับน้ำมัน ด้วยไฟอ่อน ในกระทะทองเหลือง พอเนื้อสัตว์เริ่มสุกได้ที่ จึงเร่งไฟขึ้น ให้อยู่ในระดับปานกลาง ใส่น้ำปรุงรสลงไปผัด จนส่วนผสมทั้งหมดค่อนข้างแห้ง

            จึงใส่ของแห้งที่ทอดแล้วพักเอาไว้ เช่น กระเทียมเจียว หอมแดงเจียว เต้าหู้เหลืองทอดกรอบ ลงไปผัดเติมน้ำส้มซ่า แล้วชิมรส นำเส้นหมี่ ไปคลุกเคล้าให้ทั่วอย่างรวดเร็ว เป็นอันเสร็จสิ้นรายการ

           เมื่อภัทร หยิบถ้วยสเตนเลส ขนาดเล็กที่บรรจุ วัตถุสีเขียว สับหยาบๆ มีกลิ่นหอมคล้ายมะนาว ส่งให้ทุกคนที่ล้อมรอบ ยืนดูการสาธิตฯ ดมจนทั่วแล้วบอกว่า

            “นี่คือหัวใจสำคัญของ หมี่กรอบ นะครับ มีใครทราบบ้างไหมครับ ว่ามันคืออะไร?”

           “มันคือผิวส้มซ่า ใช่ไหมคะ เชฟ” หนูนา ชิงตอบก่อนใคร อย่างรู้ดี

           “ใช่ครับ ผิวส้มซ่า จะทำให้ หมี่กรอบ สูตรของเรามีกลิ่นเฉพาะ หอมชวนรับประทาน นับเป็นภูมิปัญญาอันชาญฉลาด ของคนโบราณที่นำเอาของใกล้ตัวมาใช้ แต่สมัยนี้ อาจจะหายากไปสักหน่อยและราคาค่อนข้างสูง ดังนั้น ร้านส่วนใหญ่ จึงตัดขั้นตอนนี้ออกไป แต่ผม อยากให้ทุกคนได้ เรียนรู้ สูตรต้นตำหรับของรายการอาหารนี้”

             พนักงานครัว ยกกะละมังสเตนเลสขภายในบรรจุ วัตถุทรงกลม คล้ายมะนาวแป้น แต่กลมมนมากกว่า ขนาดใหญ่กว่าลูกปิงปองสักครึ่งเท่า วางลงตรงหน้า เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้หยิบขึ้นดูและลองดม ก่อนที่จะฟังภัทร อธิบายต่อไป

              “เราจะฝานเปลือกของส้มซ่าบางๆ ใช้แต่เปลือกสีเขียว อย่าให้ส่วนขาวที่เป็นชั้นรองลงไปติดขึ้น จะทำให้มีรสขม จริงๆคือใช้เพื่อแต่งกลิ่นเท่านั้น แล้วคั้นเอาแต่น้ำ ใส่ก่อนที่จะปิดไฟ แทนน้ำมะนาว แต่ถ้าพวกคุณหาไม่ได้ ก็ไม่ต้องใส่ ขอเพียงให้รู้ว่ารสอาหารที่แท้จริงเป็นอย่างไรแล้ว ถ้าจำเป็นต้องดัดแปลง อย่าเปลี่ยนไปมากจนจำไม่ได้ ว่าของเดิมมีหน้าตาเป็นยังไงก็แล้วกันครับ”

              ผิวส้มซ่าสับหยาบ ส่งกลิ่นหอมสดชื่น ถูกหยิบมาโรยแล้วคลุกให้เข้ากับหมี่กรอบที่พักไว้จนทั่วกะละมัง ภัทร นำพิมพ์สเตนเลสแบบวงกลม มาวางบนจากกระเบื้องเนื้อบางละเอียด ประทับตราโลโก้ ไทยทัศน์ ข้างๆมีกองถั่วงอกไร้สารพิษ ขาวอวบอ้วนเด็ดหางกับต้นกุยช่ายที่ตัดเอาแต่โคนอ่อน ปักแซมมาอย่างพอเหมาะ โรยทับด้วยกระเทียมโทนซอยบางเป็นแว่น แล้วตกแต่งด้วยไข่ฟูที่โรยทอดเป็นฝอย มารองเป็นรังไว้ วางกุ้งแชบ๊วยหั่นเป็นท่อนๆ ชุบไข่ไก่ผสมเกลือกับแป้งแล้วนำไปทอด จนสุกเห็นสีขาวสลับลายส้มของเนื้อกุ้งที่ซ่อนตัวอยู่ในรังสีเหลืองอ่อนของไข่ทอดดูน่ากิน สุดท้ายวางช่อผักชีช่อเล็กทับด้วยพริกชี้ฟ้าแดงซอยบางยาวสองสามเส้น

              หลังจากนั้น นักเรียนส่วนใหญ่ต่างพากันถ่ายรูปงานจัดจานฝีมือของภัทร เพื่อเก็บไว้เป็นตัวอย่าง ภัทร บอกกับคนที่เหลืออยู่ว่า

              “เชิญชิมหมี่กรอบ สูตรของไทยทัศน์ ได้เลยนะครับ ก่อนที่พนักงานจะเข้ามายกไปก่อน เพื่อจัดการเตรียมของสำหรับ ข้าวตังหน้าตั้ง ต่อไป” ภัทร ถอยออกมาเล็กน้อย เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนเข้ามาชิมอาหารกันได้สะดวก

               สิตา ค่อยๆตักหมี่กรอบและกุ้งชุบไข่ทอด เข้าปากอย่างช้าๆ ความรู้สึกแรกเมื่อหมี่กรอบรวมตัวเข้าไปอยู่ในปากแล้วก็คือ ความกลมกล่อม รสชาติของความหวาน เปรี้ยว และเค็มน้อยๆ ผสมผสานกันอย่างลงตัว เพลิดเพลินยิ่งนัก ทำให้ไม่สามารถหยุดเคี้ยวได้

              ที่สำคัญ กลิ่นหอมผิวส้มซ่า สร้างความสดชื่น ยิ่งเมื่อตามด้วยถั่วงอกขาว กระเทียมโทนดอง และใบกุยช่ายอีกเล็กน้อย กลิ่นเหม็นเขียวของผักดิบ ที่เคยรู้สึกว่าควรจะมี กลับไม่ได้ปรากฏเลยแม้แต่น้อย

             กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความอร่อย หมี่กรอบก็พร่องไปเกือบจะหมดจาน รักษภูมิกระซิบถามว่า ต้องการจะตักเพิ่มอีกหรือไม่ สิตาที่กำลังจะหันไปตอบ จึงสังเกตได้ว่านอกจากรักษภูมิแล้ว ยังมีภัทรที่ลอบมองหล่อนอยู่ จนหญิงสาวรู้สึกเขินอายจนหน้าร้อนผ่าวเหมือนเคย จู่ๆก็รู้สึกอิ่มตื้อขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ สิตาไม่เข้าใจว่าทำไมใจหล่อนเต้นแรงขึ้นมาจนมือไม้อ่อนแรงไปเสียเฉยๆ

             ภัทร ยืนกอดอก อมยิ้มกับกริยาของหญิงสาว ภาพที่หล่อนตักหมี่กรอบเข้าปากคำแล้วคำเล่าอย่างเจริญอาหาร และชะงักไปด้วยความเขินอาย เมื่อเห็นว่าเขากำลังจ้องมองอยู่ ดูทั้งน่ารักและน่าเอ็นดูยิ่งนัก

            ชายหนุ่มได้แต่คิดว่า การเรียนทำอาหารอย่างจริงจัง ที่ไทยทัศน์ คงจะทำให้สิตา เปลี่ยนความคิดที่มีต่อวงการอาหาร ว่าสิ่งที่หล่อนคิดจะทำนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องเล่นสนุกๆ ตามที่เคยบอกว่าแค่คิดอยากจะเอาชนะตนเองเพียงเท่านั้น


           หลังจากนั้นไม่นาน ภัทรก็เริ่มการสาธิต รายการของว่าง จานต่อไปนั่นก็คือ ข้าวตังหน้าตั้ง โดยให้เหตุผลแก่นักเรียนดังนี้

            “ที่ผมเลือกข้าวตังหน้าตั้ง มาให้ลองทำ พร้อมกับหมี่กรอบ ก็เพราะว่า เมื่อเราตั้งกระทะ สำหรับทอดหมี่แล้ว เราก็ควรจะทอดข้าวตังต่อไป เพราะทั้งสองอย่างจะไม่ทำให้น้ำมันเปลี่ยนสี สามารถนำน้ำมันที่เหลือไปใช้ต่อได้อีกครับ”

             ภัทรพูดไปพลางเทน้ำมันลงไปในกระทองฯที่ตั้งไฟไว้ แล้วนำข้าวตังดิบที่ตัดเป็นรูปทรงกลม ลงไปทอดในน้ำมันที่ร้อนแต่ไม่ถึงกับจัดมาก ชายหนุ่มใช้ด้านหลังของตะหลิว กดข้าวตังสี่ห้าชิ้น ให้จมลมลงไปที่ก้นกระทะก่อน แล้วอธิบายเสริมว่า

             “เราจะใช้ไฟปานกลาง ในการทอด น้ำมันไม่จำเป็นต้องร้อนจัดมาก ที่ผมกดข้าวตังไว้ ก็เพื่อให้น้ำมันผ่านเข้าไปในตัวข้าวตังสุกกรอบทั่วทั้งแผ่น สักพัก พอขยายตัวพองขึ้น เราก็ปล่อยให้ข้าวตังลอยขึ้นมาได้แล้ว ที่เหลือก็คอยพลิกดูให้มันเหลืองเท่ากัน เท่านั้นเอง”

            เมื่อข้าวตังพองสุกได้ที่แล้ว ภัทรตักขึ้นมาผึ่งในตะแกรง ที่ปูรองด้วยกระดาษซับน้ำมันอีกชั้น เพื่อให้กรอบ และสะเด็ดน้ำมัน

            และเมื่อภัทรขออาสาสมัคร มาทดลองทอดข้าวตังที่เหลือต่อ เขาตัดสินใจเรียก รักษภูมิ ที่ขณะนั้นกำลังเดินไปล้างมืออยู่อ่างล้างมือกับสิตาที่บริเวณ ด้านหลังห้อง

             รักษภูมิ เช็ดมืออย่างลวกๆ ก่อนที่จะรีบเข้าไปช่วยภัทร ทอดข้าวตังที่เหลือ เมื่อหย่อนไปได้สักห้าหกชิ้น น้ำจากแขนที่ยังไม่ทันเช็ดให้แห้ง เกิดหยดลงไปในกระทะ น้ำมันจึงกระเด็นขึ้นมาโดนมือที่หย่อนข้าวตังอยู่

             ชายหนุ่มร้องขึ้นด้วยความแสบร้อนปนกับความตกใจ
             " โอ๊ย!!!"

            สิตาที่ขณะนั้นกำลังจะเดินเข้าไปอยู่ข้างเตา เพื่อดูการสาธิตขั้นต่อไป รีบวิ่งเข้าไปช่วยรักษภูมิด้วยความเป็นห่วงและตกใจ แต่ก็ไม่ทัน ภัทร ซึ่งอยู่ข้างตัวชายหนุ่มพอดี หญิงสาวจึงได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาอย่างประหลาด เพราะไม่แน่ใจตัวเองว่าหล่อนกำลังหงุดหงิดหรือสะกิดใจกับสิ่งที่เห็นอยู่

เพราะชายหนุ่มได้รีบดึงมือรักษภูมิออกจากระทะมากุมไว้ พร้อมกับดึงผ้าอเนกประสงค์ที่เหน็บไว้ข้างเอวมาซับมือของรักษภูมิที่พองอย่างเบาๆ ก่อนที่จะบอกบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใยว่า

              “เป็นอะไรมากไหมครับ ผมว่าไปทายาที่ห้องพยาบาลก่อน ถ้ายังไม่ดีขึ้นแล้วค่อยไปโรงพยาบาลแล้วกัน”

             ดีใจ อาสาเป็นคนพารักษภูมิไปปฐมพยาบาล ขณะที่ชายหนุ่มยังคงยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความปวดแสบปวดร้อนจากน้ำมันที่กระเด็น มีไม่มากเท่ากับความตกใจ

             เพราะจริงๆเขาเองก็ชินกับการถูกน้ำร้อนลวก มีดบาด น้ำมันกระเด็นอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความประทับใจในความห่วงใยของภัทร ที่ทำให้หัวใจที่เคยสงบ กลับมาเต้นโครมครามอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกครั้งต่างหาก

            ดีใจ พารักษภูมิ กลับเข้ามาที่ห้องเรียน  ขณะนั้น ภัทร สาธิตการทำของว่างเสร็จแล้ว และปล่อยให้นักเรียนจับคู่กัน และลงมือปฏิบัติตามที่ได้ดูการสาธิตมาแล้ว

          สิตา ยิ้มกว้างได้ตามเดิม เมื่อเห็นรักษภูมิ เดินเข้ามาอย่างปลอดภัยมีเพียงผ้าพันแผลพันที่มือเท่านั้น ความรู้สึกขัดเคืองหัวใจเมื่อครู่นี้สลายตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุพัดกลางฟ้าแจ้ง เมื่อรักษภูมิเดินเข้ามาที่โต๊ะของสิตา หญิงสาวจึงเอ่ยทักเสียงสดใสตามปกติว่า

         “ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม แดง เมื่อกี๊ สิตาเป็นห่วงแทบแย่เลย”

        “แค่น้ำมันกระเด็นใส่มือเท่านั้นเอง แต่มันตกใจน่ะ เลยส่งเสียงดังไปหน่อย ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะที่ทำให้ตกใจกัน” รักษภูมิ ตอบ พลางชูมือที่พันผ้าพันแผลไว้ให้ดู อย่างยิ้มๆ

         “แต่เมื่อกี๊นี้ ก็ได้ดูฉ็อตเด็ดนะ ดูเชฟสิ แกรีบเอามือพี่รัก ไปดูใหญ่เลย สงสัยจะเป็นห่วงพี่รักน่าดูเลยนะ ไม่ธรรมดานะ หนูนาว่า...”
ยังไม่ทันที่หนูนาจะเสริมความคิดเห็นของตนจนจบ รักษภูมิก็แทรกขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ทำให้ตนรู้สึกหน้าแดงอยู่ว่า

          “อะไรกันหนูนา พูดอะไรก็ไม่รู้ เป็นใครก็ต้องทำแบบนี้ทั้งนั้นแหละ นี่ ต้องทำอะไรกันต่อไปเหรอ”

          “จริงด้วยซี พี่รัก มาคู่กับหนูแทนแล้วกันนะคะ เชฟเค้าจัดการสลับคู่ให้พี่รักแล้ว ส่วนพี่ดีใจไปคู่กับพายุแทน” เปียโน พูดเสริมอย่างเอาการเอางาน

          “เสียดายจัง เมื่อกี๊ แดงไม่ได้ชิม ข้าวตังหน้าตั้งปู ฝีมือของเชฟ อร้อย...อร่อย หวาน เค็ม มัน กำลังดีเลย เนื้อปูเป็นก้อนๆเลยนะ กินกับข้าวตัง เข้ากันที่สุด ลองทำดูสิ “

          สิตา รีบเปลี่ยนเรื่อง ท่าทีของภัทรที่ปฏิบัติต่อแดงเมื่อครู่นั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกเซ็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกอีกครั้ง หล่อนเริ่มประหลาดใจในความหวั่นไหวต่อผู้ชายที่อยู่ในชุดกุ๊กที่มีใบหน้ายียวนกวนประสาทอย่างภัทร มันเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้งอย่างผิดปกติ แต่ในที่สุดหล่อนก็ดึงความคิดกลับมาอยู่ที่งานตรงหน้าได้สำเร็จ เพราะไม่อยากให้ใครจับพิรุธในใจหล่อนได้  


          เพราะจับพลัดจับผลูเข้าไปเรียนที่ไทยทัศน์ได้สำเร็จ สิตาจึงไม่มีเวลาว่างมากนัก ทางค่ายเพลงที่ได้เตรียมงานไว้ ก็เร่งวางแผนการทำงานให้สิตายุ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก ดังนั้นในวันหยุดของหญิงสาวจึงหมดไปกับการเข้าประชุมกับทีมงาน รวมถึงการบันทึกเสียงที่ทำให้เวลาในวันหยุดของหญิงสาวผ่านไปอย่างรวดเร็ว

            กว่าการทำงานอันแสนยุ่งในวันหยุดของสิตา จะเสร็จสิ้นลง ก็เล่นกินเวลาเข้าไปค่อนข้างดึก ขณะที่รักษภูมิกำลังขับรถพาสิตากลับบ้านนั้น ชายหนุ่มเอ่ยถึงคิวงานในอนาคตให้สิตาฟัง จากที่ได้รับแจ้งมาจากทางบริษัท

             “อีกประมาณเดือนหรือสองเดือนนี่ละ ทางบริษัทแม่ที่สิงคโปร์ ติดต่อขอคิวสิตา ให้บินไปประชุมเรื่องเพลงที่อัดไปแล้ว แต่วันเวลาที่แน่นอน พี่ณัฐ จะแจ้งมาให้รู้อีกที ที่สำคัญไปครั้งนี้นอกไปประชุมแล้ว ยังต้องไปทำงานที่โน่นอีกด้วย พี่ณัฐ จองคิวเธอไว้ล่วงหน้าแล้วเหมือนกัน”

             “แล้วเรื่องเรียนที่ไทยทัศน์ล่ะ จะทำยังไง? “ สิตากังวลกับเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ เพราะหล่อนเองก็มีนิสัยคือ ถ้าทำอะไรแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ข้อนี้รักษภูมิ ก็รู้ดี จึงบอกออกไปให้สบายใจว่า

            “เห็นพี่ณัฐ บอกว่าคงจะไป เสาร์กับอาทิตย์ จันทร์ อะไรอย่างงั้นมั้ง ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็น่าจะขาดเรียนแค่วันเดียว คงไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราจะดูแลให้เอง”

           “นี่หมายความว่า แดงจะไม่ไปพร้อมกับสิตาละสิท่า แหม เดี๋ยวนี้ เห็นการเรียนสำคัญกว่าสิตาแล้วเหรอเนี่ย น่าน้อยใจจริงๆ...”
หญิงสาวแกล้งบ่นออกไป เพื่อจะให้รักษภูมิปวดหัวเล่นเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะยังไง หล่อนก็จะไม่ยอมให้รักษภูมิ ต้องหนักใจเพราะหล่อน เหมือนกับคราวที่ผ่านมาอีกแน่นอน

           “โธ่!... สิตา เดี๋ยวเราบินตามไปกับพี่ๆนักร้องคนอื่นก็ได้นี่ สิงคโปร์ แค่นี้ แป๊บเดียวเอง รับรอง เรียนเสร็จจะรีบบินไปตอนดึกทันทีเลย โอเคมั้ย?” ชายหนุ่มรีบออกตัวเพื่อเอาใจ ปิดช่องก่อนที่หล่อนเอ่ยขัดเพิ่มเติมมาได้อีก

           “แหม... แค่แซวเล่นเท่านั้นหรอกน่า แดงไม่ไปก็ไม่ว่าหรอก แต่โดนแม่บ่นไม่รู้ด้วยนะ เอาตามนั้นก็แล้วกัน ว่าแต่ว่า ไม่ใช่ว่าอยากจะอยู่ใกล้ อีตาเชฟภัทร จนไม่อยากจากไปไหนเลย อย่าให้รู้นะ ไม่งั้นแดงโดนแน่ หุหุหุ...” สิตาหันมาหัวเราะเสียงเย็น อย่างรู้ทัน ใส่รักษภูมิ ที่ตอนนี้หน้าแดงไปด้วยความเขินอาย ที่อีกฝ่ายแอบล่วงรู้ความคิดในใจของตนอีกเช่นกัน


            เช้าวันแรกในสัปดาห์ที่สอง ของการเรียนทำอาหารที่ไทยทัศน์ รักษภูมิกับสิตา มาที่ห้อง บุชเช่อร์ ซึ่งเป็นห้องสำหรับเตรียม ตัด หั่น แต่ง เนื้อสัตว์ต่างๆ หรือ ผัก นานาชนิด เพื่อส่งต่อไปยังครัวอื่นๆ เพื่อใช้ในการประกอบอาหารต่อไป

            รักษภูมิ กำลังจัดการกับชิ้นเนื้อสะโพกไก่กว่า หกสิบกิโลฯ ที่อยู่ตรงหน้า หน้าที่ชายหนุ่มได้รับมอบหมายก็คือการเลาะเอาเนื้อไก่ แยกออกไว้ในกระบะสแตนเลส เพื่อนำไปทำอาหารรายการอื่นๆ เช่น ไก่ห่อใบเตย หรือต้มข่าไก่ รวมถึงรายการอาหารอื่นๆที่มีไก่เป็นส่วนผสมอยู่ด้วย แล้วนำเอากระดูกไก่ที่เหลือ รวมไว้ ในกระบะต่างหาก เพื่อนำไปใช้ทำน้ำต้มกระดูกไก่ต่อไป

          ส่วนสิตา ก็ง่วนอยู่กับจัดการแกะเปลือกของกุ้งแชบ๊วย ตัวเขื่องที่ใหญ่กว่านิ้วโป้งของหล่อน กว่าสี่สิบกิโลฯ ที่กองอยู่ในกระบะตรงหน้าเช่นกัน

            แต่โชคดีที่ความน่ารัก และความเป็นคนมีอัธยาศัยดีกับทั่วไป ซึ่งเจ้าตัวจะสงวนความเป็นคุณหนูอารมณ์ร้าย เฉพาะกับคนสนิทเท่านั้น จึงทำให้เหล่าพนักงานผู้ชายในครัว ต่างพากันมารุมล้อม ช่วยเหลือ ดังนั้นหล่อนจึงไม่ได้ต้องทำอะไรมากมายนัก ค่อยๆทำไปเรื่อยๆอย่างสบายอารมณ์

             หรือแม้แต่ บรรดาพนักงานหญิง ก็ยังอดเอ็นดูในความช่างพูดช่างจา ของหญิงสาวไม่ได้ เพราะไม่ว่าทุกคนจะชวนคุยเรื่องอะไร หญิงสาวก็สามารถรับฟังอย่างน่ารัก และแสดงความคิดเห็นอย่างพองาม จนบรรยากาศในห้องบุชเช่อร์ที่น่าเคร่งเครียด กลับมีสีสัน และสนุกสนาน

              ขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะไปกับเรื่องขำขันที่สิตานำมาเล่านั้น ประตูห้องบุชเช่อร์ก็ถูกเปิดออกโดย ดีใจ ในชุดกุ๊กเต็มยศเช่นกัน

             “อ้าว! ดีใจ นายมาฝึกงานที่ห้องบุชเช่อร์นี้ด้วยเหมือนกันเหรอ?” รักษภูมิ เอ่ยปากทักอย่างแปลกใจ

             “เปล่า เรามาฝึกงานที่ครัวหวานน่ะ เพิ่งเดินเข้ามา เห็นสิตากับรัก เราก็เลยแวะมาทักทายเท่านั้นเอง” ดีใจตอบกลับอย่างอารมณ์ดีเช่นกัน

             “งั้นก็ตามสบายเถอะนะ เราขอตัวไปฝึกงานก่อนนะ “ ดีใจ บอกก่อนที่จะเดินจากไปยังห้องครัวหวานอย่างรีบๆ

               ทันทีดีใจเดินลับตาไป ประเด็นในการสนทนาใหม่ก็ถูกตั้งขึ้นโดยพี่แตง พนักงานอาวุโสของครัวบุชเช่อร์นั่นเอง “นี่ไงล่ะ... ที่น้องสิตาเล่าว่า ในวงการบันเทิงมี เกาเหลาดารา เด็กเส้นโน่นนี่อะไรนั่น ในวงการครัวของไทยทัศน์ก็มีเหมือนกันนะ คนนี้แหละเด็กเส้นของแท้เลย รู้มั้ยคะ?”

             “ดีใจเนี่ยนะคะ  ดูท่าไม่น่าจะใช่ หรอกค่ะพี่แตง”

             สิตา วางมือจากการแกะเปลือกกุ้งตรงหน้า พร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจเล็กๆ พอน่าเอ็นดู ก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายถ่ายทอดเรื่องราวออกมา ทั้งๆที่ในใจทั้งสิตาและรักษภูมิต่างก็สงสัยอยู่แล้ว

             “อ้าว! น้องสิตากับน้องรัก ไม่รู้หรือคะว่า ดีใจกับเชฟภัทร เขาเป็นญาติกัน เอ...รู้สึกว่าจะนามสกุลเดียวกันด้วยนะคะเนี่ย”

              คนพูดทิ้งจังหวะไว้นิดหนึ่ง เพื่อจะดูปฏิกิริยาของทั้งสิตาและรักษภูมิ ที่ขณะนี้ทั้งคู่ต่างพากันทำหน้าฉงน อย่างไม่เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่เข้าใจว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร แล้วหล่อนจึงเล่าต่อไปอย่างเมามันอีกว่า

             “ในครัว เค้ารู้กันทั้งนั้นแหละค่ะ ว่า น้องดีใจน่ะ เค้าเป็นเด็กฝากของเชฟภัทร เชื่อมั้ย? ตั้งแต่พี่ทำงานที่นี่มาก็สิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นเชฟแกเล่นเส้นเล่นสายกับใคร เถรตรงเป๊ะๆ นี่คงจะโดนขอร้องมาอย่างหนักล่ะสิคะเนี่ย ถึงได้ยอมฝากให้ แล้วดูสิ ตามตาราง พวกน้องๆ จะต้องมาฝึกงานกัน อย่างห้องนี้ก็  ๙ โมง ใช่ไหมคะ ห้องครัวหวาน ก็ ๖ โมงเช้า แล้วนี่...” พี่แตงหยุดเพื่อหันไปมองนาฬิกา ก่อนจะสาธยายต่อไป

            “นี่ก็จะ ๑๑ โมงแล้วนะคะ จะว่ามาสายรึ ก็ไม่น่าจะเหลทขนาดนี้ แค่ชั่วโมง สองชั่วโมงก็ยังพอทน เพราะเขาไม่ได้บังคับใช่ไหมคะ แต่นัดแล้วมาสายขนาดนี้ ถ้าเชฟแกรู้เข้ามีหวังโดนเอ็ดทั้งพี่ๆในครัวหวาน ทั้งน้องดีใจแหงๆ เชฟแกยิ่งไม่ชอบเรื่องคนไม่ตรงต่อเวลาอยู่ด้วย ไม่อยากจะนึกเล้ย ว่าจะโดนอะไร”

            จักรินทร์ พนักงานชายอาวุโสอีกคน เห็นว่าพนักงานหญิงตรงหน้า แสดงความคิดเห็นมากเกินไปแล้ว จึงรีบเบี่ยงเบนประเด็น ด้วยการขอความช่วยเหลือรักษภูมิในเรื่องงานตรงหน้าแทน

             “พี่แตง น้องรัก เลาะเนื้อไก่หมดแล้ว จะให้น้องเค้าทำอะไรเพิ่มเติมอีกไหมพี่ ดูท่าเครื่องกำลังร้อนเลยทีเดียว ขยันดีจริงๆนะ น้องชาย หน้าตา หน่วยก้านก็ดี ตั้งใจฝึกอย่างนี้ คงจะไปได้ไกลแน่ๆ”

             พนักงานหญิงหันไปมองหน้าชายหนุ่มหน้าตาดี  ที่กำลังตั้งใจฝึกงานอย่างขยันขันแข็ง ตามที่อีกฝ่ายเอ่ยชม ก็นึกเอ็นดู จึงคิดจัดหางานอย่างอื่นที่จะฝึกฝนฝีมือ ตามประสาผู้ใหญ่ใจดี จึงทำให้นางลืมเรื่องของดีใจกับเชฟภัทรที่จะถูกพูดถึงมากไปกว่านี้

             ในขณะที่สิตาและรักษภูมิ ต่างมองหน้ากัน อย่างรู้ใจกันและกัน พร้อมกับตั้งใจว่าจะต้องหาคำตอบในเรื่องที่ได้ยินมาให้จนได้!

จากคุณ : Awork
เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 55 01:18:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com